ภาคที่ 4 ตอนที่ 10 คนที่พาไปกับคนที่ทิ้งไว้

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

นอกประตูเสียงฝีเท้าดังขึ้น องครักษ์เสื้อแพรสองคนที่นั่งอยู่บนเตียงลุกขึ้นยืน สองขากระโดดไปด้านข้างประตู 

 

ข้อเท้าของพวกเขาถูกมัดไว้ วิ่งไม่ได้ ก้าวเดินก็ลำบาก เวลานานเข้าทุกคนก็รู้สึกว่ากระโดดสะดวกกว่า 

 

บนมือไม่รู้ถูกทายาอะไรไว้ แม้ไม่ได้ถูกมัด แต่กลับไม่อาจใช้แรงแก้เชือกได้ ทำได้แต่กินดื่มปลดทุกข์ 

 

เนิ่นนานปานนี้วิธีการใดๆ ก็เคยลองมาหมดแล้ว ทุกคนจึงเลิกคิดแล้ว 

 

ถูกขังอยู่ในเรือนเล็กๆ นี่ อาหารการกินไม่ได้แย่ ทั้งยังไม่หนาว แล้วยังมอบเสื้อผ้าใหม่ผ้าห่มฟูกใหม่ให้อีก หลายวันก่อนยังมอบขนมเข่งกับเต้าหู้ที่ทำใหม่ให้ด้วย 

 

เริ่มแรกพวกเขายังตะโกนต้องการพบคุณหนูจวินอยู่ แต่ชาวบ้านที่ดูไปแล้วใสซื่อตรงไปตรงมาเหล่านี้ก็ไม่พูดไม่ตอบ เพียงแค่ตอนที่พวกเขาตะโกนร้องโหวกเหวกจะทาอะไรสักอย่างที่ไม่รู้จักบนปากของพวกเขา ปากก็ชาไปสามวันได้ 

 

ต่อมาพวกเขาจึงยอมรับชะตากรรมแล้ว 

 

“ถ้ากล้านางก็ฆ่าพวกเราแล้ว” จินสือปาเอ่ย 

 

ทว่าคุณหนูจวินเห็นชัดว่าไม่กล้า ไม่ฆ่าไม่สนใจคล้ายลืมเลือนพวกเขาไปแล้ว 

 

ตอนนี้เวลานี้เป็นเวลาที่จะส่งอาหารมา อาหารจะวางไว้ที่ประตู 

 

องครักษ์เสื้อแพรสองคนกระโดดไปที่ประตูตามความคุ้นชิน แต่เสียงฝีเท้าด้านนอกกลับไม่หยุดลง ประตูก็ถูกผลักเปิดแล้ว 

 

แสงตะวันสาดส่องเข้ามา พร้อมกับเสียงสตรีคนหนึ่งดังขึ้น 

 

“ลืมพวกเขาไม่กี่คนไปเสียแล้ว หากไม่ใช่ลุงเหลยเตือนล่ะก็” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย เมื่อเห็นคนสองคนที่กำลังกระโดดเข้ามาก็ตกใจสะดุ้งโหยง “เฮ้ พวกเจ้าเล่นอะไรน่ะ?” 

 

เล่นอะไร? สีหน้าที่เฉยชามาตลอดขององครักษ์เสื้อแพรสองคนโกรธเกรี้ยวอยู่บ้าง 

 

พวกเราเล่นอะไร พวกเราถูกพวกเจ้าเล่นไง 

 

จินสือปาก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงเช่นกัน แน่นอนเขาไม่ได้กระโดดเข้ามา แต่สีหน้าเย็นเยียบมองสาวใช้ตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงประตู 

 

สาวใช้ตัวน้อยไม่สังเกตเห็นความโกรธแค้นของพวกเขาสักนิด มือไพล่หลังเดินอาดๆ เข้ามา มองซ้าย มองขวา 

 

“อั้ยย่ะ พวกเจ้ากินดีดื่มดีอยู่ดี ใช้ชีวิตสบายกันจริง” นางเอ่ย “พวกเราเหนื่อยแทบตายกันหมด” 

 

เสียดสี? เยาะเย้ย? 

 

จินสือปามองสาวใช้ตัวน้อยคนนี้อย่างเย็นชา แต่ไม่เห็นความนัยเหล่านี้บนใบหน้าของนาง 

 

ไม่อาจไม่พูดว่าเล่นละครเล่นได้ดีจริงๆ 

 

“เอาล่ะ เก็บของๆ ไปแล้วๆ” หลิ่วเอ๋อร์โบกมือพลางเอ่ย “รออยู่แค่พวกเจ้าแล้ว รีบหน่อยสิ” 

 

ไป? 

 

หมายความว่าอย่างไร? 

 

จินสือปาสีหน้าสงสัยนิดหน่อย เห็นชาวบ้านที่คอยเฝ้าหลายคนนั้นเข้ามา ในมือถือดาบเล่มหนึ่งอยู่ 

 

ไปในความหมายไหน? 

 

ระหว่างที่ขบคิด คนหลายคนก็ตัดเชือกบนเท้าของพวกเขาออกแล้ว 

 

………………………………………. 

 

ในหมู่บ้านครึกครื้นมาก ชาวบ้านล้วนรวมตัวกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน มองดูขบวนคนจัดสัมภาระเตรียมเดินทาง 

 

ม้าเป็นม้าที่ส่งมาใหม่นอกจากนี้หนึ่งคนเตรียมม้าสองตัว? คุณหนูจวินไม่ได้ใช้ม้าในหมู่บ้าน แม้ที่นั่นมีส่วนที่เป็นของพวกผู้คุ้มกันและคนของสำนักคุ้มภัยอย่างเหลยจงเหลียนด้วยก็ตาม 

 

พวกเหลยจงเหลียนก็เปลี่ยนชุดเดินทางใหม่ พวกเซี่ยหย่งกับหยางจิ่งกำลังช่วยตรวจตราอุปกรณ์บนม้า 

 

“ทำไมครั้งนี้ไม่ให้พวกเราไป?” มีชาวบ้านอดไม่อยู่เอ่ยถามขึ้น 

 

เหลยจงเหลียนพลันกระแอมทีหนึ่ง 

 

“นี่มีทำไมอะไร แสดงว่าพวกเราร้ายกาจกว่าพวกเจ้าไง” เขาเอ่ยตอบ 

 

วันเวลาเหล่านี้กินด้วยกัน อยู่ด้วยกัน ฝึกฝนด้วยกัน กวาดล้างโจรผู้ร้ายด้วยกัน ตอนนี้ทุกคนคุ้นเคยกันยิ่งนักแล้ว ล้อเล่นกันได้ 

 

ได้ฟังคำพูดของเหลยจงเหลียน บรรดาชาวบ้านล้วนหัวเราะขึ้นมา 

 

หลิ่วเอ๋อร์ที่คุยเล่นหัวเราะอยู่พาพวกจินสือปาเดินมาแล้ว ชาวบ้านที่นี่ล้วนยังจำพวกเขาได้ ตอนนั้นที่เพิ่งเข้าหมู่บ้านมาครั้งแรก คุณหนูจวินก็ให้จับคนเหล่านี้ไว้แล้ว ขังไว้ตลอดมาจนถึงตอนนี้ เห็นชัดยิ่งว่าพวกเขาไม่ใช่คนของคุณหนูจวิน 

 

ทำไมตอนนี้ปล่อยออกมาแล้วเล่า? 

 

รอยยิ้มของชาวบ้านหายไป สีหน้าคล้ายคิดอะไรได้ 

 

“ลุงเหลย พวกเขามาแล้ว” หลิ่วเอ๋อร์ร้องเรียก 

 

เหลยจงเหลียนมองไปทางจินสือปา พวกจินสือปาก็มองเขาอย่างเย็นชาเช่นกัน 

 

“เอาชุดเดินทางมา เลือกม้าให้พวกเขา” เหลยจงเหลียนเอ่ย 

 

จากนั้นก็มีผู้คุ้มกันสองนายมอบเสื้อผ้าหลายชุดให้แก่พวกจินสือปา จินสือปาไม่เอ่ยวาจารับไปอย่างเย็นชา 

 

“พวกเขาก็จะไปด้วยหรือ? พวกเขาไม่นับว่าร้ายกาจอะไรกระมัง?” มีชาวบ้านอดไม่ได้เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง 

 

หากบอกว่าพาไปเพียงพวกผู้คุ้มกันอย่างเหลยจงเหลียน พวกเขาก็เข้าใจได้ แต่พาจินสือปาไป เรื่องราวย่อมไม่เรียบง่ายแล้วแน่ๆ 

 

ชาวบ้านทั้งหลายค่อยๆ เข้าใจอะไรบางอย่าง 

 

เพราะพวกเขาเป็นปัญหา คุณหนูจวินจึงต้องพาไปด้วย 

 

หากไม่กลับมาแล้วทิ้งคนพวกนี้ไว้ที่นี่จะนำอันตรายมาให้หมู่บ้าน 

 

แต่บางคน คุณหนูจวินก็ไม่พาไป เพราะไม่ใช่ปัญหาแต่เป็นคนที่ต้องการปกป้อง 

 

ปัญหาพาไป คนที่ปกป้องทิ้งไว้ นี่เห็นชัดว่าเป็นการเตรียมพร้อมหากไปแล้วไม่กลับ 

 

“…ข้าไม่ไปนะ ข้าก็อยู่ที่นี่รอคุณหนูนะ” 

 

เสียงหลิ่วเอ๋อร์ดังขึ้นด้านหลัง ใสกังวานทั้งยังเบิกบาน 

 

“…คุณหนูไม่นานก็กลับมาแล้ว” 

 

ครั้งนี้ไม่มีคนตอบคำของหลิ่วเอ๋อร์ ทุกคนมองนางด้วยสีหน้าปั้นยาก 

 

ฉากนี้เนิ่นนานก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยผ่านมาก่อน 

 

คนผู้นั้นก็เอ่ยเช่นนี้ “ไม่นานข้าก็กลับมาแล้ว” พวกเขาจึงรอคอยอยู่ที่นี่ ทว่าคนผู้นั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ไม่กลับมา 

 

เสียงคุยเล่นหัวเราะที่ปากทางเข้าหมู่บ้านค่อยๆ เงียบลง หลิ่วเอ๋อร์ยังไม่รู้ตัว ยังคงยิ้มแย้มคุยอารมณ์ดีต่อ บรรยากาศจึงกลายเป็นประหลาดอยู่บ้าง 

 

เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังร่าง ทุกคนรีบหันหน้าไปมองเห็นคุณหนูจวินกับสตรีคนนั้นเดินมา 

 

พวกนางก็เปลี่ยนชุดเดินทางแล้วเช่นกัน รถม้าใหม่คันหนึ่งตามอยู่หลังพวกนาง 

 

เซี่ยหย่งสีหน้าปั้นยากเดินเข้ามา 

 

“คุณหนูจวินล้วนเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว” เขาเอ่ย 

 

คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า 

 

“ขอบคุณอารองเซี่ย” นางเอ่ยพลางโอบหลิ่วเอ๋อร์ที่กระโดดโลดเต้นอยู่เข้ามา “สาวใช้คนนี้ฝากพวกท่านดูแลสักหน่อย” 

 

ทั้งที่เป็นบุรุษแท้ๆ ทั้งที่ไม่ได้พูดอันใดแท้ๆ เซี่ยหย่งกลับแสบจมูกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ 

 

“ข้าต้องให้พวกเขาดูแลที่ไหนกัน” หลิ่วเออร์เอ่ยค้านอย่างไม่พอใจ “คุณหนูท่านวางใจ ท่านไม่อยู่ข้าจะดูแลพวกเขาให้ดี ให้พวกเขากินดีดื่มดี” 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางลูบศีรษะนาง 

 

กำลังจะพูดอะไร ผู้ดูแลใหญ่ของเต๋อเซิ่งชางก็ควบม้าเร็วรี่มาจากด้านนอก 

 

“คุณหนูจวิน คุณหนูจวินไม่ดีแล้วขอรับ” เขาไม่ทันสนใจคนมากมายปานนี้ตะโกนโพล่งออกมาตรงนั้น 

 

คุณหนูจวินยกมือห้ามเขา 

 

“เรื่องราวไม่ดีมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นไม่มีสิ่งใดไม่ดียิ่งกว่าแล้ว” นางเอ่ย 

 

ผู้ดูแลใหญ่เต๋อเซิ่งชางขานรับ กลืนคำที่จะพูดลงไปแล้วส่งจดหมายฉบับหนึ่งมา 

 

คุณหนูจวินฉีกเปิด กวาดมองทีหนึ่ง สีหน้าเฉยชามองความโศกเศร้ายินดีไม่ออก 

 

“เรื่องราวไม่ค่อยดี” นางหันหน้าไปเอ่ยกับนายหญิงอวี้แล้วส่งจดหมายไปให้นาง 

 

นายหญิงอวี้รับไปมองทีหนึ่งก็ไม่มีสีหน้าอะไรเช่นกัน 

 

“อืม เร็วกว่าที่ข้าคาดไว้ แล้วยังแย่กว่า” นางเอ่ยขึ้น 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องเดินทางเร็วขึ้นหน่อยสินะ” นางเอ่ยด้วยสีหน้าแน่วแน่ 

 

นายหญิงอวี้ก็ยิ้มแล้วเช่นกัน 

 

“ดี” นางเอ่ยพลางยื่นมือออกมา 

 

หลิ่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่ทันรู้ตัวยื่นมือพยุงนางขึ้นรถม้า 

 

“เฮ้ เจ้าขึ้นเองไม่ได้รึ ข้าไม่ใช่สาวใช้ของเจ้าสักหน่อย” นางรู้สึกตัวขึ้นมาก็บ่นพึมพำ แต่ยังคงไม่คลายมือ พยุงนายหญิงอวี้ขึ้นรถม้า 

 

เหลยจงเหลียนก็รีบร้องเรียกทุกคนขึ้นม้า จินสือปาก็ไม่ได้ว่าอะไร สีหน้าเย็นชาพาองครักษ์เสื้อแพรขึ้นม้าด้วย 

 

คุณหนูจวินคำนับให้เซี่ยหย่ง 

 

“หัวหน้าหมู่บ้านเซี่ย ข้าไปแล้ว” นางเอ่ย 

 

เซี่ยหย่งมองนาง เขาอยากพูดแล้วก็หยุดไป คุณหนูจวินมองชาวบ้านที่รวมตัวกันเข้ามา เงยศีรษะสายตากวาดมองพวกเขาทีละคนๆ คล้ายต้องการจดจำหน้าตาของพวกเขาไว้ หลังจากนั้นก็ไม่พูดอีก คำนับนิดหนึ่งพลันพลิกกายขึ้นม้า 

 

ผู้ดูแลใหญ่ของเต๋อเซิ่งชางก็จะขึ้นม้าตามด้วย แต่เซี่ยหย่งขวางเขาไว้ 

 

“คุณหนูจวิน ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องการไหว้วานผู้ดูแลใหญ่” เขาเอ่ย 

 

คุณหนูจวินไม่ได้ตั้งคำถามอย่างใด ส่งสัญญาณให้ผู้ดูแลใหญ่รั้งอยู่ 

 

ผู้ดูแลใหญ่กับชาวบ้านทั้งหลายมองส่งคณะของคุณหนูจวินออกไปข้างนอก คนในหมู่บ้านล้วนอาลัยอาวรณ์แยกย้ายไปไม่ลง ยิ่งมีเด็กน้อยจำนวนหนึ่งอดไม่ได้ไล่ตามไป 

 

เซี่ยหย่งไม่ได้ตามแล้วก็ไม่ได้มองส่งอีก แต่ดึงผู้ดูแลใหญ่เดินไปด้านข้าง 

 

“มีเรื่องอะไรไม่ดีอีกแล้ว?” เขาเอ่ยถาม