ภาคที่ 4 ตอนที่ 9 การบอกลาของคนที่จากไป

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ในห้องตกอยู่ในความเงียบพักหนึ่งอีกครั้ง 

 

“คุณหนูจวิน ท่านไม่ใช่แค่หมอคนหนึ่งหรือ?” เซียวจือเอ่ย 

 

คุณหนูจวินเข้าใจความหมายของนาง 

 

สำหรับหมอคนหนึ่งแล้ว ยุ่งกว้างเกินไปแล้วจริงๆ 

 

เพียงแต่เดิมทีนางก็ไม่ใช่หมอ 

 

“ข้าเป็นหมอ แต่คนที่ข้าต้องการช่วยไม่ใช่เพียงคนที่ป่วยเป็นโรค” นางถอนหายใจเอ่ย 

 

นี่คือแผ่นดินของพระบิดา นี่คือประชาชนของพระบิดา นางไม่ได้ช่วยชีวิตของพระบิดา จะมองดูแผ่นดินและประชาชนของพระบิดาตกสู่อันตรายโกลาหลแต่ไม่ยุ่งได้อย่างไร 

 

“แต่อย่างไรข้าก็จะพยายามกลับมาบ้านโดยเร็ว” นางอมยิ้มเอ่ยขึ้นอีก 

 

เซียวจือขานตอบแล้วหยิบเข็มด้ายขึ้นมาอีกครั้ง 

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งคล้ายไม่รู้ว่าควรพูดอะไร 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปเล่นกับฮั่นชิง” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยอีก 

 

เซียวจือขานตอบ ก้มศีรษะขยับเข็มเดินด้ายว่องไว 

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งมองคุณหนูจวินหมุนตัวเดินออกไป 

 

เสียงฝีเท้าไกลออกไป ในห้องก็ฟื้นกลับมาสงบอีกครั้ง 

 

“พี่สะใภ้ จะ…จะให้นางไปคนเดียวหรือ?” เซี่ยหย่งอดไม่ได้เอ่ยขึ้น 

 

“นางอยากไป หรือจะขวางเล่า?” เซียวจือเอ่ย ศีรษะก็ไม่เงยขึ้น “คนผู้หนึ่งอยากทำสิ่งใด ใครจะขวางได้ ใครอยากทำอะไรก็ไปทำเถอะ นางมีความสุขก็พอ” 

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งขานรับ รีๆ รอๆ ถอยออกไปแล้ว 

 

เซียวจือก้มศีรษะขยับเข็มเดินด้ายว่องไว เพียงแต่ความเร็วยิ่งเร็วขึ้นทุกที ฉับพลันปากก็ร้องซี๊ดทีหนึ่ง บนนิ้วมือเลือดหยดหนึ่งซึมออกมา 

 

นางอมนิ้วหัวแม่มือเข้าปาก 

 

“นางมีความสุขก็พอ พวกเขามีความสุขก็พอ ผู้อื่นมีความสุขไม่มีความสุข พวกเรามีความสุขไม่มีความสุขเกี่ยวข้องอะไรกันอีกเล่า” นางเอ่ยพึมพำ 

 

เซี่ยหย่ง หยางจิ่งที่เดินออกไปไม่ได้ยินคำพูดพึมพำของเซียวจือ พวกเขาใครก็ไม่พูดจา สีหน้าอึมครึมเดินหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง 

 

ฉับพลันหยางจิ่งก็ชนร่างของเซี่ยหย่ง ที่แท้เซี่ยหย่งไม่รู้หยุดเดินตั้งแต่เมื่อไร หยางจิ่งก็ใจลอยไม่ทันสังเกต 

 

“นายหญิงคนนั้นเป็นใครกัน?” เซี่ยหย่งเอ่ยขึ้น คิดถึงประเด็นสำคัญอันหนึ่งได้ “นางกล่อมคุณหนูจวินได้อย่างไร?” 

 

พูดพลางหันกลับมามองหยางจิ่ง 

 

“คงไม่ใช่หลอกนางแล้วหรอกนะ? นายหญิงคนนั้นข้าดูแล้วก็ร้ายกาจมากอยู่” 

 

หยางจิ่งถอนหายใจ 

 

“คุณหนูจวินจะถูกคนหลอกได้หรือ?” เขาเอ่ยขึ้น 

 

นั่นก็ใช่ เด็กสาวคนนี้ก็ร้ายกาจมากเหมือนกัน เซี่ยหย่งพลันเงียบไป 

 

“นอกจากนี้ไม่แน่ว่านางถูกคนกล่อมเข้า” หยางจิ่งเอ่ยต่อ “ที่ผ่านมาในเมืองมักส่งข่าวมากมายมาเสมอ ล้วนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก นอกจากนี้เจ้าก็เห็นแล้ว องครักษ์เสื้อแพรแล้วยังมีทหารแล้วยังทางการ ท่าทีที่มีต่อนางล้วนไม่ธรรมดา ส่วนนางก็สนใจเรื่องของราชสำนักยิ่งนัก” 

 

เซี่ยหย่งถอนหายใจพยักหน้า เขานั่งลงบนก้อนหินด้านข้าง มองดูหมู่บ้านด้านล่างอย่างเงียบงันครู่หนึ่ง ฉับพลันก็ยิ้มอีกครั้ง 

 

“จริงๆ เลย ไม่เสียทีเป็นศิษย์ที่พี่ใหญ่สั่งสอนออกมา” เขาเอ่ย “เจ้ายังจำตอนนั้นที่ได้พบเขา เขาบอกจะไปสังหารศัตรูตอบแทนบ้านเมืองปกป้องประชาชนได้ไหม? นั่นทำข้าตกใจสะดุ้งโหยงจริงๆ” 

 

หยางจิ่งก็หัวเราะแล้ว 

 

“พวกเราตอนนั้นยังเป็นชาวบ้านที่ถูกคนรังแกเข่นฆ่าตามใจประหนึ่งสุนัขอยู่เลยแหนะ เขาถึงกับเอ่ยวาจาใหญ่โตไม่อาย จะไปเป็นอะไร เรียกว่าอย่างไรนะ?” เขาเอ่ย “ผู้กอบกู้โลก?” 

 

เซี่ยหย่งหัวเราะแล้ว 

 

“เจ้าดูสิหลายปีปานนี้เจ้ายังไม่มีความรู้อยู่เลย พี่ใหญ่พูดถูก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีผู้กอบกู้โลก” เขาเอ่ย “ทุกสิ่งอาศัยพวกเราเอง” 

 

หยางจิ่งยิ้มพลางลูบศีรษะ 

 

“ข้าจำคำพูดสละสลวยพวกนั้นของเขาไม่ได้” เขาเอ่ย “อย่างไรเขาก็ร้ายกาจ เขาพูดอะไรข้าก็ทำอย่างนั้น” 

 

พูดจบประโยคนี้ ทั้งสองคนพลันสีหน้าหม่นหมองเงียบงันไม่พูดจา 

 

“ที่จริง ตอนนั้นข้าควรตามไปด้วยกันกับเขา” หยางจิ่งพลันเอ่ยอีกครั้ง “ล้วนเป็นเขาทำเองทุกเรื่อง สิ่งใดล้วนอาศัยเขา ในใจเขาก็คงเหนื่อยมากทุกข์มากสินะ คนผู้เดียวแบกค้ำ ข้า ข้า ก็ไม่ได้ช่วย…” 

 

เขาพูดไปๆ เสียงของบุรุษฉกรรจ์กำยำล่ำสันกลับสะอื้นแล้ว 

 

“พี่จิ่ง” เซี่ยหย่งลุกขึ้นยืน เสียงก็แหบอยู่เหมือนกันตะโกนว่า “ท่านอย่าพูดอีกเลย” 

 

หยางจิ่งนั่งยองๆ ลงหันหน้ามองไปอีกด้านหนึ่งไม่พูดไม่จาแล้ว 

 

ระหว่างทั้งสองคนเงียบงันอีกครั้ง 

 

ส่วนเวลานี้ที่เขาด้านหลัง คุณหนูจวินกับจ้าวฮั่นชิงกลับกำลังคุยเล่นหัวเราะสนุกสนานกันอยู่ 

 

“ตอนนี้เจ้ายิงศรไม่มีปัญหาแล้ว” จ้าวฮั่นชิงดึงศรดอกหนึ่งลงมาจากบนกิ่งไม้ พร้อมกันนั้นคนก็พลิกกายหันหัวลงกระโดดดังตุ้บลงมา “ความแม่นไม่มีปัญหา แค่เรี่ยวแรงยังไม่พอ ฝึกมากเข้าก็ใช้ได้แล้ว” 

 

คุณหนูจวินยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก 

 

“ดี หลังจากนี้ข้าจะฝึกให้มาก” นางเอ่ยพลางนั่งลงบนหินด้านข้างที่ปูหญ้าแห้งกับกิ่งไม้แห้งกองหนึ่งไว้ 

 

จ้าวฮั่นชิงนั่งลงข้างตัวนาง 

 

“เจ้าดูซิข้าท่องจำเขียนออกมาถูกหรือไม่” นางเอ่ย 

 

คุณหนูจวินรับมา ตั้งใจอ่านไปทีละหน้าๆ ฉับพลันก็ร้องหืม คิ้วขมวดขึ้นมา 

 

จ้าวฮั่นชิงหัวเราะพลางยื่นมือออกมาทันที 

 

“หัวเราะอะไรหึ ยังหัวเราะออกมาได้อีก” คุณหนูจวินถลึงตาเอ่ย ฉวยโอกาสดึงกิ่งไม้กิ่งหนึ่งออกมาจากบนก้อนหิน 

 

จ้าวฮั่นชิงรีบหุบยิ้ม แสร้งทำสีหน้าหงุดหงิดออกมา 

 

“เจ้าทำไมโง่เช่นนี้ เจ้าทำไมโง่เช่นนี้” คุณหนูจวินตีกิ่งไม้ลงบนมือของจ้าวฮั่นชิง 

 

ชูขึ้นสูง ร่วงลงมากลับแผ่วเบา 

 

“สมองของเจ้าทำมาจากเนื้อเมล็ดเหอเถารึ?” 

 

จ้าวฮั่นชิงได้ยินถึงตรงนี้ก็กลั้นไม่อยู่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว คุณหนูจวินกก็หัวเราะด้วย ยกมือโยนกิ่งไม้ในมือทิ้งไป 

 

“พ่อของข้าตอนนั้นตีเจ้าจริงหรือ?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ด่าเจ้าเช่นนี้จริงรึ?” 

 

“แน่นอนสิ ตีจริงๆ นะ” คุณหนูจวินเอ่ย “ส่วนคำด่าก็มากกว่านี้อีก แน่นอนเขาไม่ได้ด่าคน แต่เสียดสี ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวคิดไม่ทันประเภทนั้น” 

 

จ้าวฮั่นชิงหัวเราะฮ่าฮ่าอีกครั้ง 

 

“เขาน่าสนใจจริงๆ” นางเอ่ย 

 

คุณหนูจวินมองนางพลางพยักหน้า 

 

“เขาน่าสนใจมากจริงๆ” นางเอ่ย “ยาที่ข้าให้เจ้า เจ้าจำไว้ต้องกินให้ครบ แล้วทุกวันก็ต้องใช้น้ำที่ต้มล้างหน้า” 

 

จ้าวฮั่นชิงพยักหน้า 

 

“รอรวบรวมสมุนไพรพวกนั้นได้ครบ ใบหน้าของเจ้าต้องรักษาหายได้แน่” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าคาดว่าพ่อของเจ้าคงหาได้พอประมาณแล้ว บนเขาเซียนโพ้นทะลต้องมีแน่นอน” 

 

จ้าวฮั่นชิงหัวเราะพลางพยักหน้าอีกครั้ง ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง 

 

คุณหนูจวินก้มศีรษะแล้วเอาจดหมายเล่มนั้นออกมา 

 

“สิ่งนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ” นางเอ่ย 

 

จ้าวฮั่นชิงอึ้งไปวูบหนึ่งรีบโบกมือ 

 

“ข้าไม่เอา” นางเอ่ย “เจ้าเก็บ ข้าเก็บก็เหมือนกัน” 

 

“ข้ากำลังจะออกไปข้างนอกไหมเล่า” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “ออกไปข้างนอกครานี้เกรงว่าเนิ่นนานนักถึงกลับมา” 

 

“ไม่ใช่เดือนหนึ่งก็กลับมาแล้วหรือ?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถามด้วยความตกใจ 

 

“แผนการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ข้าต้องไปเมืองเหอเจียนแล้วยังต้องทำเรื่องอื่นบางอย่างด้วย” คุณหนูจวินเอ่ย “ดังนั้นเกรงว่าต้องใช้เวลานานขึ้นสักหน่อย กลับมาช้าลงสักนิด” 

 

รอยยิ้มบนหน้าจ้าวฮั่นชิงค่อยๆ หายไป ก้มหน้ามองจดหมายที่ส่งมา 

 

“ตอนพ่อข้าจากไปก็บอกกับแม่ข้าเช่นนี้ หลังจากนั้นตอนนี้เขาก็ไม่กลับมา” นางเงยหน้ามองคุณหนูจวิน “เจ้าก็จะไม่กลับมาแล้วใช่ไหม?” 

 

จากไปครั้งนี้จะไปยังสถานที่ซึ่งใกล้ชาวจินที่สุด ต้องปกป้องประเทศคุ้มครองประชาชน ย่อมต้องประจันซึ่งหน้ากับชาวจิน 

 

สนามรบไม่ใช่กวาดรังโจร ทหารจินก็ไม่ใช่โจรที่แข็งนอกอ่อนใน พริบตาพลิกผันนับหมื่น ใครกล้ารับประกันว่าตนเองจะไม่พลาด? 

 

ไม่ต้องพูดถึงสนามรบ กระทั่งเดินทางปกติใครจะกล้ารับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุไม่คาดฝัน อาจารย์คนเช่นนั้นยังร่วงลงไปตายเลย 

 

ใครอยากตาย ไม่มีใครอยากตาย นางยิ่งไม่อยากตาย พี่สาวน้องชายตกอยู่ในที่คุมขัง ศัตรูของนางยังมีชีวิตอยู่ดี นางเคยตายไปครั้งหนึ่งแล้ว ยิ่งกลัวความตาย ทว่าไม่อยากตายกลัวความตายแล้วเรื่องบางอย่างจะไม่ไปทำแล้วหรือ? 

 

“ฮั่นชิง ไม่มีใครไม่อยากกลับบ้าน” คุณหนูจวินกุมมือจ้าวฮั่นชิงพลางเอ่ยจริงจัง “ข้าจะจดจำไว้ทุกชั่วขณะว่าข้าต้องกลับมา จดจำว่าเจ้ากำลังรอข้า ข้าจะรักษาตนเองให้ดี”  

 

นางวางจดหมายไว้ในมือจ้าวฮั่นชิง 

 

“เจ้าไม่ใช่เคยบอกว่าไม่เชื่อพ่อของเจ้าแต่เชื่อข้ารึ?”