เยี่ยหลีมองสวีชิงปั๋วที่กำลังขวางหน้านางอยู่ด้วยความตกใจ กระบี่ยาวทะยานพาดผ่านมาจากด้านหลัง เลือดสดๆ ไหลจากคมดาบหยดลงบนเสื้อนางด้านหน้า บางส่วนก็หยดลงบนดวงหน้างดงามราวกับหยกของนาง
“หลีเอ๋อร์…” สวีชิงปั๋วยิ้มขมขื่นอย่างจนใจ ความเจ็บปวดเหลือคณาที่ชัดเจนนี้ทำร่างของเขากระตุกไปบางส่วน ในที่สุดฉินเฟิงที่อยู่ด้านหลังก็สลัดพวกนั้นหลุด แต่กลับได้เห็นภาพที่ทำให้ตนอกสั่นขวัญหายตรงหน้า เขาหลบกระบี่ยาวของคนข้างตัวแล้วเหวี่ยงกลับสู่คนผู้นั้นไป เดิมทีนักฆ่าคิดจะดึงกระบี่ที่เสียบออกมาแล้วค่อยโจมตีซ้ำอีกรอบแต่พลันถูกไอกระบี่อันหนาวเหน็บของฉินเฟิงตัดขาดแยกเป็นสองส่วน
“พระชายา! คุณชายสี่!” เมื่อเห็นว่าทางนี้เกิดเรื่องขึ้น องครักษ์คนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ทยอยรวมตัวกันเข้ามาทางนี้ ความจริงแล้วนี่เป็นความผิดพลาดของพวกเขา ฝีมือของพระชายานั้นทุกคนล้วนประจักษ์แจ้งแก่ใจ ดังนั้นสมาธิของพวกเขาส่วนใหญ่จึงจดจ่ออยู่แต่ศัตรู นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับพระชายาได้ ยามนี้เหล่าองครักษ์ล้วนมารวมตัวกัน แม้การตีวงเข้าล้อมให้แคบลงจะไม่สะดวกต่อการสังหารนักฆ่าเหล่านี้ แต่ทว่าหากมือสังหารพวกนี้อยากจะฝ่าออกไป ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
ฉินเฟิงมองรอบด้านคราหนึ่ง แล้วเข้ามาถามนางว่า “พระชายา ท่าน…”
เยี่ยหลีกัดริมฝีปากเบาๆ พลางกล่าวเสียงหนักแน่นว่า “ข้าไม่เป็นไร ไปดูพี่สี่เถิดว่าเป็นอะไรหรือไม่”
ฉินเฟิงมองออกว่ามือสังหารผู้นั้นไม่ได้ทำร้ายพระชายา คราบเลือดบนร่างนางส่วนใหญ่เป็นของสวีชิงปั๋วทั้งสิ้น แต่สวีชิงปั๋วยามนี้กลับสติพร่าเลือน สะลึมสะลือ ฉินเฟิงตรวจดูอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายอย่างละเอียดก่อนจะถอนหายใจออกมา จับจุดชีพจรบนร่างเขาอีกนิดหน่อยแล้วกล่าวว่า “บาดเจ็บไม่ถึงตาย แต่ว่าคุณชายสี่เสียเลือดไปมาก อย่างไรเสียก็ควรพันแผลและรีบห้ามเลือดให้เขาก่อน ไม่เช่นนั้น…” แต่ยามนี้พวกเขาถูกมือสังหารล้อมไว้ ไม่อาจฝ่าออกไปได้
“ข้าน้อยได้ส่งสัญญาณไปแล้ว องครักษ์ในเมืองคงจะรีบมาถึงที่นี่ในอีกไม่ช้า” ฉินเฟิงมองสีหน้าซีดเซียวของเยี่ยหลีแล้วกล่าว
เยี่ยหลีพยักหน้า พยุงสวีชิงปั๋วอย่างระมัดระวังไม่ให้แผลที่ยังมีกระบี่ปักอยู่ของเขาชนถูกอะไรให้ได้รับบาดเจ็บเพิ่ม
องครักษ์แห่งตำหนักติ้งอ๋องที่อยู่ในเมืองมากันยังไม่ช้าเท่าไรนักไม่นานคนกับอาชากลุ่มใหญ่ก็มาถึง ผู้ที่นำมานั้นคือเฟิ่งจือเหยาและสวีชิงเฟิง สวีชิงเฟิงตีฝ่าวงล้อมเข้าไปกลางวง พอเห็นสวีชิงปั๋วเลือดท่วมตัวก็พลันตาแดงกล่ำ “น้องสี่! หลีเอ๋อร์…”
“พระชายา คุณชายสี่…” เฟิ่งจือเหยาที่ตามมาติดๆ ในใจพลันตึงเครียด พอเห็นเยี่ยหลีปลอดภัยดีจึงค่อยวางใจลง เดิมทีเขากับสวีชิงเฟิงพักว่างๆ กันอยู่ที่หอพักม้า แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นสัญญาณที่ฉินเฟิงส่งมา จึงรีบพาคนขี่ม้าเร่งรุดมา ทว่าจุดเกิดเหตุกลับถูกย้อมด้วยเลือดสีแดงฉานไปถ้วนทั่วเสียแล้ว เฟิ่งจือเหยาแววตาฉายความเย็นเยียบ “ฆ่า! เหลือไว้แค่สองคนก็พอ!”
พอเห็นเฟิ่งจือเหยาและสวีชิงเฟิง เยี่ยหลีก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางรู้สึกหน้าจะมืดจึงยื่นมือไปจับสวีชิงเฟิงไว้แล้วเอ่ยว่า “พี่สาม พาพี่สี่ไปส่งหมอ…รีบไป!” สวีชิงเฟิงพยักหน้ากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้ารู้แล้ว” เขาโน้มตัวลงโอบพยุงสวีชิงปั๋วให้ลุกขึ้นอย่างระมัดระวังไม่ให้โดนกระบี่บนร่าง แล้วพาเขาออกไปด้านนอกภายใต้การอารักขาขององครักษ์หลายนาย เยี่ยหลีลุกขึ้นท่ามกลางการคุ้มกันของเฟิ่งจือเหยาและฉินเฟิง ทว่าเมื่อครู่ร่างกายนางตื่นตระหนกมาโดยตลอด พอผ่อนคลายลงกลับรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกทั่วร่างที่เพิ่มมากขึ้น เบื้องหน้าพลันดับวูบก่อนที่ร่างของนางจะล้มลงกับพื้น
“พระชายา!”
“อาหลี!” เสียงเรียกดุดันเยียบเย็นดังขึ้นจากมุมถนน อาชาพันธุ์ดีตัวหนึ่งวิ่งทยานมากลางถนน ทันใดนั้นเงาร่างอาภรณ์สีขาวก็วาดกระบี่ส่งไอสังหารที่มองไม่เห็นออกไปในอากาศ มือสังหารที่อยู่รอบๆ เยี่ยหลีต่างถูกไอกระบี่ทำร้ายกันหมด หน้าอกปรากฏรอยเลือดออกมาแล้วล้มลงกับพื้น
ม่อซิวเหยาลอยลงสู่พื้น สีหน้ามืดครึ้มรับเยี่ยหลีมาจากมือเฟิ่งจือเหยา เรียกนางด้วยความวิตกร้อนใจ “อาหลี…อาหลี” เขายื่นมือไปจับชีพจรของนาง แต่มือของคนที่แม้จะถือกระบี่อาบเลือดก็ไม่เคยสั่นแม้สักครั้ง ในยามนี้กลับสั่นน้อยๆ จับหาชีพจรของนางไม่เจอเสียที ดังนั้นใบหน้าหล่อเหลาคมคายจึงปรากฏสีหน้าอึมครึมอย่างร้อนใจ หว่างคิ้วมีกลิ่นอายของความโหดร้ายดุดัน เฟิ่งจือเหยาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบกล่าว “ท่านอ๋อง พระชายาไม่ได้รับบาดเจ็บ นางเพียงแค่เป็นลมไปเท่านั้น” ความจริงไม่ต้องจับชีพจรดูก็รู้ว่าลมหายใจของเยี่ยหลีนั้นปกติมั่นคง ม่อซิวเหยากังวลเกินไป จึงไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้
ม่อซิวเหยานิ่งไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็ดูเหมือนจะใจเย็นลงได้ ดวงตาแวววาวเป็นประกายชัด แล้วเขาถึงได้ดึงมือเยี่ยหลีมาจับชีพจรดูอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจนักแต่ในฐานะผู้ที่มีวรยุทธแล้วก็ยังพอจะมีความรู้พื้นฐานของการจับชีพจรอยู่บ้าง เขารู้สึกถึงชีพจรของเยี่ยหลีที่มั่นคงไม่ได้รับบาดเจ็บภายในใดๆ สีหน้าจึงค่อยๆ อบอุ่นขึ้นมาบ้าง เฟิ่งจือเหยากล่าวเสริมขึ้นว่า “ข้าน้อยได้สั่งคนให้ไปพาหมอมาแล้ว ท่านอ๋องโปรดวางพระชายาลงก่อนเถิด”
“ท่านอ๋อง ในสวนดอกไม้มีที่พักผ่อนอยู่ พาพระชายาไปพักด้านในก่อนชั่วคราวดีหรือไม่เพคะ” ซุนฮูหยินเดินเข้ามากล่าวด้วยสีหน้าซีดเผือด วันนี้ที่นี่ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากพระชายาไม่เป็นอะไรก็ดีไป แต่หากเกิดอะไรขึ้นมา ไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลซุน ตระกูลซุนก็คงยากที่จะหนีพ้น ดังนั้นแม้ยามนี้ซุนฮูหยินเองก็ตกใจจนแข้งขาอ่อน แต่ก็จำต้องออกมาพูดคุยเจราจา
ม่อซิวเหยาอุ้มเยี่ยหลีขึ้น มองซุนฮูหยินอย่างเฉยเมย ก่อนจะก้าวขาเดินเข้าไปด้านในสวน
หมอมาได้ทันกาล ม่อซิวเหยาเพิ่งจะถูกซุนฮูหยินพามาที่หอเล็กๆ ในสวนดอกไม้แล้วอุ้มเยี่ยหลีวางลง ด้านนอกประตูฉินเฟิงและเฟิ่งจือเหยาก็ต่างคนต่างหิ้วท่านหมอเดินเข้ามาแล้ว หมอทั้งสองนั้นไม่ใช่หมอทหารในกองทัพตระกูลม่อของตำหนักติ้งอ๋อง แต่เป็นท่านหมอที่หลังจากองครักษ์ได้รับคำสั่งของม่อซิวเหยา ก็รีบไปพาตัวมาจากโรงหมอในละแวกนั้น ทั้งคู่ถูกพาตัวมาที่นี่กะทันหัน จึงตกใจอย่างหนัก พอเห็นม่อซิวเหยาที่ผมสีขาวหน้าตาดำทะมึนนั่งอยู่บนเตียงก็อดจะขาอ่อนยวบลงไปนั่งกองกับพื้นไม่ได้
ซุนฮูหยินรีบพยุงทั้งคู่ขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ท่านหมอทั้งสองรีบตรวจดูชีพจรพระชายาเถิด”
ทั้งคู่พอถูกนางเตือนสติ จึงได้รู้สึกตัวขึ้น ก้าวแข้งขาที่อ่อนยวบไปยังเตียง พอเห็นม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ม่อซิวเหยาส่งเสียงขึ้นจมูกเบาๆ พิจารณาหมอสองคนครู่หนึ่งแล้วจึงหยัดกายขึ้นหลีกที่ข้างเตียงให้
แม้ว่าหมอทั้งสองจะไม่ได้เก่งกาจอะไรมากนัก แต่ในโรงหมอล้วนมีคนหลากหลายประเภทมาแต่ไหนแต่ไร ข่าวคราวใช่ว่าจะปิดกั้น ยามนี้ย่อมเดาได้ว่าสตรีที่นอนอยู่บนเตียงนางนี้คือพระชายาองค์ใด เมื่อสบเข้ากับดวงตาคมกริบของม่อซิวเหยาจึงยิ่งระมัดระวังมากขึ้น ผลัดกันเข้ามาจับชีพจรเยี่ยหลีดู ใช้สายตาสื่อสารผลการวินิจฉัยกัน ม่อซิวเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับทนไม่ไหว กล่าวเสียงเข้มว่า “สรุปแล้วอาหลีเป็นอย่างไร”
หมอท่านหนึ่งขมวดคิ้วจับชีพจร ในที่สุดก็ได้คำตอบที่แน่ชัดจึงหันไปประสานมือให้ม่อซิวเหยาพร้อมหมออีกท่านกล่าวว่า “ท่านอ๋องโปรดวางใจ พระชายาปลอดภัยดี”
ม่อซิวเหยาสีหน้ากลับไม่ดีขึ้น กล่าวเสียงหนักว่า “ข้าถามว่าเหตุใดพระชายาจึงยังไม่ฟื้น!”
ท่านหมอตระหนกรีบกล่าวตอบว่า “ระ…เรียนท่านอ๋อง พระชายามีครรภ์ได้เกือบสามเดือนแล้วจึงสลบไปยังไม่ฟื้นเช่นนี้…คงเป็นเพราะเด็กได้รับความตกใจไปเมื่อครู่…”