“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” ทุกคนต่างตกตะลึง ม่อซิวเหยาจับคอเสื้อหมอแล้วเอ่ยถาม หมอคนนั้นถูกทำให้ตกใจไม่น้อยไหนเลยจะพูดอะไรออก หมออีกคนที่อยู่ข้างๆ จึงรีบกล่าวตอบ “เรียนท่านอ๋อง พระชายามีครรภ์จริงๆ ส่วนอื่นๆ…ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร…”
ภายในห้องนั้น เฟิ่งจือเหยา ฉินเฟิง และซุนฮูหยินต่างถอนหายใจกันออกมา แล้วพลันยินดีปรีดา เฟิ่งจือเหยาเข้าไปช่วยหมอผู้น่าสงสารที่เกือบจะถูกม่อซิวเหยากำคอแน่นจนหายใจไม่ออก แล้วกล่าวกับม่อซิวเหยาว่า “ท่านอ๋อง ยินดีกับท่านอ๋องด้วย ตำหนักติ้งอ๋องจะมีทายาทน้อยมาเพิ่มอีกคนแล้ว” ม่อซิวเหยาเพิ่งจะได้สติก็เดินไปนั่งข้างเตียง มองคนบนเตียงด้วยความตื่นตะลึง เฟิ่งจือเหยายักไหล่อย่างจนใจ หันไปคุยกับหมอว่า “พระชายาไม่เป็นอะไรจริงๆ แน่นะ แล้วเมื่อใดจึงจะฟื้น”
หมอตอบเสียงเบาว่า “พระชายาได้รับความตกใจอยู่มาก อาการหลักๆ คือเด็กในครรภ์หายใจอ่อนแรง เกรงว่าคงได้รับความตกใจไปมาก พระชายาสลบไปเช่นนี้ก็เป็นการปกป้องครรภ์อย่างหนึ่ง ข้าน้อยจะออกยาบำรุงครรภ์และบำรุงชีพจรให้พระชายา อีกสองสามวันเป็นอย่างมากก็น่าจะฟื้น”
เฟิ่งจือเหยามองหมอทั้งสองด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เอ่ยถามว่า “ท่านทั้งสองแน่ใจหรือ”
หมอทั้งสองพยักหน้าอย่างขื่นขม จำใจกล่าวว่า “ข้าน้อยรับรอง พระชายาปลอดภัยดี จะว่าไปแล้วสุขภาพของพระชายาแข็งแรงดีมาก หากสตรีธรรมดาๆ ได้ประสบกับเรื่องในวันนี้…เกรงว่าจะรักษาเด็กไว้ได้ยาก ครานี้พระชายาเพียงแค่กระทบไปโดนครรภ์เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” เฟิ่งจือเหยาจึงพยักหน้าอย่างพอใจแล้วกล่าว “เช่นนี้ก็ดี หลายวันนี้ก็รบกวนท่านหมอทั้งสองไปอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องคอยดูแลพระชายาด้วยก็แล้วกัน แน่นอนว่า ตำหนักติ้งอ๋องย่อมให้ค่าตอบแทนในการรักษาอย่างงาม”
ทั้งคู่ทราบดีว่าไม่มีหนทางให้ปฏิเสธ จึงทำเพียงพยักหน้าตอบรับไป เฟิ่งจือเหยาจึงให้คนพาหมอทั้งสองไปออกใบสั่งยาและต้มยา
พอป้อนยาแก่เยี่ยหลีเรียบร้อยแล้ว แม้จะยังคงไม่ฟื้นแต่จากสีหน้าของนางก็ดูดีขึ้นไม่น้อย ม่อซิวเหยาที่สีหน้าอึมครึมมาโดยตลอดก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงบ้าง จนเฟิ่งจือเหยามารายงานว่าได้จับมือสังหารทั้งหมดไว้แล้ว ม่อซิวเหยาที่เมื่อครู่ห่มผ้าให้เยี่ยหลีอย่างระมัดระวังก็หยัดกายลุกขึ้นเดินออกไป
โถงด้านนอก ซุนฮูหยินยังคงเฝ้าอยู่ตรงนั้นไม่กล้าไปไหน พอเห็นม่อซิวเหยาออกมา นางจึงเข้าไปคุกเข่ากล่าวเสียงเบาว่า “ซุนอวี๋ซื่อมีความผิด ขอท่านอ๋องโปรดลงโทษด้วย”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงขึ้นจมูกแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ภายในหนึ่งชั่วยามนี้จงบอกที่มาที่ไปของนักฆ่าพวกนี้มาให้หมด หากทำไม่ได้…” ไม่รอให้ม่อซิวเหยากล่าวจบ ซุนฮูหยินก็รีบกล่าวว่า “ขอบคุณท่านอ๋องที่เมตตา ข้าน้อยรับทราบแล้ว” นางคำนับม่อซิวเหยาทีหนึ่งแล้วก็รีบออกจากประตูไป
ม่อซิวเหยาเดินออกมานอกประตู กวาดตามองฉินเฟิง จั๋วจิ้งและหลินหานทีหนึ่ง กล่าวเสียงเข้มว่า “โทษที่ไร้ความรับผิดชอบ รอให้อาหลีฟื้นมาก่อนข้าค่อยคิดบัญชีกับพวกเจ้า หากเกิดอะไรขึ้นกับอาหลีอีก…” ฉินเฟิงกล่าวด้วยความเคารพอย่างสุดแสนว่า “ข้าน้อยรับบัญชา” ม่อซิวเหยาสบถเสียงเย็นสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป จั๋วจิ้งกับหลินหานที่ยืนข้างๆ เขาล้วนถอนหายใจกันออกมายกใหญ่ จั๋วจิ้งยื่นมือไปตบบ่าปลอบใจฉินเฟิงแล้วรีบติดตามม่อซิวเหยาไปกับหลินหาน
ภายในสวนดอกไม้ของสกุลซุนยามนี้ แม้จะมีคนมากมายแต่บรรยากาศกลับกดดันให้คนหวาดกลัว บนพื้นที่ว่างติดกับศาลาริมน้ำด้านนอกสวนดอกไม้นั้น เหล่าคุณหนูและสตรีสูงศักดิ์ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงในครานี้ล้วนถูกกักตัวมาไว้ที่นี่ เมืองหลวงซีหลิงในเดือนเก้านี้เริ่มจะหนาวแล้ว แต่แม้บรรดาสตรีเหล่านี้จะยืนเผชิญหน้ากับทหารตระกูลม่อที่หน้าตาไม่แสดงอารมณ์ใดท่ามกลางลมหนาวมาชั่วยามกว่าๆ แล้ว แต่กลับไม่มีใครกล้าบ่นออกมาว่าหนาวสักคน
ไป๋ชิงหนิงนั่งอกสั่นขวัญแขวนอยู่ข้างๆ ไป๋ฮูหยิน ก่อนหน้านี้ไป๋ฮูหยินที่ยืนอยู่ด้านนอกสุดก็ตกใจเหลือแสนเช่นกัน สองคนแม่ลูกคนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนอย่างไม่โดดเด่นสะดุดตาใดๆ เพราะยามนี้คนอื่นๆ ก็มีสภาพไม่ต่างไปจากพวกนางมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกมือสังหารที่ถูกองครักษ์ตำหนักติ้งอ๋องจับไว้ได้ไม่ไกลจากนี้เลย หลังจากถูกถอดหน้ากากออกนึกไม่ถึงว่าหนึ่งในนั้นจะมีคนที่พวกนางคุ้นหน้าคุ้นตารวมอยู่ด้วย สำหรับคนที่มีสัมผัสไวแล้วย่อมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพายุกำลังจะมาในไม่ช้า
“คารวะท่านอ๋อง” องครักษ์ตำหนักติ้งอ๋องทำความเคารพอย่างเคร่งขรึมและนอบน้อม ม่อซิวเหยาในอาภรณ์ขาวก้าวยาวๆ เข้ามา ผมยาวขาวดุจหิมะพลิ้วไหวท่ามกลางสายลม ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงทำให้คนมองอดจะรู้สึกหนาวเหน็บเข้ากระดูกไม่ได้ ม่อซิวเหยาไม่ได้ไปดูบรรดาสตรีที่ยังอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่ แต่กลับใช้สายตามองพวกมือสังหารที่ถูกกดไว้กับพื้นพวกนั้นแทน เขาหลุบตาลงมองกล่าวว่า “พวกมันเป็นใคร”
เฟิ่งจือเหยากล่าวเสียงต่ำ “เรียนท่านอ๋อง ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนมีที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน คนนี้คือ…องครักษ์ของกองทหารอวี้หลินแห่งซีหลิง ส่วนนี่เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในกรมกลาโหม ทั้งคู่ล้วนเกิดในตระกูลสูงศักดิ์เก่าแก่ของซีหลิง”
“ดียิ่ง…” ม่อซิวเหยายิ้มกล่าวเสียงต่ำ ก้มหน้ามองดูบุรุษอายุน้อยที่ถูกคนหักขาและกดตัวอยู่ที่พื้น และกำลังใช้สายตาอาฆาตแค้นมองมาที่ตน จึงยอบกายลงนั่งยองๆ ใช้มือข้างหนึ่งจับใบหน้าบุรุษผู้นั้นให้เงยขึ้น ยิ้มกล่าวเสียงเรียบ “ตระกูลสูงศักดิ์ของซีหลิงหรือ ช่างกล้าไม่เบา…”
“ม่อซิวเหยา เจ้าหยุดคิดยึดครองเมืองหลวงแห่งซีหลิงเสีย เจิ้นหนานอ๋องต้องกลับมาแน่!” บุรุษผู้นั้นก่นด่าอย่างเกรี้ยวกราด
ม่อซิวเหยากลับไม่โกรธ “เหลยเจิ้นถิงหรือ น่าเสียดาย…ดูๆ แล้วเมืองหลวงซีหลิงก็คงไม่ได้สำคัญอะไรนักในสายตาเหลยเจิ้นถิง แต่เจ้าวางใจได้ ข้าทำให้เจ้าได้สมปรารถนาแน่ ในภายหน้าข้าจะเอาอัฐิของเหลยเจิ้นถิงมาโปรยบนท้องถนนทั่วทุกตรอกซอกซอยของซีหลิงให้ผู้คนได้เหยียบย่ำ ส่วนยามนี้…เจ้าห่วงตัวเองเสียก่อนจะดีกว่า” จบประโยคก็ได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ ดังขึ้น บุรุษผู้นั้นสีหน้าบิดเบี้ยว กระดูกหน้าอกเว้าเข้าไปอย่างแปลกประหลาด ริมฝีปากกระอักเลือดออกมาไม่หยุด
“ม่อซิวเหยา เจ้า…เจ้าไม่ได้ตายดีแน่! เจ้าและเยี่ยหลีต้อง…!” ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ร่างของบุรุษผู้นั้นพลันกระเด็นไปด้านหลังผ่านผู้คนไปชนเข้ากับกำแพงที่อยู่ไกลออกไป ได้ยินเพียงเสียงดังอัก บนกำแพงถูกอาบย้อมไปด้วยคราบเลือดสีแดงฉาน ร่างไร้วิญญาณของบุรุษผู้นั้นพลันอ่อนยวบยาบไหลตกลงมากองกับพื้น “รนหาที่ตาย!”
ภายในสวนพลันเงียบกริบ ทุกคนต่างมองบุรุษผมขาวตรงหน้าด้วยความตระหนกตกใจ ราวกับว่าคนเบื้องหน้านี้ไม่ใช่ท่านอ๋องผู้สง่างามชื่อเสียงสะท้านฟ้าแต่เป็นปีศาจร้ายที่ออกมาจากนรก
ม่อซิวเหยากลับไม่เหลือบดูศพที่อยู่มุมกำแพงนั้น เขาก้มหน้ามองมือสังหารอีกคนแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “องครักษ์ของกองทหารอวี้หลินหรือ ฮ่องเต้ซีหลิงส่งเจ้ามาลอบสังหารอาหลีของข้าสินะ”
เพิ่งจะตกใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ แม้องครักษ์แห่งกองทหารอวี้หลินจะมีสมยานามว่ากองกำลังทหารอันเกรียงไกรแห่งซีหลิง ก็ยังอดจะขลาดกลัวขึ้นมาไม่ได้
“เป็นเจตนาของข้าเอง ไม่เกี่ยวกับผู้ใดทั้งสิ้น จะฆ่าจะแกงก็สุดแล้วแต่ท่าน!” องครักษ์แห่งอวี้หลินกัดฟันกล่าวด้วยความเยือกเย็นในจิตใจอันแข็งกล้า
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ดี กล้าหาญดี ข้าจะทำให้เจ้าได้สมปรารถนา ฆ่าล้างตระกูล!”
บุรุษผู้นั้นเมื่อได้ยินก็พลันเบิกตาโพลง “ไม่…เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้!”
“เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าดูว่าข้าทำได้หรือไม่” ม่อซิวเหยายิ้มเรียบกล่าว “เฟิ่งซาน พาตัวมาแล้วหรือยัง” เฟิ่งจือเหยาที่อยู่ข้างๆ มองม่อซิวเหยาที่พูดไปหัวเราะไปท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจอะไร ก็พลันทอดถอนใจ หลุบตาซ่อนความเป็นห่วงเอาไว้แล้วพยักหน้ากล่าวว่า “เรียนท่านอ๋อง ตระกูลทั้งสามของมือสังหารที่ตรวจสอบฐานะได้ล้วนมารอให้จัดการอยู่ที่ด้านนอกแล้ว”
ม่อซิวเหยากล่าวเสียงเรียบว่า “ฆ่าเสีย”