127 ลวดลายสีทองเข้ม

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 127 ลวดลายสีทองเข้ม

“ปรากฏว่าข้ากลายเป็น ‘ลุง’ ไปเสียแล้ว…”

 

ซูฉินมองตามหลังจักรพรรดิหลี่เชิงที่เดินจากไปด้วยความประหลาดใจ

 

โดยไม่ทันรู้ตัวก็ผ่านมาห้าหกปีแล้วที่เขาเข้ามาอยู่ในวังหลวง ในช่วงเวลานี้ซูฉินเฝ้าดูจักรพรรดิถังอย่างหลี่เชิงเปลี่ยนจากจักรพรรดิมือใหม่กลายมาเป็นจักรพรรดิผู้มีอํานาจเบ็ดเสร็จ

 

นอกจากนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซูฉินก็ลงชื่อเข้าใช้ในสถานที่ต่างๆ และได้รับโอสถศักดิ์สิทธิ์มามากมาย

 

“น่าเสียดาย…”

 

“มันยังไม่ไปถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับนภาชั้นที่สี่…”

 

“ไม่ต้องรีบ”

 

“ข้ายังมีเวลาอีกมาก ดังนั้นข้าก็จะใช้เวลาให้เต็มที่”

 

ซูฉินไม่ได้คิดมาก ใจของเขาสงบมากขึ้นเรื่อยๆ

 

สําหรับซูฉินแล้ว เขาเพียงแค่ต้องลงชื่อเข้าใช้เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ มีอะไรให้ต้องกังวลอีก? 

 

ในวังหลวงไม่เพียงแต่จะปลอดภัย แต่ยังไม่มีใครมารบกวนตัวเขาอีกด้วย สําหรับซูฉินนี้ย่อมเป็นสรวงสวรรค์แห่งการฝึกฝนบ่มเพาะ

 

“ในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ สิทธิ์ในการลงชื่อเข้าใช้ของข้าถูกใช้ไปกับแท่นบูชาเทพธรณีฯ เกือบทั้งหมด”

 

“โลหิตรู้แจ้งประมาณพันหยดและหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติอีกหลายพันหยด นอกจากนี้ยังได้สมบัติและโอสถศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่นๆ อีกมากมาย…”

 

“ด้วยอัตราการบริโภคของข้าในปัจจุบัน ของพวกนี้อย่างน้อยๆ ก็เพียงพอสําหรับเวลาห้าปี”

 

“ต่อไป ข้าจะมุ่งเน้นไปลงชื่อเข้าใช้ที่อื่นบ้างดีไหม? อย่างเช่น จัตุรัสหยกขาว ไม่แน่ข้าอาจจะได้รับทิพยอํานาจอันอื่นมาอีกก็ได้”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน ทันใดนั้นเขาก็ร่างแผนการขึ้นในใจ

 

ตอนที่ลงชื่อเข้าใช้ที่แท่นบูชาเทพธรณีฯ หกในสิบจะได้หยดนจิตวิญญาณธรรมชาติ อีกสามในสิบได้โลหิตรู้แจ้ง ส่วนอีกหนึ่งส่วนที่เหลือก็จะได้ของประเภทอื่นๆ คละเคล้ากันไป

 

นอกจากนี้ปริมาณหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติและโลหิตรู้แจ้งที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้แต่ละครั้งก็แตกต่างกันไปเช่นกัน

 

ตัวอย่างเช่น ซูฉินเคยลงชื่อและได้รับหยดนจิตวิญญาณที่เดียวยี่สิบหยด แต่บางครั้งก็ได้เพียงแค่หยดเดียว

ส่วนโลหิตรู้แจ้งก็เป็นเช่นเดียวกัน แต่ที่ซูฉินลงชื่อได้รับมามากที่สุดอยู่ที่สิบสองหยด

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ที่โถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิถังมองไปที่รายงานในมือตนด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

 

“องค์ชายทุกพระองค์ไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของจักรพรรดินั้นยังพอทนได้ แต่พวกเขากลับสุมไฟและขัดขวางไม่ให้ข้าออกพระราชกฤษฎีกาได้ นี่มันหมายความเช่นไร?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวเน้นทุกคำ

 

“ฝ่าบาท โปรดสงบใจก่อน”

 

“ฝ่าบาท โปรดสงบใจก่อน”

 

เหล่าข้าราชบริพารต่างคุกเข่ากับพื้นแล้วกล่าวคําเสียงดัง

 

“ให้เก็บกดความโกรธเกรี้ยวเอาไว้น่ะหรือ?”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงส่ายหัวเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ถ้าข้ายังสงบอารมณ์ต่อไป สถานการณ์เช่นนี้ไม่เท่ากับข้ามอบอํานาจให้เหล่าองค์ชายหรอกหรือ”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันและเดินไปเดินมา

 

องค์ชายราชวงศ์ถังต่างซ่องสุมกำลังพลของตนเอง คิดสร้างความวุ่นวาย แต่ตัวหลี่เชิงเองก็อยากจะจัดการเหล่าองค์ชายมาเนิ่นนานแล้ว

 

“ลองว่ามาซิ ถ้าข้าตัดทอนอำนาจศักดินา พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร?”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงเหลือบมองไปที่เหล่าขุนนางทั้งหลายและกล่าวว่า

 

“ตัดทอนอํานาจศักดินา?”

 

ข้าราชบริพารต่างตกตะลึง

 

นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

 

ราชาแห่งหัวเมืองทั้งสิบกับอาณาจักรกลางนั้นเชื่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากเสียหนึ่งในนั้นไปมันจะส่งผลมาถึงส่วนกลางด้วย ในเวลานั้นราชาของหัวเมืองทั้งสิบจะต้องก่อกบฏและทั้งอาณาจักรถังจะตกอยู่ในสงครามอย่างต่อเนื่อง

 

“ฝ่าบาท โปรดพิจารณาอย่างระมัดระวังในเรื่องการตัดทอนศักดินาด้วย…”

 

ขุนนางบางคนอ้อนวอนด้วยความรู้สึกขมขื่น

 

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ถึงอันตรายแฝงจากเหล่าราชาหัวเมืองต่ออาณาจักรถัง แต่ทําไมพวกเขาถึงไม่อยากให้มีการตัดทอนอํานาจศักดินา?

 

นั่นเป็นเพราะเหล่าขุนนางกลัวเกรงผลที่ตามมา

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงถอนหายใจเบาๆ ขณะเฝ้ามองท่าทีของเหล่าขุนนางทั้งหลาย

 

ในความเป็นจริง เขาเข้าใจความคิดของเหล่าขุนนางดี หากไม่ตัดทอนอํานาจศักดินา องค์ชายพวกนั้นก็จะอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง แต่เมื่อมีการตัดทอนอํานาจศักดินา เหล่าองค์ชายและเหล่าขุนนางท้องถิ่นที่สิ้นหวังย่อมไม่อาจจะคะเนได้ว่า คนเหล่านั้นจะทําอะไรต่อไป?

 

“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อนเถอะ”

 

“ข้าอยากจะพักผ่อนสักครู่”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงโบกมือของเขา ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง แล้วกลับมานั่งที่บัลลังก์มังกรอีกครั้งหนึ่ง

 

ในช่วงหลายปีที่เขาขึ้นครองราชย์ นโยบายต่างๆ ถูกนํามาใช้อย่างต่อเนื่องซึ่งทําให้อาณาจักรถังดีขึ้นอย่างมาก แต่เพราะแบบนั้นอันตรายแฝงที่ซ่อนอยู่จากเหล่าองค์ชายก็เริ่มเผยออกมามากขึ้น

 

อาณาจักรถังต้องการก้าวหน้าไปอีกขั้น และการที่จะก้าวเข้าสู่ยุครุ่งเรืองอย่างแท้จริงจําเป็นต้องแก้ปัญหาเรื่ององค์ชายและเหล่าขุนนางพวกพ้องไปเสียก่อน

 

การปล่อยเหล่าองค์ชายเอาไว้หนึ่งวัน อาณาจักรถังก็เหมือนจะถูกกดดันหนักข้อขึ้นไปอีก

 

“ตามพระประสงค์”

 

เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันและปลีกตัวออกจากท้องพระโรงไปทีละคน

 

หลังจากข้าราชบริพารจากไปหมดแล้ว องค์จักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังก็ออกไปด้านนอกอีกครั้งพร้อมกับเหล้าหนึ่งขวด มุ่งไปยังตําหนักชุนฝั่งขวา

 

“พี่สาม ข้ามาอีกครั้งแล้ว…”

 

จักรพรรดิถังมาพบซูฉินพร้อมกับขวดเหล้าที่อยู่ข้างตัว

 

จักรพรรดิหลี่เชิงไม่เคยดื่มเครื่องดื่มมึนเมามาก่อนในช่วงชีวิตของเขา เพราะรู้สึกว่าเครื่องดื่มมึนเมานั้นจะส่งผลต่อการใช้ความคิดของเขา แต่วันนี้เนื่องจากปัญหาจากเหล่าองค์ชายทําให้เขาต้องใช้เครื่องดื่มมึนเมาเพื่อบรรเทาความเครียดของตน

 

“พี่สาม ท่านคิดว่าข้าตัดสินใจผิดหรือไม่ที่พยายามจะตัดทอนอํานาจศักดินา?”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงกระซิบถาม

 

หากเขารอมชอมกับหัวเมืองทั้งสิบเพื่อหาจุดลงตัว เขาก็จะสามารถสร้างความสงบสุขให้กับอาณาจักรถังได้ชั่วคราว แต่หลังจากนั้นจะเป็นเยี่ยงไรเล่า?

 

เหล่าหัวเมืองทั้งสิบมักจะสร้างปัญหาให้กับอาณาจักรถังอยู่แล้ว ถ้าในอนาคตเหล่าหัวเมืองทั้งสิบต่างปีกกล้าขาแข็งและคิดริเริ่มที่จะก่อกบฏมันอาจจะเป็นจุดจบของอาณาจักรถัง

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ทําไมไม่ควรเริ่มดึงอํานาจเข้ามาสู่ส่วนกลาง? แต่กลับต้องรอให้เหล่าหัวเมืองก่อกบฏ?

 

“มันไม่มีปัญหาหรอกถ้าจะตัดทอนอํานาจศักดินา”

 

ซูฉินเห็นความกังวลขององค์จักรพรรดิถัง จึงกล่าวขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก “เพียงแต่เจ้าต้องเตรียมพร้อมสําหรับผลที่จะตามมาหลังจากที่ตัดทอนอํานาจศักดินาด้วย”

 

“พูดง่ายๆ ก็คือสถานการณ์ในอาณาจักรถังปัจจุบัน จะทนต่อการกระด้างกระเดื่องของขุนนางจากทั้งสิบหัวเมืองได้หรือไม่?”

 

น้ำเสียงของซูฉินเรียบง่าย แต่เขาได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรถังออกมาโดยตรง

 

คือเจ้ามีความมั่นใจพอจะโค่นอํานาจศักดินาหรือไม่?

 

แม้ว่าจักรพรรดิหลี่เชิง หลังจากขึ้นครองบัลลังก์จะมีการบังคับใช้กฎหมายจนอาณาจักรถังค่อยๆ รุ่งเรืองขึ้น

 

แต่การค่อยๆ รุ่งเรืองขึ้นกับการรุ่งเรืองอย่างทั่วถึงนั้นต่างกัน

 

“พี่สาม ท่านคิดว่าอาณาจักรถังในปัจจุบันยังไม่สามารถตัดทอนอํานาจศักดินาลงได้อย่างนั้นหรือ?” จักรพรรดิหลี่เชิงกล่าวถามหลังจากคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง

 

“เจ้ากําลังรีบเกินไป”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

เขาอาศัยอยู่ในวังหลวงมาเป็นเวลานาน แม้ว่าเขาจะขี้เกียจดูแลสิ่งต่างๆ แต่จากมุมมองของซูฉินเขาก็เห็นว่าอาณาจักรถัง อย่างไรก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีเพื่อสั่งสมรากฐานให้มากพอก่อนที่จะมีคุณสมบัติในการตัดทอนอํานาจศักดินา

 

“ข้ารีบมากเกินไป…”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงครุ่นคิดจนหน้าผากของเขาค่อยๆ ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

 

“ขอบคุณพี่สามสําหรับคําสั่งสอน…”

 

จักรพรรดิถังคํานับซูฉินอย่างสุดซึ้ง ซูฉินเข้าใจสิ่งที่ตัวเขามองข้ามไปได้อย่างรวดเร็ว

 

นั่นคือเขาวิตกกังวลจนเกินไป

 

การปกครองอาณาจักรก็เหมือนกับการปรุงอาหาร มันมีขั้นตอนเล็กๆ ยิบย่อยมากมากมายให้ค่อยๆ ทํา หากต้องการจะทําทุกอย่างในขั้นตอนเดียวไม่เพียงแต่จะไม่ใช่ เรื่องดี แต่ยังจะเป็นการสร้างภัยร้ายให้กับตนเองด้วย

 

“ไม่เป็นไร”

 

ซูฉินตอบกลับไปอย่างสบายๆ

 

ตัวเขาก็พูดออกไปเพียงไม่กี่คํา ทุกสิ่งย่อมขึ้นอยู่กับความเข้าใจของตัวจักรพรรดิถังเอง

 

“อ้อแล้วก็มีอีกเรื่อง พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกแล้วพูดขึ้นในทันที “เมื่อวานข้าได้ไปที่คลังหลวงมา และพบสิ่งแปลกประหลาด แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจมันจนถึงตอนนี้ เชิญคนหลายคนมาตรวจสอบดู พวกเขาต่างก็บอกว่าไม่รู้อะไรมากนัก…”

 

“พี่สาม ท่านมีความรู้อยู่มาก ท่านลองตรวจสอบดูหน่อยดีไหม…”

 

ในขณะที่พูด จักรพรรดิถังก็หยิบกล่องไม้ออกมาจากแขนเสื้อ

 

กล่องไม้นี้มีความประณีตละเอียดอ่อนมาก มีลวดลายสีทองเข้มอยู่อย่างจางๆ ดูเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดายิ่ง

 

“หือ?”

 

ซูฉินไม่ได้สนใจอะไรมากนักในคราแรก แต่เมื่อเห็นกล่องไม้ สีหน้าของเขาก็ขมวดยิ่งขึ้นเล็กน้อยและสายตาก็จับจ้องไปตามลวดลายสีทองเข้มที่ปรากฏบนผิวของกล่อง