128 ตํานานยุทธเมื่อห้าร้อยปีก่อน

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 128 ตํานานยุทธเมื่อห้าร้อยปีก่อน

 

“นี่คือ?”

 

“ค่ายกลฟ้าดินระดับสูง?”

 

ในขณะที่สายตาของซูฉินไปตกอยู่ที่เส้นสีทองเข้มบนกล่องไม้ ความคิดของเขาก็ผันผวนรวนเร

 

กล่องไม้ในพระหัตถ์ของจักรพรรดิหลี่เชิงค่อนข้างธรรมดา แต่แกะสลักมาจากไม้จันทน์อายุกว่าร้อยปี สําหรับคนทั่วไปแล้วก็คงจะมีค่ามาก แต่เมื่อเทียบกับลวดลายสีทองเข้มที่ดูลึกลับบนพื้นผิวของกล่องนั้นก็เป็นคนละเรื่องกันเลย

 

ในสายตาของซูฉิน เขาเห็นเส้นสีทองเข้มบนผิวกล่องไม้ เหมือนเป็นเกราะป้องกันพลังผันผวนที่อยู่ภายใน

 

ถ้าซูฉินไม่ได้มองเห็นมันด้วยตาตนเอง ต่อให้กวาดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เป็นพันๆ ครั้งก็คงไม่พบของสิ่งนี้

 

“มองดูจากความสามารถในการแกะสลักรูปแบบค่ายกลฟ้าดิน ความแข็งแกร่งของคนคนนี้ต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าอรหันต์ถัวอา เมื่อเก้าร้อยปีก่อน…”

 

ความคิดของซูฉินสลับปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

 

ก่อนที่อรหันต์ถ้วจะจากไป ท่านได้สร้างค่ายกลฟ้าดินไว้มากมายที่ห้องลับนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการพบเห็นของผู้อื่น

 

อย่างไรก็ตามในเหล่าค่ายกลที่ถูกสร้างทิ้งไว้โดยอรหันต์ถัวถูกตั้งไว้ที่ประตูหินด้านนอกห้องลับ ประตูหินมีขนาดใหญ่ มันกว้างหลายเมตร เพียงพอที่จะก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินอย่างเหลือแหล่

 

แต่กล่องใบนี้มีขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น มันยากมากที่จะก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินอันซับซ้อนไว้ได้ และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่อรหันต์ถ้วจะทําได้

 

“อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับนภาชั้นที่สาม…”

 

ซูฉินคาดเดาในใจ และเริ่มสงสัยกล่องใบนี้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

 

ซูฉินอยากรู้ว่าสมบัติประเภทใดที่คุ้มค่ากับความพยายามของบุคคลผู้แข็งแกร่งอย่างน้อยๆ ก็ระดับนภาชั้นที่สาม เพื่อมาปกป้องมันด้วยค่ายกลฟ้าดินที่ซับซ้อนเช่นนี้ ป้องกันไม่ให้คนอื่นค้นพบ

 

“พี่สาม สนใจสิ่งนี้หรือ?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงถามขึ้นโดยไม่จริงจังมากนัก เมื่อเห็นท่าทางของซูฉิน

 

“ก็นิดหน่อย”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้น

 

ตั้งแต่ซูฉินเกิดมาในโลกนี้ ตัวตนระดับอรหันต์ที่เขาเคยสัมผัสมืออยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้น หนึ่งคืออรหันต์ “ถัวอา” อีกคนหนึ่งคือมารพุทธะ

 

ตอนนี้ได้มาพบคนที่สามแล้ว จะให้ซูฉินทําเป็นเฉยเมยได้อย่างไร?

 

“ในเมื่อพี่สามสนใจ ข้าก็จะมอบมันให้กับพี่สาม”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงส่งมอบกล่องไม้ให้ซูฉินโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

 

“อ้อใช่พี่สาม ข้าได้ยินมาจากผู้เฒ่าที่เฝ้าคลังหลวงว่า กล่องไม้นี้ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับปฐมกษัตริย์ แต่ข้าก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร”

 

จักรพรรดิถังนึกขึ้นได้จึงให้ข้อมูลเพิ่ม

 

“ปฐมจักรพรรดิ?”

 

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

 

เมื่อเขาเห็นกล่องใบนี้ ตั้งแต่แรกก็เดาเอาไว้แล้วว่ามันคงจะถูกทิ้งเอาไว้โดยผู้ก่อตั้งอาณาจักรถัง เพราะตลอดห้าร้อยปีของ อาณาจักรถังมีเพียงปฐมจักรพรรดิเท่านั้นที่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธและมีความสามารถมากพอจะก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินพวกนี้

 

จักรพรรดิหลี่เชิงพูดคุยกับซูฉินอีกไม่กี่คําแล้วจึงจากไป

 

ซูฉินนั่งไขว้ขา มองกล่องตรงหน้าอย่างเงียบๆ

 

ไม่มีช่องว่างหรือรอยต่อใดเลยที่ตัวกล่องไม้ ราวกับมันเป็นท่อนไม้เดียวกันทั้งท่อน แต่จู่ๆ มันก็เปิดออกอย่างกะทันหัน ในทันทีที่ซูฉินนํามือไปลูบมัน

 

หวึ่ง!

 

คลื่นพลังอันผันผวนที่ไม่สามารถอธิบายได้แผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง หากไม่ใช่เพราะที่นี่คือตําหนักขุนฝั่งขวา พลังฟ้าดินอันแกร่งกล้านี้คงกระจายไปทั่วทั้งวังแล้วในขณะนี้ 

 

“เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณจริงๆ”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่จี้หยกใสสะอาดภายในกล่องไม้

 

จี้หยกอันนี้มีความโปร่งใสและมองเห็นรอยหมอกจางๆ อยู่ภายใน แต่ซูฉินก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในตัวหยก

 

“น่าสนใจ”

 

ซูฉินจึงปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเข้าไปภายในจี้หยกชิ้นนี้

 

วูม!!!

 

เมื่อซูฉินได้สัมผัสจี้หยก เขาก็รู้ว่าตนเองได้เข้ามาในอีกโลกหนึ่ง

 

โลกใบนี้เป็นเหมือนมิติลวงตา ที่ตรงกลางมีชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมลายมังกรนั่งอยู่เงียบๆ

 

“ทําไมเจ้าถึงยังไม่คุกเข่าลงหลังจากพบข้า?”

 

ร่างในชุดคลุมลายมังกรค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่ซูฉิน

 

ทันใดนั้นโลกภายในมิติลวงตาก็สั่นสะเทือน พลังอันไร้ที่สิ้นสุดรวมตัวกันเข้ามาเพื่อกดดันซูฉิน

 

“เป็นแค่จิตวิญญาณอันไม่สมบูรณ์กลับกล้าที่จะเผชิญหน้ากับข้างั้นรึ?”

 

เมื่อเจอฉากน่ากลัวดังกล่าว การแสดงออกของซูฉินก็ยังไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปเพราะเขารู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ได้นับเป็นอะไรเลยนอกเสียจากภาพลวงตาที่สร้างขึ้นโดยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในจี้หยก

 

บางทีคนที่เพิ่งขึ้นมาถึงขอบเขตตํานานยุทธคงจะตกใจ

 

แต่สําหรับซูฉิน ผู้ที่เกือบจะถึงขั้นสูงสุดของอรหันต์ระดับนภา ชั้นที่สี่

 

มันก็เป็นเพียงแค่เงาจันทร์ที่สะท้านอยู่ในน้ำเท่านั้น

 

ฟาดที่เดียวก็กระจายหายไปหมดแล้ว

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินก้าวเดินไปอย่างช้าๆ

 

ทันใดนั้น

 

แกรัก

 

แกรัก

 

โลกมายาแห่งนี้ดูเหมือนถูกกดดันด้วยพลังบางอย่างที่ไม่ อาจจะจินตนาการได้ และค่อยหักพังก่อนที่จะสลายไปอย่างสมบูรณ์

 

ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปที่จี้หยกภายในกล่องไม้ด้วยความสนใจ

 

“ปฐมจักรพรรดิมีแผนการเบื้องหลังอะไรหรือไม่ ถึงได้ทิ้งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังไว้เช่นนี้?”

 

ซูฉินแตะไปที่ปลายคาง ดวงตาของเขามีแววครุ่นคิด

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยกมีขนาดใหญ่มากจนแทบไม่น่าเชื่อ ซูฉินสงสัยว่าปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังได้ทิ้งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่เอาไว้ที่นี้ใช่หรือไม่

 

“น่าเสียดายนัก ดูจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในงี้ เหมือนว่าปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังจะได้จากไปอย่างสมบูรณ์…”

 

ซูฉินอยู่ในห้วงความคิด

 

ถ้าปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถังยังคงมีชีวิตอยู่ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ภายในจี้หยกจะไม่แข็งแกร่งเท่านี้

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย

 

กว่าห้าร้อยปีแล้วตั้งแต่อาณาจักรถังได้ก่อตั้งขึ้น หลังจากปฐมจักรพรรดิได้ข้ามน้ําข้ามทะเลออกไป ก็ไม่มีข่าวคราวของพระองค์อีกเลย

 

“ถ้าปฐมจักรพรรดิยังไม่ตาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ก็จะไร้ประโยชน์สําหรับข้า แต่ในเมื่ออีกฝ่ายตกตายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยกก็กลายเป็นสิ่งไม่มีเจ้าของ ข้าสามารถปรับแต่งและดูดซับมันได้โดยสมบูรณ์”

 

ใจของซูฉินมีความกระตือรือร้นปรากฏขึ้นมาในทันใด

 

ตามการคาดการณ์ของซูฉิน หากเขาสามารถปรับแต่งจิตสัมผัส ศักดิ์สิทธิ์ก้อนใหญ่ภายในจนี้ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยเขาก็สามารถเพิ่มจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้มากถึงครึ่งส่วนไปจนถึงหนึ่งส่วน(จากสิบส่วน)

 

รู้หรือไม่ว่าด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน การพัฒนาแค่เพียงก้าวเล็กๆ ก็ยากมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงครึ่งส่วนหรือหนึ่งส่วนเลย

 

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับความก้าวหน้าของกายเนื้อ หรือแก่นแท้แห่งพลัง การเพิ่มจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นยากกว่ามาก 

 

“ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังทิ้งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เบื้อง หลังเช่นนี้ เมื่อข้ามน้ําข้ามทะเลไปต่างดินแดน เขาคงคิดว่าตนเองสามารถ “เกิดใหม่” ได้ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์พวกนี้กระมัง?”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ

 

นี่เป็นคําอธิบายเดียวที่เขาพอจะคิดได้

 

สําหรับคนทั่วไป เมื่อกายเนื้อตายไปก็คือต้องพบกับความตายอันจริงแท้ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็หนีไม่พ้นข้อนี้ แต่ในสายตาของตํานานยุทธและตัวตนระดับอรหันต์ทั้งหลาย การที่ร่างกายตายไปไม่ถือว่าเป็นการหายไปโดยสิ้นเชิง

 

ตัวอย่างเช่นมารพุทธะเมื่อเก้าร้อยปีก่อนได้สละร่างกายของตนเองจึงรอดชีวิตมาได้ในรูปแบบของจิตวิญญาณที่เป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังอาจจะมีความคิดแบบเดียวกับมารพุทธะ โดยที่ทิ้งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเอาไว้เบื้องหลัง เพื่อใช้เป็นสิ่งสํารองในกรณีที่ตนเองล้มเหลว

 

“น่าเสียดายที่ปฐมจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถังได้ตายไป แล้วและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ทิ้งไว้ภายในจี้หยกก็ไม่ได้ถูกนํามาใช้”

 

ซูฉินถอนหายใจ และรู้สึกระแวงมากขึ้นเมื่อคิดถึงดินแดน โพ้นทะเลอันไม่มีที่สิ้นสุด

 

ขนาดปฐมจักรพรรดิถังเป็นถึงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สาม แต่เมื่อไปในดินแดนโพ้นทะเลอันไร้ที่สิ้นสุดเขาก็ไม่แม้แต่จะรอดชีวิตกลับมา สามารถจินตนาการได้เลยว่าเขาต้องประสบเข้ากับอันตรายที่แสนน่ากลัวมาเป็นแน่

 

แม้ความแข็งแกร่งของซูฉินจะสูงกว่าปฐมจักรพรรดิถัง แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะไม่มีตัวตนที่เทียบเคียงหรือเหนือกว่าซูฉินในส่วนลึกของดินแดนโพ้นทะเลอันไร้ที่สิ้นสุดนั่นหรือไม่