ตอนที่ 455

The Divine Nine Dragon Cauldron

“พลังภูติแข็งแกร่งนัก ถึงจะมีศิษย์พี่ยู่จางอีกคนมาช่วยพวกเรา พวกเราก็ไม่แน่ใจว่าจะชนะได้ ถ้าหากพวกนั้นเป็นศิษย์นอกดินแดนก็อาจจะพอมีหวังอยู่บ้าง แต่สามคนนั้นกำลังหาที่ตาย!”

 

ทั้งสามไม่ไล่ตามกลุ่มซือหยู พวกเขากลับรอเวลาจนหญิงสาวที่สวมกระโปรงสีหยดพกต้นไม้ทองคำเล็กๆบินเข้ามา

 

“ศิษย์พี่ยู่จาง!”

 

สีหน้าของทั้งสามคนเปลี่ยนไป พวกเขาเข้าไปต้อนรับ แม้แต่คนที่หยาบคายอย่างหยางเจี้ยนก็แสดงความนับถืออย่างมาก

 

ยู่จางนั้นผมสั้น แม้ว่าใบหน้าของนางจะดูเป็นสตรี นางก็ดูดุร้ายและฉุนเฉียว นั่นแสดงให้เห็นถึงการฝึกฝนอย่างหนัก แววตาของนางเฉียบคมเช่นกัน นางเห็นทั้งสามที่แสดงท่าทีประหลาดเพียงเหลือบมอง

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

หยางเจี้ยนอับอาย

 

“ศิษย์พี่ยู่จาง พวกยอดฝีมือเร่ร่อนสามคนใช้วิชาคำสาปแล้วแอบเข้าหุบเขาปีศาจไป”

 

“แอบเข้าไปรึ? ฮื่ม เป็นเพราะพวกเจ้าหยุดพวกนั้นไม่ได้ใช่หรือไม่?”

 

ยู่จางสีหน้าเยือกเย็นในทันทีที่ได้ยินคำตอบ

 

ทั้งสามเริ่มพูดแต่ก็ไม่โต้แย้งยู่จาง

 

“ศิษย์พี่ ถึงพวกนั้นจะเข้าไปได้ พวกเราก็ไม่ต้องกังวลนัก ตามฐานพลังของพวกนั้น การเข้าสู่หุบเขาปีศาจก็ไม่ต่างอะไรกับการให้อาหารราชาภูติ อย่างมากพวกนั้นก็ทำให้ราชาภูติหมดแรงไปส่วนเดียวเท่านั้น ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จะได้เปรียบโดยไม่ต้องทำอะไรเลย นั่นจะลดความเสี่ยงของพวกเราเองด้วย ไม่ดีหรอกรึ?”

 

หยางเจี้ยนอธิบาย

 

ยู่จางแววตาเยือกเย็น นางตำหนิ

 

“หุบปาก!”

 

“ถึงเจ้าจะอ่อนด้อยกว่าพวกนั้น เจ้าก็ยังมีหน้ามาหาข้ออ้างให้ตัวเองอีกรึ?”

 

ยู่จางนั้นเข้มงวดอย่างมาก

 

“ก็เพราะความคิดของพวกเจ้า คิดเอาแต่ว่าพวกเจ้าคิดถูก สามคนนั้นถึงได้เหนือกว่าเจ้า!”

 

ทั้งสามตัวสั่น พวกเขาก้มหน้าด้วยความอับอายและโกรธแค้น ยู่จางพูดถูก ถ้าพวกเขาไม่ประมาทซือหยูกับอีกสองคน พวกเขาคงขวางไม่ให้พวกซือหยูผ่านไปได้

 

“ไล่ตามไปเดี๋ยวนี้ ถึงพวกนั้นจะเป็นยอดฝีมือเร่ร่อน นั่นก็ไม่ได้ยืนยันว่าพวกนั้นจะไม่มีวิธีดึงเจ้าภูตินั่นออกไป ถ้าการยักย้ายช้าลงก็ยังไม่เป็นไรเพราะยังเหลือทรัพยากรอยู่ในชั้นเจ็ด แต่เรื่องสำคัญคือเราจะทำงานของพี่ยี่เต๋าพัง! เขาคือศิษย์นอกตัวจริง ถ้าเราทำให้งานของเขาช้า เจ้าคิดว่าเจ้าจะอยู่ในดินแดนพรสวรรค์ได้ต่อรึ?”

 

หลังจากได้ยินชื่อยี่เต๋า สีหน้าของทั้งสามคนก็ไม่พอใจ พวกเขาหวาดกลัวอย่างมาก

 

“ศิษย์พี่ พวกเรายอมรับผิดแล้ว”

 

ทั้งสามพูดและทำใจให้เย็นลงก่อนจะไล่ตามกลุ่มซือหยู

 

ที่อีกด้าน ในส่วนของสี่ตระกูล

 

พวกเขาอยู่ตรงยอดเทือกเขาใหญ่ ที่พื้นเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณ เสื้อผ้าและสิ่งของของร่างเหล่านั้นแตกต่างกันและยังไม่ใช่คนจากทวีปเฉินหลง แต่ฐานพลังของพวกเขาก็อยู่ในระดับกึ่งเทพ! และก็ยังมีคนที่แข็งแกร่งเท่าไป่ลั่วอยู่ด้วย!

 

ท่ามกลางซากศพมีสาวงามอยู่ ร่างของนางเปล่งแสงทมิฬ เงาจางตี๋เก้อปรากฏออกมาอย่างช้าๆ

 

ใบหน้าของสาวสวยหัวเราะอย่างชั่วร้าย

 

“พวกเจ้าทั้งหมด ถ้าตามข้ามาเจ้าก็จะได้ประโยชน์อยู่บ้าง ร่างของผู้หญิงคนนี้จะส่งคืนให้พวกเจ้าเมื่อใดก็ได้ นับแต่นี้ไปพวกเจ้าจะต้องรับฟังคำสั่งข้า ถ้าไม่ล่ะก็…ฮื่ม!”

 

หลายคนรวมถึงฉีเจี้ยนั้นต้องยอมรับฟัง

 

“ไปกันเถอะ”

 

หญิงสาวก้าวไปข้าวหน้า ข้างหน้านางคือเวทย์ยักย้าย!

 

ในอีกพื้นที่

 

เหนือลำธาร ไป่ลั่วนำจ้าวแห่งความมืดลงมาเบื้องล่าง

 

“โชคดีที่เวทย์ยักย้ายที่นี่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างลึกล้ำ แม้แต่คนในทวีปเฉินหลงก็ไม่รับรู้”

 

ไป่ลั่วพูดและมองเบื้องล่าง เขามองดูเวทย์ยักย้ายที่ซ่อนอยู่ในก้นลำธารและถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

กระเป๋าของฉิงจูแน่นขนัด ในอกยังมีสมุนไพรวิญญาณอีกมากที่ปล่อยพลังวิญญาณมหาศาลออกมา ใบหน้าของเขาอิ่มเอม แค่ชั้นหกของกระโจมเทพก็ทำให้เขาได้รับทรัพยากรมากมาย

 

“ไป่ลั่ว ถ้าเราจะไปชั้นเจ็ดตอนนี้ จะขอหยุดที่นีสักเดี๋ยวได้หรือไม่? ทรัพยากรที่นี่น่าตกใจยิ่งนัก…”

 

เขาขอร้อง

 

ถ้าชั้นหกก็เป็นเช่นนี้ ชั้นเจ็ดก็อาจจะมีสิ่งที่ล้ำค่ากว่ามาก ไป่ลั่วมองยี่หยูที่เงียบไม่พูดอะไร

 

“เราจะไปที่ชั้นแปดเพื่อทำภารกิจของราชาแห่งความมืดเสียก่อน! ถ้าวางเวทย์บูชายัญสำเร็จเมื่อใด พวกเจ้าก็จะมีอิสระในที่นี่!”

 

เขาพูดจบและนำทุกคนลงสู่ลำธาร พวกเขาเดินทางผ่านเวทย์ยักย้าย

 

ที่ต้นไม้สวรรค์อันเก่าแก่

 

ต้นไม้ยักษ์ถูกตัดโค่นไปนานแล้ว มันมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ยาวสามสิบศอกโดยประมาณ และมันยังมีลายซับซ้อนสลักเอาไว้บนต้น

 

ที่อีกด้านนั้นมีคนอยู่สองฝ่ายที่กำลังเผชิญหน้ากัน หนึ่งฝั่นคือไป่ฉีที่อยู่ตัวคนเดียว! และอีกฝั่งคือหลงหวูชิงกับฉินเซี่ยนเอ๋อ! ส่วนหลงเฟยฉิงที่ไม่อยู่ที่นี่นั้นอาจจะถูกทิ้งไว้ที่ชั้นหกเช่นเดียวกับฉินยู่ชาง

 

“หึหึ เจ้าตุ๊กตาน้อย ถ้ายังเผชิญหน้ากันเช่นนี้ พวกเราก็จะไม่ได้อะไรเลย! พวกเราไม่ได้มีเรื่องบาดหมายต่อกัน เป้าหมายในการมาที่กระโจมเทพสวรรค์ก็ต่างกัน ทำไมพวกเราไม่ใช่เวทย์ยักย้ายด้วยกันเล่า? ไม่มีใครจะเสียอะไร มิเช่นนั้นถ้าใครใช้เวทย์ไปสักด้านหนึ่ง อีกด้านก็ต้องรออีกครึ่งเดือน”

 

หลงหวูชิงพยักหน้ายอมรับ

 

“ไม่มีปัญหา! แต่เจ้าอย่าคิดอะไรแปลกๆก็แล้วกัน”

 

ด้วยฐานะของคนที่แข็งแกร่งที่สุด คำพูดของนางนั้นน่ากลัวมาก

 

“แน่อยู่แล้ว”

 

ไป่ฉีหัวเราะ

 

ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่เวทย์ยักย้ายอย่างปลอดภัย และ ณ สถานที่แห่งหนึ่งในกระโจมเทพสวรรค์ หญิงสาวอายุสิบห้าปีที่น่าหลงใหลอย่างไม่น่าเชื่อ นางนั่งอยู่ตัวคนเดียว

 

ข้างหน้านางคือเข็มทิศที่กำลังหมุนไปมา เข็มของมันขยับอย่างรวดเร็ว เข็มทิศนั้นดูเหมือนจะใช้งานได้ยาก ใบหน้าของหญิงสาวซีดเล็กน้อย ในตอนนั้นเองเข็มของเข็มทิศก็หยุดชี้ไปยังทิศทางที่ชัดเจน

 

สาวน้อยสีหน้ายินดี

 

“เจอแล้ว! พลังของภูติสวรรค์นั่น นางอยู่ที่ชั้นเจ็ดของกระโจม! ถ้าอย่างนั้นคนที่อาจารย์เทียนฉวนอยากจะพบก็ต้องอยู่ในชั้นเจ็ดเหมือนกัน!”

 

นางพูดจบและหายตัวไปจากจุดเดิม นางหายไปจากกลางอากาศ

 

ที่หุบเขาปีศาจ

 

หุบเขาปีศาจนั้นเต็มไปด้วยพลังภูติ ความเร็วของพวกซือหยูไม่เร็วนักเพราะซือหยูต้องใช้เนตรวิญญาณเพื่อหลบสิ่งมีชีวิตดุร้ายที่ซ่อนอยู่ในหมอกพลังภูติ มิเช่นนั้นพวกเขาจะยิ่งช้ากว่าเดิม

 

“อุโมงค์ข้างหน้าแคบนัก มีค้างคาวหลายตัวที่ด้านบน พวกนั้นทุกตัวมีพลังระดับผู้คุมสวรรค์ มันมีอยู่ประมาณร้อยตัว พวกเราจะถูกมันล้อมไม่ได้ พวกเราทำได้แค่ต่อสู้เท่านั้น”

 

ซือหยูขมวดคิ้วหลังจากมองดูอยู่นาน

 

ฉินจิวหยางเป็นกังวลเล็กน้อย

 

“เราจะหยุดนานเกินไปไม่ได้ คนข้างหลังพวกเราเข้ามาใกล้ขึ้นไปทุกทีแล้ว”

 

กังต้าเหล่ยหัวเราะเสียงดัง

 

“ปล่อยให้ข้าจัดการเอง พวกเจ้าสองคนไม่ต้องทำอะไร ตามข้ามาก็พอ”

 

ซือหยูตกใจเล็กน้อย ถึงค้างคาวมากกว่าร้อยตัวจะไม่อันตรายนัก แต่การจัดการพวกนั้นในเวลาอันรวดเร็วก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

“ฮ่าๆๆ”

 

กังต้าเหล่ยหัวเราะเพียงอย่างเดียวและไม่พูดอะไรเลย เขาวางฝ่ามือทั้งสองไว้แนบอก จากนั้นฝ่ามือของเขาก็มีแสงส่องความมืดปรากฏออกมา ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หมอกภูติได้ถอยกลับราวกับได้พบศัตรู ซือหยูตกใจ พลังของกังต้าเหล่ยคือสายฟ้า!

 

ก่อนหน้าที่กังต้าเหล่ยจะลงมือ เขาไม่เคยแสดงพลังอัสนีมาก่อน! ซือหยูตกใจอย่างมาก หลังจากที่อยู่กับกังต้าเหล่ยมานาน นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูรู้ว่ากังต้าเหล่ยฝึกฝนวิชาอัสนี

 

“หึหึ ข้าไม่มีพรสวรรค์จะบ่มเพาะวิชาอัสนีหรอก นี่คือสมบัติที่ไอ้แก่นั้นให้ข้ายืมโดยเฉพาะ”

 

สายฟ้าระหว่างฝ่ามือของกังต้าเหล่ยนั้นกลายเป็นก้อนสายฟ้าที่ขนาดเท่าลูกตาที่กำลังจ้องบางสิ่งบางอย่าง

 

สายฟ้าเหล่านั้นแตกต่างจากสายฟ้าที่บ่มเพาะจากการฝึกธรรมดา มันมีพลังวิญญาณที่เข้มข้นอย่างมาก! บอลสายฟ้าเล็กๆหมุนวนอย่างรวดเร็ว มันดูเหมือนสิ่งมีชีวิต

 

“ไป…”

 

กังต้าเหล่ยพูดและโยนบอลสายฟ้าขึ้นสู่นภา

 

บอลสายฟ้าได้กลายเป็นแหสายฟ้าโอบล้อมทั้งสามคน

 

“เอาล่ะ รีบไปกันเถอะ”

 

แหสายฟ้าห่มกายทั้งสามคนไปยังอุโมงค์แคบ เหล่าค้างคาวนั้นไม่ต่างกับหมาป่าหิวโหยที่ได้กลิ่นเลือดเมื่อสัมผัสได้ถึงมนุษย์ พวกมันพุ่งเข้าใส่กลุ่มของซือหยู

 

ฟึ่บ–

 

แต่เมื่อพวกมันสัมผัสกับแหสายฟ้า พวกมันก็กลายเป็นเถ้าถ่านทันที และถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ค้างคาวตัวอื่นก็พุ่งเข้าใส่แหสายฟ้าราวกับถูกยั่วยุ

 

แหสายฟ้าเริ่มที่จะเสื่อมพลังลง มันเริ่มหายไปทีละน้อย แต่ดีที่แหสายฟ้านี้ไม่ใช่ของธรรมดา มันป้องกันการโจมตีอันโหดร้ายขอค้างคาวได้อย่างดี

 

“ดูนั่น! นั่นมันรังค้างค้าว!”

 

ฉินจิวหยางเห็นแก้วโลหิตอยู่ในรังค้างคาว มันเปล่งประกายอย่างต่อเนื่อง

 

กังต้าเหล่ยเงยหน้ามองและตกใจในทันที

 

“นั่นมันแก้วโลหิตภูติ มันมีพลังภูติและพลังวิญญาณผสมกัน และมันต้องใช้เวลาหลายพันปีกว่าพลังงานจะก่อร่างเป็นแก้ว เมื่อก่อนมีคนเคยได้แก้วโลหิตภูติที่ขนาดเท่าเมล็ดถั่วจากก้นบึ้งมังกรเก้านรก เขาสร้างโอสถก้นบึ้งมังกรสิบขวดได้ในทีเดียว”

 

“แก้วโลหิตภูติที่เราเห็นมีขนาดเท่ากำมือ ถ้าใช้ปรุงโอสถก้นบึ้งมังกรก็จะใช้อย่างน้อยร้อยขวด! นั่นมากพอจะทำได้ยอดฝีมือทั้งหมดในทวีปเฉินหลงในตอนนี้กลายเป็นผู้คุมสวรรค์!”

 

“แล้วก็ ตามที่ท่านอาจารย์บอก แก้วโลหิตภูติเป็นของหายากมากแม้จะเป็นจิวโจว มันใช้ได้หลายแบบ ไม่ใช่แค่การปรุงโอสถก้นบึ้งมังกรเท่านั้น”

 

มันล้ำค่าเช่นนั้นเชียวรึ? เช่นนั้นมันก็มีค่าไม่ต่ำไปกว่าวิชาระดับตำนานของจริง กังต้าเหล่ยยื่นมือไปคว้ามัน สายฟ้าแล่นผ่านแก้วโลหิตภูติลงมา

 

“ข้าจะเก็บมันไว้ชั่วคราว เราจะแบ่งเท่ากันในทีหลัง”

 

กังต้าเหล่ยพูดด้วยความตื่นเต้น

 

เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นของสำคัญ ทั้งซือหยูกับฉินจิวหยางยอมรับการตัดสินใจนั้น

 

ในตอนนั้นเองเหล่าค้างคาวที่ไร้ความเกรงกลัวก็หนีไป เหล่าภูติเล็กภูติน้อยที่อยู่ในมุมมืดก็หาทางหนีอย่างวุ่นวายไม่ต่างกัน

 

ในพริบตา อุโมงค์ไร้จุดจบได้เงียบราวกับป่าช้า มันไม่มีเสียงใดๆเลย มีเพียงเสียงสายลมน่าขนลุกที่พัดผ่านอุโมงค์

 

“ระวังด้วย มีอะไรกำลังมา!”

 

กังต้าเหล่ยใบหน้าเคร่งเครียด เขาระวังตัวในทันที

 

ซือหยูระวังเป็นอย่างมาก สัญชาตญาณบอกเขาว่ามีบางสิ่งที่ประหลาดอย่างมากลอยมากับสายลม

 

“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสามคนนั้นไม่ตามพวกเรามาที่นี่ เป็นไปได้ว่าอาจจะยากมากที่จะใช้เวทย์ยักย้าย”

 

ซือหยูพูดอย่างจริงจัง

 

“ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ได้แค่ต้องไปข้างหน้า”

 

กังต้าเหล่ยลังเลอยู่บ้างก่อนจะเคลื่อนไหวต่อไป

 

ทั้งสามเดินทางผ่านอุโมงค์อันเงียบกริบอย่างระวัง จากนั้นก็ไปถึงพื้นที่เปิด