“ลูกสาวของข้าถูกจับใส่ถุงหนังสีดำแล้วเอาไปโยนทิ้งในป่าลึก นางหายไปยี่สิบสองปีแล้ว! พระหัวขี้เรื้อนนั่นบอกว่าอีกยี่สิบกว่าปี ลูกของข้าฝึกวิชาเซียนสำเร็จแล้วนางจะกลับมาช่วยเหลือผู้คนบนเขาเว่ยอวิ๋น… ลูกของข้า เจ้าอยู่ที่ไหนกันแน่!”
เดิมเซียวเถี่ยเฟิงไม่คิดจะสนใจนาง เพราะแต่ละวันมีคนมากราบไหว้ต้าเซียนที่หน้าบ้านของเขามากมายนับไม่ถ้วน ที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ หลังจากนั้นพวกเขายังพากันมาแก้บนเพราะได้สมความปรารถนาอีกด้วย ช่างแปลกประหลาดเสียจริง
คนอื่นไม่รู้ แต่เขาย่อมรู้ว่าเสี่ยวจิ้งเอ๋อมีความสามารถมากแค่ไหน แม้แต่เรื่องของตัวเองนางยังจัดการให้เรียบร้อยไม่ได้ จะมีปัญญาไปคุ้มครองคนอื่นได้อย่างไร?
เขาเดินออกไปโดยไม่คิดจะสนใจ
แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเดินกลับมาจ้องหน้าสตรีนางนั้น นางมีอายุห้าสิบกว่าปี แถมยังดูคุ้นหน้าอยู่หลายส่วน
“ท่านคือ?” เขากวาดตามองสตรีตรงหน้า
สตรีนางนั้นเช็ดน้ำตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ข้าเป็นคนตระกูลหนิงหมู่บ้านชิงสุ่ยที่หลังเขา ข้ามีลูกสาวคนหนึ่งชื่อฮุ่ยเหนียง นางหายไป หาไม่เจอแล้ว”
ฮุ่ยเหนียง?
เซียวเถี่ยเฟิงประหลาดใจ
เขาจำฮุ่ยเหนียงได้
ฮุ่ยเหนียงอายุน้อยกว่าเขากับจ้าวจิ้งเทียนสองปี สมัยนั้นนางเคยมาเล่นกับเด็กๆ คนอื่นๆ ที่หมู่บ้านเว่ยอวิ๋น
ฮุ่ยเหนียงมีผิวขาวสะอาดหน้าตาน่ารัก เขาชอบน้องสาวตัวน้อยคนนี้มาก ฮุ่ยเหนียงเองก็ชอบเล่นกับเขา นางมักจะเดินตามเขาต้อยๆ แล้วเรียกเขาว่าพี่เถี่ยด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้แบบเด็กๆ
เขาเคยพาฮุ่ยเหนียงเข้าไปในป่า เก็บผลหรูหรูให้นางกิน ฮุ่ยเหนียงก็กินอย่างเอร็ดอร่อย กินเสร็จแล้วนางก็มักจะส่งยิ้มให้เขา รอยยิ้มของนางช่างสวยเหลือเกิน
แต่เสียดายที่น้องสาวตัวน้อยมีพันธะหมั้นหมายกับจ้าวจิ้งเทียน จ้าวจิ้งเทียนจึงไม่ยอมให้เขาเล่นกับฮุ่ยเหนียง
เขาได้แต่เบิกตามองจ้าวจิ้งเทียนพาฮุ่ยเหนียงเข้าไปเล่นในป่า
ผลคือวันนั้น หลังจากจ้าวจิ้งเทียนพาฮุ่ยเหนียงกลับมา ฮุ่ยเหนียงก็ล้มป่วย มีไข้สูงไม่ลด เรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นคือ พระชรามารักษาอาการให้นาง ฮุ่ยเหนียงถูกพาไปทิ้งในป่า นางหายสาบสูญไป
จากนั้นก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
หลังจากเซียวเถี่ยเฟิงโตขึ้น เขาได้ผ่านประสบการณ์ต่างๆ มากมาย ความทรงจำเกี่ยวกับน้องสาวตัวน้อยในวัยเด็กจึงค่อยๆ เลือนหายไป เพียงแต่บางครั้งเมื่อนึกขึ้นมาว่าเด็กน้อยหน้าตาน่ารักต้องหายตัวไปแบบนั้น เขาก็อดทอดถอนใจไม่ได้
วันนี้ได้ยินสตรีตรงหน้าพูดคำว่า ‘ถุงหนังสีดำ’ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม จู่ๆ ความคิดที่แสนแปลกประหลาดอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมองของเขา
“อาสะใภ้ท่านนี้ ท่านยังมีลูกสาวอีกคนหนึ่งชื่ออวิ๋นเหนียง แต่งมาที่บ้านตระกูลจ้าวบนเขาเว่ยอวิ๋นใช่หรือไม่?”
“ใช่ๆๆ!” อาสะใภ้บ้านตระกูลหนิงผู้นั้นถอนใจด้วยความขมขื่น “ลูกสาวคนรองของข้าผู้นี้อาภัพเหลือเกิน ตอนที่พ่อของนางจะให้นางแต่งมาที่ตระกูลจ้าวแทนพี่สาว ข้าไม่เห็นด้วย แต่นางกลับดีใจมาก ใครจะคิดว่าแต่งงานไปหลายปี นางกลับไม่มีลูก คนตระกูลจ้าวต่างไม่พอใจมาก ยากนักกว่าจะตั้งครรภ์ ข้าคิดว่าในที่สุดนางก็จะได้มีชีวิตที่มีความสุขเสียที คิดไม่ถึงว่านางกลับต้องมาตายไปแบบนี้! สองชีวิตเชียวนะ!”
คิดถึงเรื่องนี้ อาสะใภ้บ้านหนิงก็น้ำตาร่วง
เซียวเถี่ยเฟิงแน่ใจฐานะของคนตรงหน้าแล้ว เขาจึงถามต่อ “เมื่อครู่ท่านพูดถึงถุงหนังสีดำ เรื่องเป็นอย่างไรหรือ?”
อาสะใภ้บ้านหนิงเหลือบตาขึ้นมองเซียวเถี่ยเฟิง “ตอนนั้นฮุ่ยเหนียงลูกสาวข้าล้มป่วย ไอ้พระบ้านั่นยืนกรานว่าต้องพาไปไว้ในป่าถึงจะรักษาให้หายได้ เพราะในป่ามีเซียนที่จะช่วยรักษาโรคให้นาง จากนั้นเขาก็เอาลูกสาวข้าใส่ไว้ในถุงหนังสีดำใบหนึ่งแล้วเอาไปทิ้งไว้ในป่า คิดไม่ถึงว่าผ่านไปสองวัน พอเราไปหาตามที่เขาสั่ง กลับหาไม่เจอ!”
เรื่องนี้เซียวเถี่ยเฟิงเคยได้ยินมาก่อน เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามีถุงหนังสีดำใบหนึ่งหายไปพร้อมกับฮุ่ยเหนียงด้วย
“ถุงใบนั้นมีลักษณะอย่างไรหรือ?”
อาสะใภ้บ้านหนิงรีบอธิบายให้ฟัง “ใหญ่ขนาดนี้ กว้างขนาดนี้ เป็นสีดำ ทำจากหนังคล้ายหนังงู ใส่ของได้ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นจะใส่เด็กทั้งคนได้อย่างไร”
เซียวเถี่ยเฟิงฟังแล้วขมวดคิ้วแน่น
กู้จิ้งมีถุงหนังสีดำใบหนึ่ง นางมุดออกมาจากถุงใบนั้น ถุงหนังของนางมีลักษณะเหมือนกับที่อาสะใภ้บ้านหนิงพูดไม่มีผิด
นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ หรือจริงๆ แล้วมีสาเหตุอะไรกันแน่?
เซียวเถี่ยเฟิงจ้องอาสะใภ้บ้านหนิงตาเขม็ง ใจคิดว่านางไม่เหมือนคนที่รู้ว่ากู้จิ้งมีถุงหนังสีดำแบบนี้แล้วจงใจมานับญาติด้วยสักเท่าไหร่
แต่เขารู้สึกว่าคำพูดของนางมีอะไรบางอย่างแปลกๆ
ทันใดนั้นสีหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ปากกล่าวเสียงเย็นชา “ท่านจะหาลูกสาวก็ไปหา ทำไมต้องมาร้องไห้อยู่ที่หน้าบ้านของต้าเซียนด้วย? หรือท่านคิดว่าต้าเซียนแย่งตัวลูกสาวของท่านไป ยังไม่รีบไปอีก!”
สีหน้าเย็นชาเช่นนี้ แม้กระทั่งคนที่เคยพบเห็นโลกภายนอกมามากยังหวาดกลัว อย่าว่าแต่หญิงชาวบ้านตรงหน้า
อาสะใภ้บ้านหนิงตกใจจนแทบพูดไม่เป็นประโยค
“ท่าน…ท่านเซียว ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ! ข้าเพียงแค่… ข้าเพียงแค่อยากตามหาลูกสาวของข้าเท่านั้น…”
เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจทันที ที่แท้อาสะใภ้บ้านหนิงผู้นี้รู้จักเขาอยู่แล้ว นางย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องของกู้ต้าเซียนอย่างกู้จิ้งมาก่อน บางทีนางอาจจะบังเอิญได้ยินมาว่ากู้จิ้งชอบสะพายถุงหนังสีดำติดตัวก็เลยมาลองดู?
“หากท่านจะหาลูกสาวก็อธิษฐานได้เต็มที่ แต่อย่าส่งเสียงดังเอะอะ” สีหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงผ่อนคลายลง แต่น้ำเสียงยังคงเข้มงวด
“ได้ๆๆๆ” อาสะใภ้บ้านหนิงถูกสีหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงเมื่อครู่ข่มขู่จนเสียขวัญ ใจก็อดคิดไม่ได้ว่า ใครๆ บอกว่าเซียวเถี่ยเฟิงผู้นี้เป็นคนซื่อๆ เห็นใครก็ยิ้มให้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยอมลงให้คนอื่นไม่ใช่หรือ ทำไมไม่เหมือนกับที่ใครๆ พูดกันเลยเล่า?
ส่วนกู้ต้าเซียนคนนั้น ต่อให้นางมีถุงหนังสีดำ บางทีก็อาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ นางอาจไม่ใช่บุตรสาวของนางก็ได้
อาสะใภ้บ้านหนิงถอนใจ จากนั้นจึงตัดสินใจกลับไปก่อน
ฝ่ายเซียวเถี่ยเฟิงก็ไม่คิดจะไปล่าสัตว์อีก เขาเดินกลับเข้าไปในบ้าน เห็นกู้จิ้งนอนแผ่อยู่ตรงนั้น ตาจ้องไปที่เพดาน ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไร
เขานั่งลงข้างๆ พลางหยั่งเชิงถามเสียงอ่อนโยน “ข้าจำได้ว่า เจ้าบอกว่ายายของเจ้าเก็บเจ้ามาเลี้ยง?”
“อืมๆ ใช่”
“เก็บมาจากไหนหรือ?”
“ข้างลำธารในป่าลึก”
“ตอนนั้นเจ้าอายุเท่าไหร่?”
กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็งงมาก เธอหันไปมองผู้ชายข้างกายด้วยความประหลาดใจ
“ทำไม สำรวจสำมะโนประชากรอย่างนั้นหรือ?”
เซียวเถี่ยเฟิงไม่รู้ว่าสำมะโนประชากรคืออะไร แต่เขารู้ว่ากู้จิ้งกำลังหยอกล้อเขา
“ไม่มีอะไร แค่อยากรู้เรื่องโลกปีศาจของเจ้าเท่านั้น เจ้าไม่อยากพูดก็แล้วไปเถอะ”
กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา
“จริงๆ ก็ไม่มีอะไรที่เล่าไม่ได้ ฉันจำได้ว่าคุณยายบอกว่าตอนที่ท่านเก็บฉันได้ ฉันเพิ่งอายุสองขวบ”
“สองขวบ?”
ฟังถึงตรงนี้หัวใจของเซียวเถี่ยเฟิงก็บีบตัวแน่น หรือนี่ก็เป็นเรื่องบังเอิญเหมือนกัน?
หากเป็นเรื่องจริง มิต้องหมายความว่าอาสะใภ้บ้านหนิงคนนั้นอาจจะเป็นแม่แท้ๆ ของกู้จิ้ง? แล้วก็เป็นแม่ยายของเขา?
นึกถึงน้ำเสียงที่ตัวเองเค้นถามอีกฝ่ายเมื่อครู่ เขาก็สังหรณ์ใจไม่ดีนัก ดังนั้นจึงรีบถามต่อ
“ตอนที่ยายของเจ้าเก็บเจ้าได้ มีของอะไรติดตัวมาด้วยหรือเปล่า?”
“ของ?”
กู้จิ้งงงกว่าเดิม เธอขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ส่ายหน้า
“หมายความว่ายังไง? หรือนายคิดว่าคนที่ทอดทิ้งฉันจะทิ้งกระดาษโน้ตหรือกุญแจเงินกุญแจทองไว้เป็นหลักฐาน อีกสิบแปดปีข้างหน้าจะได้กลับมาพบกันใหม่อย่างนั้นหรือ?”
เขาจินตนาการสูงส่งเกินไปหรือเปล่า สมัยนี้ไม่มีซีรีย์เกาหลีเสียหน่อย!
“แค็ก! ไม่ใช่ ข้าหมายถึงตอนนั้นมีอะไรห่อตัวเจ้าเอาไว้? หรือไม่ก็ตอนนั้นเจ้ามีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซียวเถี่ยเฟิงบอกใบ้อีก
กู้จิ้งเอียงคอคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ส่ายหน้าอีก
“ฉันไม่เคยได้ยินคุณยายเล่าว่ามีอะไรห่อตัวฉันไว้ แต่คิดๆ ดูก็น่าจะเป็นพวกผ้าห่อตัวเด็กอะไรประมาณนั้นล่ะมั้ง?”
“แล้วตอนนั้นเจ้ามีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง เช่น มีไข้หรือเปล่า ไม่สบายหรือเปล่า?”
กู้จิ้งนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ลุกขึ้นแล้วยื่นมือไปแตะหน้าผากเซียวเถี่ยเฟิง
“ทำไมหรือ?” เซียวเถี่ยเฟิงไม่เข้าใจ
“ให้ฉันดูหน่อยว่านายมีไข้สูงหรือเปล่า?” กู้จิ้งอดคิดไม่ได้ว่าเขามีไข้สูงจนเพี้ยนไปหรือเปล่า ทำไมจู่ๆ ถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมา?
เซียวเถี่ยเฟิงจนปัญญา เขาจับมือกู้จิ้งเอาไว้ไม่ให้เธอก่อกวนอีก
“ข้ากำลังจริงจังนะ บางทีเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง”
กู้จิ้งเห็นสีหน้าจริงจังของเขาก็จำต้องย้อนคิดดู แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าเหมือนเดิม
“ฉันไม่เคยได้ยินคุณยายพูดถึงจริงๆ ฉันรู้แค่ว่าตอนเด็กๆ ฉันสุขภาพอ่อนแอล้มป่วยบ่อย คุณยายต้องลงทุนลงแรงไปมากกว่าจะรักษาฉันให้หายเป็นปกติได้”
สุขภาพอ่อนแอล้มป่วยบ่อย?
เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เบนสายตาไปที่ถุงหนังสีดำบนบ่าของกู้จิ้ง
นางรักถุงใบนี้เท่าชีวิต ไม่เคยยอมให้ห่างกายไปไหน ต่อให้ไปห้องน้ำก็ไม่ยอมวาง
“ถุงใบนี้ ยายของเจ้าเหลือไว้ให้สินะ?”
“ใช่!”