กู้จิ้งไม่เข้าใจจริงๆ
“บอกมา วันนี้นายเป็นอะไรกันแน่ ทำไมจู่ๆ ถึงมาถามฉันเรื่องนี้?”
“ตอนเด็กๆ จ้าวจิ้งเทียนเคยมีคู่หมั้นคนหนึ่ง” เซียวเถี่ยเฟิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมเอ่ยปากพูด
“อืมๆ” เธอรู้อยู่แล้ว
“เด็กผู้หญิงที่เป็นคู่หมั้นของเขา ชื่อฮุ่ยเหนียง ตอนอายุสองขวบนางถูกเอาไปทิ้งในป่า”
“หลังจากนั้นล่ะ?” ถูกเอาไปทิ้งไว้ในป่า คงถูกหมาป่าคาบไปแล้วสินะ
“เด็กผู้หญิงที่ชื่อฮุ่ยเหนียงคนนั้นถูกพระรูปหนึ่งจับใส่ถุงหนังแล้วเอาไปโยนทิ้งไว้ในป่าลึก”
เขาเว่ยอวิ๋นลูกเดียวกัน ด้านหนึ่งเป็นเขาเว่ยอวิ๋นในโลกปีศาจ อีกด้านหนึ่งเป็นเขาเว่ยอวิ๋นในโลกมนุษย์ เมื่อยี่สิบสองปีก่อน ฮุ่ยเหนียงถูกเอาไปทิ้งไว้ในป่าลึก ส่วนกู้จิ้งถูกเก็บได้ในป่า
เซียวเถี่ยเฟิงมองถุงหนังสีดำบนบ่าของกู้จิ้ง “ถุงหนังใบนี้ ยายของเจ้าเหลือเอาไว้ให้ ตอนที่ท่านมอบให้ได้พูดอะไรกับเจ้าหรือเปล่า?”
กู้จิ้งได้ยินเซียวเถี่ยเฟิงพูดเช่นนี้ก็เข้าใจทันที
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเบื้องหลังจะมีเรื่องลึกลับซับซ้อนซ่อนเช่นนี้
คู่หมั้นวัยเด็กของจ้าวจิ้งเทียนถูกเอาไปทิ้งไว้ในป่า แถมตอนที่เอาไปทิ้งยังมีถุงหนังสีดำใบหนึ่งติดตัวไปด้วย?
ตอนนั้นพระรูปนั้นยังพูดอะไรอีกนะ? บอกว่าเซียนพานางไปบำเพ็ญเพียร อีกหลายปีข้างหน้าฝึกสำเร็จแล้วจะกลับมาช่วยเหลือทุกคน?
กู้จิ้งนิ่งงัน นึกถึงตอนเด็กๆ คุณยายเอาแต่พร่ำบอกว่าโตขึ้นเธอต้องเรียนหมอ จะได้ช่วยเหลือผู้คนเหมือนคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ในเมือง ต่อมาท่านก็ส่งเธอไปให้คุณพ่อคุณแม่อบรมสั่งสอน
บางครั้งกู้จิ้งก็จนใจนัก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงได้เข้มงวดกับเธอมาก ราวกับว่าพรุ่งนี้เธอจะต้องเข้าไปช่วยคนในสนามรบ แต่เธอก็ยังตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
คิดไม่ถึงว่าหลังจากเธอเรียนจบด้วยความยากลำบาก กระเป๋าหนังสีดำที่คุณยายมอบไว้ให้ก่อนตายจะทำให้เธอข้ามเวลามาที่นี่?
ดังนั้น…
กระเป๋าหนังใบนี้เป็นเวทศาสตราที่เชื่อมต่อไปยังโลกของเซียน (ไทม์แมชชีนข้ามเวลา?)
โลกในยุคปัจจุบันคือโลกของเซียนที่พระรูปนั้นพูดถึง (คนสมัยปัจจุบันที่อยู่ในอดีตเมื่อหนึ่งพันปีก่อน…)
คุณพ่อคุณแม่เป็นเซียนที่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก (วิชาแพทย์สูงส่งมาก!)
ยี่สิบสองปีต่อมา เธอกลับมายังสมัยอดีตผ่านกระเป๋าหนังใบนี้ และกลายเป็นต้าเซียนปลอม (ปีศาจจริง)
หากเธอคือฮุ่ยเหนียงที่ใครๆ พูดถึงจริง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะตรงตามที่พระรูปนั้นทำนายไว้?
กู้จิ้งกำกระเป๋าในมือแน่นพลางมองมันด้วยความงุนงง สมองมีเพียงความว่างเปล่า
หรือว่าจริงๆ แล้ว เธอจะเป็นคนในสมัยอดีตเมื่อหนึ่งพันปีก่อน? เธอไม่ได้ข้ามเวลามาสู่อดีต แต่กลับมาสู่อดีตต่างหาก?
ก่อนเสีย คุณยายกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ให้เธอทิ้งกระเป๋าใบนี้ หรือในนั้นจะมีความลับซ่อนอยู่จริงๆ?
เซียวเถี่ยเฟิงเห็นกู้จิ้งมีสีหน้าตื่นตระหนกก็ยื่นมือไปกุมมือเธอเอาไว้แน่นพลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องคิดมาก บางทีอาจจะใช่ แต่บางทีก็อาจจะไม่ใช่ เราไปพบแม่ของฮุ่ยเหนียงก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“ได้ แล้วแม่ของฮุ่ยเหนียงอยู่ที่ไหนล่ะ?”
เซียวเถี่ยเฟิงจูงกู้จิ้งเดินออกจากบ้าน แต่กลับพบว่าแม่ของฮุ่ยเหนียงไม่อยู่แล้ว
“เมื่อครู่ยังอยู่ตรงนี้ คงจะไปแล้วมั้ง ไม่เป็นไร เอาไว้เราไปสืบข่าวที่หมู่บ้านของพวกเขากัน”
ระหว่างที่พูด เซียวเถี่ยเฟิงก็พิจารณามองกู้จิ้งอย่างละเอียดอีกครั้ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่า แม้เธอจะไม่ค่อยเหมือนกับผู้คนที่นี่ แต่ดวงตาก็มีส่วนคลับคล้ายกับแม่ของฮุ่ยเหนียงอยู่บ้าง
แต่ถึงจะมีรูปโฉมคล้ายกัน แม่ของฮุ่ยเหนียงก็ดูเหมือนกับหญิงชาวบ้านทั่วไป ส่วนกู้จิ้งกลับมีกลิ่นอายบางอย่างที่ไม่ธรรมดา บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ในโลกปีศาจ ไม่ๆๆ อยู่ในโลกของเซียนมานาน?
ถึงตอนนี้เขาก็เชื่อไปแล้วเจ็ดแปดส่วนว่ากู้จิ้งคือฮุ่ยเหนียงในตอนนั้น นางคือเด็กหญิงตัวน้อยน่ารักในความทรงจำวัยเด็กของเขา
มิน่าครั้งแรกที่ได้พบกู้จิ้ง เขาถึงได้รู้สึกชอบนางมาก
หากกู้จิ้งคือฮุ่ยเหนียงจริง นั่นก็หมายความว่านางไม่ใช่ปีศาจ? หากนางไม่ใช่ปีศาจ ก็หมายความว่านางเป็นคน เป็นคนก็จะอยู่กับเขาไปชั่วชีวิตได้
อยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต ไม่แน่ว่าอาจจะมีลูกด้วยกันสักคนสองคน
เขาก้มลงจ้องใบหน้างดงามของกู้จิ้งด้วยดวงตาที่เปล่งประกายสดใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“หรือฉันจะคือฮุ่ยเหนียงคนนั้นจริงๆ…” กู้จิ้งพึมพำ แต่จริงๆ ในใจเชื่อไปแล้วหลายส่วน ที่แท้เธอก็เป็นคนในสมัยอดีต คนในสมัยอดีต…
หากเธอเป็นคนในสมัยอดีต ปริศนาทุกอย่างก็ดูเหมือนจะมีคำตอบ
“ใช่ เจ้าน่าจะเป็นฮุ่ยเหนียง เจ้าคือฮุ่ยเหนียงซึ่งไปบำเพ็ญเพียรที่โลกของเซียน ตอนนี้ก็กลับมายังโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก”
เซียวเถี่ยเฟิงประคองใบหน้าของกู้จิ้งเอาไว้พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแกมคาดหวัง
แต่พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องนัก เขามองเธอด้วยความสงสัย “ในเมื่อเจ้าไปบำเพ็ญเพียรในโลกของเซียน ทำไมถึงบอกว่าตัวเองเป็นปีศาจล่ะ?”
นางเป็นคนยอมรับเองนะ
“หา?” กู้จิ้งตกใจ จริงด้วย ก่อนหน้านี้เธอยอมรับว่าตัวเองเป็นปีศาจ หากเธอคือฮุ่ยเหนียงจริง จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?
เธอยังคิดไม่ออกว่าจะพูดยังไง โชคดีที่เซียวเถี่ยเฟิงหาคำตอบได้เสียก่อน
“เจ้าซื่อบื้อแบบนี้ คงคิดว่าตัวเองถูกปีศาจเก็บไปเลี้ยงทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นเซียนเก็บไปเลี้ยงสินะ เจ้าโตขึ้นในโลกเซียนตั้งแต่เด็กย่อมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นปีศาจ”
จริงๆ แล้วมาย้อนคิดดู เขาเคยได้ยินมาว่าหากปีศาจดื่มสุราจะเผยร่างเดิม แต่กู้จิ้งไม่เคยเผยร่างเดิมอะไรทั้งนั้น เห็นได้ชัดว่านางเป็นคน!
“ใช่ นายพูดถูก…” เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้ เธอโง่ ทั้งที่อยู่ในโลกของเซียน แต่กลับคิดว่าเป็นโลกปีศาจ
“เจ้านี่น้า…” เซียวเถี่ยเฟิงบีบแก้มเธอเบาๆ “โง่จะตายอยู่แล้ว เจ้าโง่ขนาดนี้จะเป็นเซียนเป็นปีศาจได้อย่างไร? มิน่าอาคมของเจ้าถึงไม่ค่อยได้ผลนัก ปรุงยาก็ล้มเหลวอยู่เรื่อย นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ใช่เซียนน่ะสิ”
“อืม ฉันไม่ใช่เซียน ฉันเป็นคน…” ตอนนี้กู้จิ้งมีแต่ต้องพยักหน้ารับเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ส่ายหน้า
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยดังขึ้นที่ด้านนอก ดูเหมือนจะมีคนมาไม่น้อย
เซียวเถี่ยเฟิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ทันใดนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจ ผู้มาคือครอบครัวของจ้าวจิ้งเทียน นอกจากนี้ก็มีคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน รวมทั้งมารดาของฮุ่ยเหนียง
กู้จิ้งหันมาสบตากับเขาด้วยความงุนงง “พวกเขามาทำอะไรหรือ?”
ทันใดนั้น เธอก็เหลือบไปเห็นมารดาของฮุ่ยเหนียง
ไม่ต้องถาม ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว คนคนนี้น่าจะเป็นแม่ของเธอ นางมีดวงตาที่คล้ายกับเธอมาก เพียงแต่ลักษณะท่าทางและการแต่งกายไม่เหมือนกันเท่านั้น สรุปแล้ว เธอเป็นเด็กที่ถูกคนในยุคปัจจุบันเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ลักษณะนิสัยต่างๆ ย่อมไม่มีทางเหมือนกับหญิงชาวบ้านซึ่งอยู่ในกรอบขนบธรรมเนียมในสมัยโบราณไปได้
เซียวเถี่ยเฟิงมองผ่านหน้าต่างไปที่ร่างของจ้าวจิ้งเทียน จ้าวจิ้งเทียนเองก็กำลังมองเขา
เพื่อนรักในอดีตสบตากัน ต่างฝ่ายต่างเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
ชั่วขณะนั้น พวกเขาเหมือนจะย้อนกลับไปในวัยเด็กเมื่อครั้งที่เป็นเด็กชายอายุสี่ห้าขวบ วันๆ เอาแต่วิ่งเล่นไปทั่ว ชอบคุยโว ชอบปีนต้นไม้ ชอบจับปลา ตอนดีกันก็สนิทสนมกันมาก ตอนทะเลาะกันก็ตีกันเสียจนหน้าฟกช้ำดำเขียว
ครั้งที่พวกเขาทะเลาะกันรุนแรงที่สุด เป็นเพราะฮุ่ยเหนียง
เด็กชายทั้งสองชอบน้องสาวที่แสนน่ารักคนนี้มาก พวกเขาต่างอยากให้นางเรียกตัวเองว่าพี่ ต่างอยากพานางออกไปเล่น ตอนแรกยังตกลงกันว่าจะจูงมือนางกันคนละข้าง แต่ตอนหลังก็เริ่มทะเลาะกัน
พวกเขาสองคน คนหนึ่งอยากพาฮุ่ยเหนียงไปจับปลา ส่วนอีกคนอยากพาฮุ่ยเหนียงไปยิงนก
ฮุ่ยเหนียงซึ่งเอาแต่ยิ้มพูดจายังไม่ค่อยคล่องนัก นางย่อมไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร สุดท้ายก็ได้แต่มองพี่ชายคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความงุนงง
ดังนั้น เด็กชายทั้งสองจึงตัดสินกันด้วยกำลัง
การต่อสู้ครั้งนั้นเซียวเถี่ยเฟิงเป็นฝ่ายชนะ แต่จ้าวจิ้งเทียนกลับพาฮุ่ยเหนียงไป
ช่วยไม่ได้ นางเป็นคู่หมั้นของจ้าวจิ้งเทียน เป็นภรรยาในอนาคตของคนอื่น!
ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เซียวเถี่ยเฟิงได้ลิ้มรสความผิดหวังและความรู้สึกจนปัญญา เขาวิ่งกลับไปถามมารดาว่า ทำไมข้าไม่มีเมีย? ข้าก็อยากมีเมียเหมือนกัน! เมียที่เหมือนกับฮุ่ยเหนียง!
ตอนนั้นมารดาของเซียวเถี่ยเฟิงขำมาก นางบอกว่าเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้า ตัวเองยังดูแลตัวเองไม่ได้ก็อยากมีเมียแล้วรึ
ระหว่างที่เซียวเถี่ยเฟิงกำลังคิดถึงเรื่องในอดีต จ้าวจิ้งเทียนซึ่งอยู่ด้านนอกย่อมกำลังคิดเรื่องเดียวกัน
การต่อสู้ในวัยเด็กครั้งนั้น จ้าวจิ้งเทียนเป็นฝ่ายชนะ เพราะฮุ่ยเหนียงเป็นคู่หมั้นของเขา แต่ยี่สิบสองปีให้หลัง ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
ตอนนี้ กู้จิ้งเป็นภรรยาของเซียวเถี่ยเฟิง ภรรยาที่เข้าหอนอนอยู่ด้วยกันไปตั้งนานแล้ว ภรรยาที่ทุกคนบนภูเขาต่างรับรู้
ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก จ้าวจิ้งเทียนยังจะทำอะไรได้อีก?
ถึงตอนนี้ทุกคนก็ก้าวเข้ามาในบ้าน เซียวเถี่ยเฟิงพากู้จิ้งออกไป ทุกคนได้มายืนอยู่ด้วยกันเป็นครั้งแรก
ทันทีที่มารดาของฮุ่ยเหนียงเห็นกู้จิ้ง น้ำตาก็ร่วงลงมา
“นี่…นี่คือฮุ่ยเหนียงลูกสาวของข้า ข้าไม่มีทางจำผิดแน่ นี่คือฮุ่ยเหนียง!”