ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 10 พบกันอีกครั้งในงานชุมนุมครั้งใหญ่ (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

“พวกท่านอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย หมานเอ๋อร์ตามหาอยู่ตั้งนาน!” เสียงแหลมใสของฮั่วเสี่ยวหมานพลันดังขึ้น

ทั้งสามคนหันไปมอง ปลายทางเดินเก้าโค้ง ฮั่วเสี่ยวหมานยืนสะโอดสะองอยู่ตรงนั้น นางสวมชุดกระโปรงสีแดงสว่างทั้งตัว ขับเน้นให้ผิวเนียนขาวดั่งหิมะของนางยิ่งงดงามน่าเมียงมองกว่าเดิม นัยน์ตางามกลอกหมุนไปมา สุดท้ายจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาของหลางฉ่าง ยิ่งเปล่งประกายกระจ่างใสขึ้นหลายส่วน

นางเดินสาวเท้าเข้ามาเร็วๆ หันมาค้อมกายให้ซูหลี กล่าวด้วยน้ำเสียงเล็กแหลม “หมานเอ๋อร์ถวายบังคมองค์หญิงเพคะ”

ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูฮั่วไม่จำเป็นต้องมากพิธี”

ฮั่วเสี่ยวหมานเงยหน้า เห็นซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย ไร้สีหน้าไม่พอใจ จึงค่อยวางใจลง แต่เห็นหลางฉ่างไม่แม้แต่จะหันมามองนาง ในใจก็อดกระสับกระส่ายไม่ได้ จึงรีบหันไปคุกเข่าให้ซูหลี แล้วกล่าวว่า “วันนั้นเห็นหยกห้อยเอวของพี่ชายรัชทายาท หมานเอ๋อร์ร้อนใจ จึงเข้าใจผิดจับตัวองค์หญิง…ล้วนเป็นความผิดของหมานเอ๋อร์ องค์หญิงโปรดประทานอภัยให้หมานเอ๋อร์ด้วยเถิดเพคะ!”

นางค้อมศีรษะลงและกล่าวขอโทษอย่างจริงจัง นั่นกลับทำให้ซูหลีตกใจ ซูหลีรีบเข้าไปประคองนาง แล้วกล่าวอย่างมีไมตรีจิต “คุณหนูฮั่วกล่าวหนักเกินไปแล้ว วันนั้นเป็นเพราะเจ้า ข้าจึงได้เข้าวังมาพบกับเสด็จพ่ออย่างราบรื่น”

ฮั่วเสี่ยวหมานเห็นนางไม่ถือสาเรื่องในอดีต ก็พลันเบิกบานใจ นางจับมือซูหลีอย่างสนิทสนม หัวเราะเสียงใส แล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันรู้อยู่แล้วว่าองค์หญิงจะต้องมีน้ำใจกว้างขวาง ไม่มีทางตำหนิหม่อมฉันแน่!” เอ่ยจบ ก็แอบชำเลืองมองหลางฉ่างเล็กน้อย

วันนั้นที่ซูหลีกับฮ่องเต้แคว้นติ้งฟื้นคืนความสัมพันธ์ นางตกใจมาก ใครเล่าจะคิดว่าสตรีแปลกหน้าที่ถูกนางจับตัวกลับมาจากข้างถนน กลับเป็นถึงองค์หญิงตัวจริงเสียงจริง! นางเป็นธิดาของจวนผิงฉางโหว ถึงแม้มีนิสัยเอาแต่ใจ ซ้ำยังเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท แต่กลับรู้ดีว่าตนเองได้ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินเข้าแล้ว ฮ่องเต้มิได้ตำหนินาง แต่หลายวันมานี้หลางฉ่างเอาแต่หลบหน้าไม่ยอมพบนาง ทำให้นางกระวนกระวายใจ ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไรดี โชคดีที่วันนี้มีข้ออ้างดี หวังว่าจะอาศัยโอกาสนี้ทำให้เขาหายโกรธได้

หลางฉ่างหันมามองฮั่วเสี่ยวหมานเล็กน้อย สายตาอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “วันนี้หมานเอ๋อร์ตั้งใจมาขอโทษองค์หญิงเท่านั้นหรือ?”

ฮั่วเสี่ยวหมานยิ้มแล้วกล่าวว่า “อีกสองวันจะถึงวันคล้ายวันเกิดของท่านพ่อหม่อมฉันแล้ว หมานเอ๋อร์ใคร่เชิญพี่ชายรัชทายาท องค์หญิง และพี่สาวอวิ๋นฮุ่ยไปฉลองที่จวน” แม้ปากนางจะบอกว่าเชื้อเชิญทั้งสามคน แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นกลับจ้องมองหลางฉ่างไม่ห่าง คล้ายกำลังมองหาความหวังจากสีหน้าท่าทางอันสงบนิ่งของเขา

หลางฉ่างทำราวกับไม่ได้ยิน ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเฉยชาหลายส่วน เขากล่าวเสียงเรียบ “พวกเจ้าคุยกันต่อเถิด ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อนแล้ว” เอ่ยจบ ก็รีบสาวเท้าเดินจากไป

เขาไม่มองนางด้วยซ้ำ!

ดวงตาของฮั่วเสี่ยวหมานแดงก่ำทันที นางเม้มปากแน่น ท่าทางเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

ซูหลีกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยมองหน้ากัน หลางฉ่างอ่อนโยนและมีมารยาทต่อผู้อื่นเสมอมา เขาไม่เคยโกรธใคร และพวกนางก็ไม่เคยเห็นเขาทำตัวเย็นชาถึงเพียงนี้มาก่อนเช่นกัน

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอนหายใจเสียงเบา หมายจะเอ่ยปากปลอบใจสักสองสามประโยค นึกไม่ถึง ฮั่วเสี่ยวหมานกลับวิ่งตามหลางฉ่างไปอย่างรวดเร็ว

“พี่ชายรัชทายาท พี่ชายรัชทายาท…” ฮั่วเสี่ยวหมานหอบหายใจแรงๆ ดึงแขนเสื้อของหลางฉ่างที่เพิ่งจะก้าวเท้าออกจากตำหนักฉางเซิงไว้แน่น จากนั้นก็ยืนขวางทางเขา นางไม่ทันปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ก็ยิ้มอย่างเอาใจ “จะรีบไปไหนเล่าเพคะ ยังไม่บอกหม่อมฉันเลย ว่าวันคล้ายวันเกิดของท่านพ่อหม่อมฉัน พระองค์จะไปร่วมฉลองด้วยใช่ไหมเพคะ?”

หลางฉ่างมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย “พักนี้ข้ามีงานราชการมากมาย เกรงว่าจะหาเวลาว่างไปไม่ได้”

ฮั่วเสี่ยวหมานร้อนใจ “หม่อมฉันรู้ ทรงยุ่งเพราะงานชุมนุมไป่จี๋ใช่หรือไม่เพคะ? พี่ชายรัชทายาทให้คนอื่นทำแทนก็ได้แล้ว!…พี่ชายรัชทายาท” นางจับแขนหลางฉ่างเขย่าไปมาเบาๆ แล้วกล่าวออดอ้อนด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจ “ท่านหาเวลาว่างสักครึ่งวันไปร่วมงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านพ่อหม่อมฉันไม่ได้หรือเพคะ ไม่เช่นนั้น…คนอื่นจะติฉินนินทาเอาได้นะเพคะ!”

สายตาของหลางฉ่างพลันเคร่งขรึมลงทันใด “ในสายตาเจ้า พิธีฉลองวันคล้ายวันเกิดของฉางผิงโหว กับคำติฉินนินทาของคนนอก ล้วนสำคัญกว่างานใหญ่ระดับชาติ เช่นนั้นหรือ?”

น้ำเสียงของเขาพลันเกรี้ยวกราด ฮั่วเสี่ยวหมานสะดุ้ง ลนลานทำตัวไม่ถูก “พี่ชายรัชทายาท…”

หลางฉ่างตัดบทอย่างเย็นชา “บิดาเจ้าฉางผิงโหวอาศัยว่ามีผลงานกู้ชาติในอดีต ซ้ำยังเป็นว่าที่พ่อตาฮ่องเต้ในอนาคต มีกำลังทหารสำคัญอยู่ในมือ มีอำนาจในราชสำนัก แม้แต่ข้าที่เป็นองค์รัชทายาท เขาก็ยังไม่เห็นหัว”

ฮั่วเสี่ยวหมานกล่าวเสียงร้อนใจ “ท่านพ่อไม่เคยคิดเช่นนี้เลยนะเพคะ! พี่ชายรัชทายาทอย่าเข้าใจเขาผิด”

หลางฉ่างแค่นเสียงขึ้นจมูก “ช่างเถิด เรื่องของเขา เจ้าจะรู้มากน้อยเพียงใดกัน? ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้า แต่ว่า งานชุมนุมไป่จี๋ที่สามปีจะมีครั้งหนึ่ง เกี่ยวโยงถึงการค้าขายระหว่างแคว้นเรากับแคว้นอื่นๆ เจ้ากลับไม่เห็นความสำคัญถึงเพียงนี้ และไม่ใส่ใจความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ภายหน้าจะเป็นภรรยาของข้าหลางฉ่างได้เช่นไร?!”

ฮั่วเสี่ยวหมานตกตะลึง นี่เขาจะถอนหมั้นงั้นหรือ? นางมองหน้าเขาด้วยความแตกตื่น “ท่าน…ท่านหมั้นหมายกับหมานเอ๋อร์มาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าอย่างไร หมานเอ๋อร์ก็เป็นว่าที่ภรรยาของท่านนะ!”

นางยังคงเป็นเช่นนี้ คิดแต่อยากจะแต่งงานกับเขา กลับไม่เคยใคร่ครวญว่าจะเป็นพระชายาเอกในองค์รัชทายาทที่ดีได้เช่นไร! หลางฉ่างส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง ได้แต่กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ความจริงต้นเหตุของความผิดทั้งปวง ก็คือการหมั้นหมายครั้งนี้ ถ้าหากตอนนั้นเสด็จพ่อไม่รับปากแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับจวนโหว ทุกอย่างก็คงไม่เดินมาถึงขั้นนี้”

ฮั่วเสี่ยวหมานเบิกตากว้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่าน…ว่าอย่างไรนะ?”

หลางฉ่างหันมามองหน้านาง ความอ่อนโยนในดวงตาที่เคยมีคล้ายจางหายไปจนสิ้น เหลือเพียงความเย็นชาและหน่ายใจ เขากล่าวเสียงเบา “ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้ายังเด็ก เสียมารดาไปตั้งแต่ยังเล็ก จึงได้มีนิสัยเย่อหยิ่งเช่นนี้ ทุกครั้งที่เจ้าทำผิด ข้าล้วนใจกว้างให้อภัยเจ้าเสมอ เพราะหวังว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงตนเอง แต่จนถึงตอนนี้ เจ้าก็ยังคงไม่สำนึก ยังคงเป็นเหมือนเช่นเคย”

ฮั่วเสี่ยวหมานในยามนี้ปวดใจจนแทบแหลกสลาย นางไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ความริษยาเอ่อล้นในดวงตา นางร้องตะโกนอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้ารู้ ท่านแค่ไม่พอใจที่ข้าจับตัวองค์หญิง เลยพาดพิงไปถึงเรื่องอื่น! เพราะนางเป็นน้องสาวอันเป็นที่รักของท่าน! แต่หากข้าไม่พบนาง นางจะได้พบฝ่าบาทเร็วถึงเพียงนี้หรือ!”

หลางฉ่างพลันนิ่งอึ้ง แทบไม่อยากเชื่อ ความโกรธกับความผิดหวังจู่โจมสติปัญญาของเขา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ทำผิดแล้วยังสำบัดสำนวน เจ้าคิดว่าตนเองทำผิดเรื่องนี้เรื่องเดียวงั้นหรือ?”

ขอบตารื้นไปด้วยน้ำใสๆ ฮั่วเสี่ยวหมานยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างไม่ยอมลดละ “ข้าทำอะไรผิดอีก?!”

“อาศัยฐานะบุตรีจวนฉางผิงโหวบังคับซื้อขายในตลาด นี่ไม่ใช่เพียงครั้งแรกที่เจ้าทำเช่นนี้! เห็นหยกห้อยเอวของข้า ไม่ถามหาต้นสายปลายเหตุ ก็สั่งให้จับตัวคนส่งเดช ยังไม่ทันรู้ฐานะที่แท้จริงของผู้ต้องสงสัยก็พาตัวเข้าวังแล้ว ครั้งนี้เจ้าโชคดี บังเอิญเป็นน้องสาวของข้าพอดี หากภายหน้าเจ้าพาโจรเข้าวัง ไม่กลัวว่าจะทำให้เสด็จพ่อกับเสด็จแม่บาดเจ็บหรืออย่างไร?!”

ทุกถ้อยคำของเขาดังก้องอยู่ในหูฮั่วเสี่ยวหมาน เหมือนดังเสียงสายฟ้าฟาด ยามนี้นางเพิ่งตระหนักได้ ว่าครั้งนี้หลางฉ่างโกรธแล้วจริงๆ นางไม่รู้ควรทำตัวเช่นไร น้ำตาที่รื้นอยู่ในเบ้าตาหลั่งรินอาบพวงแก้มทั้งสองข้างในที่สุด นางค่อยๆ ปล่อยแขนเสื้อของเขา นิ้วมือเคลื่อนต่ำลง กุมมือหลางฉ่างเบาๆ นางเขย่ามือเขาอย่างไร้ที่พึ่ง ขานเรียกเสียงแผ่วเบา “พี่ชายรัชทายาท ท่านอย่าโกรธเลย เป็นหมานเอ๋อร์…เป็นหมานเอ๋อร์ไม่ดีเอง…”

หลางฉ่างปวดแปลบที่หัวใจ เขารู้สึกเศร้าโศกอย่างอธิบายไม่ถูก ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ที่เด็กสาวตัวน้อยนิสัยร่าเริงแจ่มใสที่มักเดินตามเขาตลอดเวลาในความทรงจำ กลับกลายเป็นบุตรีจวนโหวที่มีนิสัยเอาแต่ใจ กำเริบเสิบสานอย่างนี้?

เวลาผันผ่าน ใจคนผันเปลี่ยน

เขาหลับตา ฝืนทำใจแข็งควบคุมตนเองไม่ให้มองนาง ค่อยๆ แกะมือนางออก แล้วหมุนกายเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก

ในตรอกแคบๆ ที่ทอดยาวภายในวังหลวง เงาร่างสองเงา แดงหนึ่งขาวหนึ่ง ค่อยๆ ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ…

เช้าตรู่ของวันที่สิบหก เดือนสี่ สายลมโชยผ่าน แสงตะวันอาบท้องฟ้า บนจัตุรัสเล็กๆ ซี่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบเฝ่ยชุ่ย คับคั่งไปด้วยผู้คน บรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษ ด้านหน้าเวทีที่ถูกสร้างเสร็จแล้ว มีคนเบียดเสียดอยู่เต็มไปหมด ข่าวที่ว่าหลางฉ่างองค์รัชทายาทพระองค์ปัจจุบันเสด็จมาร่วมพิธีเปิดงานชุมนุมไป่จี๋ด้วยตนเอง ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากตื่นเต้นดีใจ ต่างพากันรุมล้อมเข้ามาดูความสง่างามขององค์รัชทายาทหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ ซูหลีกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้แคว้นติ้ง แต่งกายเป็นหญิงสามัญชนมายืนดูร่วมกับชาวบ้านอยู่ด้านล่างเวที ตั้งตารอคอยความยิ่งใหญ่ที่สามปีจะมีหนึ่งครั้ง

ก่อนจะเปิดพิธีอย่างเป็นทางการ พ่อค้าที่มาร่วมงานชุมนุมไป่จี๋ ต่างโดยสารเรือลำเล็กผ่านแม่น้ำสายย่อย ค่อย ๆ เรียงแถวเข้าสู่ทะเลสาบมรกตเฝ่ยชุ่ย บ้างก็รายล้อมรอบสะพานไม้ที่ยื่นออกไปในทะเลสาบ บ้างก็เข้ามาจอดเทียบฝั่ง ต่างตั้งตารอคอยพิธีเปิดตลาดอย่างตื่นเต้น

ไม่นานผู้จัดก็ส่งสัญญาณ ดอกไม้ไฟถูกจุดอย่างพร้อมเพรียง งานชุมนุมไป่จี๋เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ หลางฉ่างก้าวเท้าขึ้นเวทีช้าๆ เรียกเสียงปรบมือดังระงมจากด้านล่างเวที คำปราศรัยอันสั้นกระชับและสุภาพอ่อนโยน แสดงความขอบคุณเหล่าพ่อค้าและนักท่องเที่ยวจากแดนไกลที่เดินทางมาร่วมงานชุมนุมครั้งใหญ่อย่างชัดเจน จากนั้นเสียงกลองก็ดังขึ้น คณะเชิดสิงโตและเชิดมังกรกระโดดขึ้นมาบนเวที พวกเขาแสดงอย่างลิงโลดผาดโผน คล่องแคล่วว่องไว ราวกับมีชีวิตจริงๆ เหล่าฝูงชนที่มุงดูอยู่ต่างครึกครื้นรื่นเริง พากันปรบมืออย่างชอบใจ

ท่ามกลางฝูงชน ซูหลีถามด้วยความประหลาดใจ “ข้าเคยเห็นชุมนุมตลาดมามาก แต่งานชุมนุมตลาดน้ำเช่นนี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก คิดอย่างไรจึงมาเปิดบนทะเลสาบได้?”

“ประมุขทุกยุคทุกสมัยของแคว้นเราให้ความสำคัญกับการค้าขายมาก น่าเสียดายที่ผืนดินในเมืองหลวงแคว้นติ้งมีจำกัด ร้านค้าที่มีก็เพียงพอต่อความต้องการของพ่อค้าในพื้นที่เท่านั้น ทว่าในเมืองกลับมีเส้นทางน้ำเชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึง พ่อค้าจากต่างแดนสัญจรเข้าออกสะดวก ฉะนั้นจึงมีชุมนุมตลาดน้ำเกิดขึ้น สิบกว่าปีมานี้ เศรษฐกิจของแคว้นติ้งรุ่งเรืองกว่าแคว้นเปี้ยนและแคว้นเฉิงมาก ยิ่งงานชุมนุมตลาดน้ำที่สามปีจัดหนึ่งครั้งยิ่งขาดไม่ได้เลย” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตอบคำถามอย่างใจเย็น เพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถบรรยายประวัติความเป็นมาของตลาดน้ำได้อย่างกระจ่างชัด

ซูหลีพึมพำ “สิบกว่าปีก่อน เป็นความคิดของเสด็จพ่องั้นหรือ?”

“ไม่ใช่” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยส่ายหน้า ยามกล่าววาจาน้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชม “เป็นความคิดขององค์รัชทายาท ยามนั้นเขาอายุเพียงแปดขวบ กลับมีนิสัยใจคอสุขุมเยือกเย็นกว่าเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งยังฉลาดปราดเปรื่อง เขาเสนอความเห็น และได้รับคำชมจากฝ่าบาททันที เริ่มจากการเปิดตลาดครั้งแรกที่มีพ่อค้าต่างแดนเพียงยี่สิบสามสิบคน ตอนนี้กลับมีเป็นร้อยเป็นพัน งานชุมนุมไป่จี๋ได้กลายเป็นงานที่ยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ไปแล้ว!”

เงาร่างสีขาวที่ยืนหลังตรงเชิดหน้าอยู่บนเวที ท่าทางสูงสง่า บารมีเลิศล้ำ พาให้ผู้พบเห็นเลื่อมใสจากก้นบึ้งของหัวใจ

ซูหลีกล่าวชื่นชมจากใจ “เสด็จพี่ทำงานหนักเพื่อประชาชาน มีกษัตริย์เช่นนี้ ช่างเป็นบุญของชาวติ้งยิ่งนัก”

พิธีเปิดดำเนินมาจนถึงช่วงท้าย สองสาวค่อยๆ เดินออกจากฝูงชน ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยมองนางแล้วยิ้มเล็กน้อย พลางกล่าวอย่างมีนัยแอบแฝง “ข้ากลับรู้สึกว่าไม่มีใครบุญหนักเท่าเจ้าอีกแล้ว ฉางเล่อ”

ซูหลีตะลึงงัน ไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าเช่นไร

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยิ้มหยอกล้อ “มีพี่ชายโดดเด่นถึงเพียงนี้ ว่าที่พระสวามีก็เป็นถึงมังกรในฝูงชน อย่างนี้ไม่เรียกว่าบุญที่สะสมมาถึงสามชาติแล้วจะเรียกว่าอะไรเล่า? แต่สำหรับฉางเล่อ เดาว่าบุรุษในดวงใจคงจะโดดเด่นกว่ากระมัง?”

………………………………………