ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 11 พบกันอีกครั้งในงานชุมนุมครั้งใหญ่ (2)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

“อยู่ดีๆ ก็มาล้อข้า” ซูหลีกล่าวเคืองๆ พลันนั้นก็บังเกิดความคิด นางคล้องแขนซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย แสร้งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อวิ๋นฮุ่ยพูดถูกแล้ว คนมีความสามารถเช่นเสด็จพี่ของข้า จะปล่อยให้หลุดมือไปได้เช่นไร? มิสู้…เจ้าแต่งงานกับเขา แล้วเป็นพี่สะใภ้ข้า เจ้าจะได้กลายเป็นคนมีบุญด้วยเช่นกัน” เอ่ยจบ ก็ทำท่าจะดึงนางเดินกลับไป

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยลนลานเล็กน้อย รีบดึงมือซูหลี แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าอย่าล้อเล่นส่งเดช! องค์รัชทายาทกับเสี่ยวหมานหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็กแล้ว หากนางได้ยินเข้า เกรงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่!”

ซูหลีได้ยินก็ตะลึง ตอนแรกที่นางเดินทางมาถึงแคว้นติ้ง เพียงเคยได้ยินว่าสกุลฮั่วมีอำนาจล้นฟ้า แต่กลับนึกไม่ถึงว่ายังมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับราชวงศ์อยู่ด้วย มิน่าเล่าชื่อเสียงของฉางผิวโหวถึงได้รุ่งเรืองดุจดวงอาทิตย์กลางท้องฟ้าเช่นนี้! แต่ดูจากท่าทีของเสด็จพี่ เขาเฉยชาและพยายามหลบหน้าฮั่วเสี่ยวหมาน ทว่าสายตาที่มองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกลับพิเศษต่างออกไป เรื่องราวยุ่งเหยิงระหว่างสามคนนี้เกรงว่ายากจะแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น นางอดลอบถอนใจไม่ได้

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยดึงมือซูหลีเตรียมตัวจะหมุนกายเดินจากไป นึกไม่ถึงกลับเดินชนอ้อมกอดของคนผู้หนึ่ง นางสะดุ้งตกใจ

ครั้นเงยหน้าขึ้น ก็เห็นใบหน้าเกลื่อนยิ้มของหลางฉ่างผ่านหมวกเหวยเม่า[1]รางๆ เขาจ้องนางด้วยสายตาเปี่ยมความรู้สึก ประคองไหล่นางเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ระวัง”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย นางรู้สึกประหม่าต่อความใกล้ชิดและความเป็นห่วงของเขา โชคดีที่มีผ้าโปร่งสีขาวกั้นอยู่ มองจากข้างนอกไม่ค่อยชัดเจนนัก นางถอยห่างหนึ่งก้าวอย่างแนบเนียน แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยเพคะ”

หลางฉ่างแย้มยิ้มไม่พูดอะไร ดึงมือกลับคล้ายไม่ใส่ใจ

ซูหลีกระแอมเบาๆ ยิ้มแล้วถามว่า “เสด็จพี่เสร็จงานแล้วหรือ?”

“ใกล้แล้ว” หลางฉ่างกล่าวว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่พักหนึ่งแล้ว ยังไม่เคยเดินเที่ยวในเมืองดีๆ สักครั้ง ตอนนี้มีโอกาสพอดี ข้าจะไปเดินเล่นกับพวกเจ้า”

ขณะทั้งสามกำลังจะเดินออกไป จู่ๆ หลิงอวิ๋นองครักษ์ของหลางฉ่างก็เดินเข้ามา กระซิบกับเขาหลายประโยค แววลังเลพาดผ่านใบหน้าหลางฉ่างเล็กน้อย

ซูหลีรีบกล่าว “เสด็จพี่ไปทรงงานเถิดเพคะ หม่อมฉันมีอวิ๋นฮุ่ยก็พอแล้ว”

หลางฉ่างถอนหายใจด้วยความจนใจ ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “ก็ได้ พวกเจ้าค่อยๆ เดินเที่ยวก็แล้วกัน ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้ว”

สองสาวเดินชมโน่นชมนี่ไปตามริมฝั่งน้ำอย่างสบายใจ หัวเราะพูดคุยอย่างมีความสุข แม้พวกนางจะมาจากตระกูลผู้ดี แต่ก็ได้พบเจอเรื่องแปลกใหม่และสนุกสนานมาไม่น้อย ซูหลีค่อยๆ สาวเท้าเดินขึ้นไปบนสะพานโค้งแห่งหนึ่ง โน้มตัวพิงราวสะพานแล้วทอดมองออกไป ที่นี่ห่างจากทะเลสาบเฝ่ยชุ่ยระยะหนึ่ง ยามนี้ บนสะพานไม้ที่อยู่ในงานชุมนุมตลาดน้ำ คับคั่งไปด้วยผู้คน เบียดเสียดจนเดินเหินลำบาก

ด้านล่างสะพานเสียงเอะอะโวยวายดังไปทั่ว ครั้นก้มมอง ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนล้อมอยู่ริมฝั่งน้ำ ที่แท้ก็เป็นสินค้าทะเลจากเกาะตงหมิงที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติและความสดใหม่ ดึงดูดความอยากอาหารของคนที่เดินผ่านไปผ่านมานั่นเอง กุ้งหอยปูปลาถูกจับแยกใส่ในอวนจับปลาซึ่งแช่ไว้ในน้ำ ครั้นเลือกได้แล้วคนขายปลาก็ดึงอวนขึ้นจากน้ำ กุ้งหอยปูปลาที่อยู่ในอวนต่างดิ้นรนขัดขืนเพื่อเอาชีวิตรอด

บนเรือพ่อค้าจากแคว้นเฉิงซึ่งอยู่ไม่ไกล เถ้าแก่จัดวางสมบัติด้วยท่าทางภูมิใจ เครื่องใช้สำริดอันประณีตงดงามวางเรียงรายอยู่บนชั้นสินค้า งดงามมีเอกลักษณ์ เครื่องประดับที่ทำจากอัญมณีล้ำค่า โดดเด่นสะดุดตา ดึงดูดความสนใจจากนายท่านและฮูหยินที่สวมอาภรณ์หรูหราให้เดินเข้ามาดู และอุทานในความงดงามของมัน จากนั้นก็ยอมล้วงเงินออกมาจับจ่ายด้วยความเต็มใจ

ชายฉกรรจ์ที่มาจากแคว้นเปี้ยนสวมเสื้อกั๊กที่ทำจากหนังสัตว์ ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม เชื้อเชิญนักท่องเที่ยวให้เข้ามาชิมเหล้านมม้าที่มีรสชาติหอมเข้มข้น แต่เพราะเคลื่อนไหวตัวมากเกินไปจึงเดินชนแผงสินค้าด้านหน้าจนคว่ำ ผลไม้แห้งกระจัดกระจายเต็มพื้น ชายหนุ่มลนลานและอับอาย ชาวบ้านที่มุงดูอยู่หัวเราะเสียงดัง ทว่าไม่ลืมช่วยเขาเก็บสินค้าทั้งหมด แล้วนำกลับไปวางที่เดิม

บรรยากาศสงบสุขรื่นเริง บ้านเมืองสงบ ประชาร่มเย็น ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ซูหลีอดยิ้มไม่ได้ จู่ๆ หัวใจพลันสะดุด งานชุมนุมไป่จี๋มีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดิน สถานการณ์ครึกครื้นอย่างหาได้ยาก ใกล้ถึงเวลาที่สัญญากันไว้แล้ว ไม่รู้ว่า…เขาคนนั้นจะมาหรือเปล่า?

นางมัวแต่ครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคยดังขึ้นท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย ครั้นหันไป ก็เห็นซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยืนอยู่ตรงหน้าปากถนนด้านล่างสะพาน และกำลังกวักมือเรียกนางเบาๆ

เงาร่างอรชรสีขาวรีบเดินลงจากสะพาน เรือเล็กลำหนึ่งล่องออกมาจากใต้สะพานโค้ง คุณชายหนุ่มรูปงามสวมอาภรณ์สีดำรัดเกล้าสีทองผู้หนึ่งยืนอยู่บนหัวเรือ เส้นผมสีน้ำหมึกพลิ้วไหวเบาๆ มือใหญ่ไพล่หลัง ได้ยินเสียงคึกคักดังมาจากด้านหลัง จึงเอียงหน้าหันกลับไปมองเล็กน้อย เห็นเพียงบนสะพานโค้งเต็มไปด้วยผู้คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมา

“นายท่าน เซิ่งเซียวบอกว่าองค์รัชทายาทหลางจะมาที่งานชุมนุมไป่จี๋วันนี้ องค์หญิงอาจเสด็จตามมาด้วยขอรับ พวกเราจะไปพระราชวังก่อน หรือว่า…” ผู้ติดตามรายงาน และรอคำสั่งจากผู้เป็นนายอย่างนอบน้อม

สายตาของคุณชายชุดดำยังคงทอดมองทิวทัศน์อันคึกคักของสองฝั่งน้ำ ครั้นได้ยินก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “จอดตรงนี้เลยก็แล้วกัน”

ผู้ติดตามสั่งให้เรือลำเล็กเข้าจอดที่ท่าเทียบเรือที่ใกล้ที่สุด คุณชายรูปงามก้าวเดินขึ้นไป ฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง ชายเสื้อพลิ้วไปตามการเคลื่อนไหว รูปลักษณ์อันโดดเด่นสะดุดตา ชวนให้หัวใจของเหล่าหญิงสาวที่เดินผ่านไปผ่านมาเต้นไม่เป็นจังหวะ ต่างพากันอดหันมองไม่ได้

ผู้ติดตามเดินตามขึ้นมาบนฝั่ง เขาหยุดยืนกับที่ครู่หนึ่ง สายตาสอดส่องไปทั่วทิศอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ จากนั้นก็รีบเดินตามไป

“เจ้าดูอันนี้ งามมาก”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยอุทาน นางโยนคันธนูที่ทำจากไม้ซึ่งมีขนาดเท่าฝ่ามือเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในกระบอกใส่ลูกศรที่ทำจากหนัง มีลูกศรที่ทำจากไม้ขนาดเล็กหลายดอกเสียบไว้ ฝีมือประณีตงดงามเหมือนของจริง ถูกทำขึ้นอย่างพิถีพิถันตามสัดส่วนของคันธนูและลูกศรของจริง

ของเล่นขนาดเล็กที่วางขายบนแผงสินค้าส่วนมากทำจากไม้ มีตั้งแต่กลเก้าห่วง สลักกลข่งหมิง ไปจนถึงรูปสัตว์ต่างๆ ล้วนแล้วแต่สมจริงทั้งสิ้น ดูแล้วคุ้นตายิ่งนัก ซูหลีกวาดตามองรอบๆ เป็นไปตามคาด กระบี่สั้นที่ดูเรียบง่ายทว่าสวยงามเล่มนั้นก็พลันปรากฏในครรลองสายตา

ด้านหลังแผงสินค้ายังคงเป็นชายหนุ่มชุดเทาคนเดิม ถึงแม้ยามนี้ใบหน้าเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม ทว่าฝีมือการแปลงโฉมที่ยังไม่ถึงขั้นกลับยังคงเหมือนเดิม ซูหลียังคงมองออกตั้งแต่แวบแรก แม้จะมีเรื่องกับคุณหนูจวนโหว เขาก็ยังไม่ไปจากที่นี่ ซ้ำยังกล้าออกมาวางแผงขายของ ดูท่า…เขายังคงไม่บรรลุเป้าหมายของตนเอง

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยชูคันศรจิ๋วขึ้นมาดูอีกครั้ง ท่าทางเหมือนลังเลที่จะวางมันลง

ซูหลีอดยิ้มแล้วกล่าวเสียงเบาไม่ได้ “นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นฮุ่ยกลับยังมีจิตใจที่ไร้เดียงสาเหมือนเด็ก?”

มือของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยชะงักเล็กน้อย นางถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ยามท่านพ่อของข้ายังอยู่ อาวุธที่เขาชอบที่สุดก็คือธนูและกระบี่ ธนูจิ๋วนี้เหมือนจริงมาก หากเขาเห็นจะต้องชอบแน่นอน”

นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา คล้ายรู้สึกเศร้าโศกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซูหลีเข้าใจความรู้สึกนาง จึงไม่พูดอะไรอีก เพียงหันไปเอ่ยกับชายหนุ่มว่า “ของที่แม่นางท่านนี้อยากได้ อีกประเดี๋ยวข้าจะเป็นคนจ่ายเอง”

ครั้นได้ยินเสียง ชายหนุ่มพลันตกตะลึง รีบเงยหน้ามองซูหลี ผ้าโปร่งสีขาวเบาบางเหมือนหมอก ปิดกั้นการมองเห็นทุกอย่างจากโลกภายนอก

ซูหลีกระจ่างแก่ใจ สีหน้าของเขาสะดุดไป สายตาสะท้อนแววยินดีและห่วงใย ไร้ซึ่งความเสแสร้ง แต่เพราะไม่อาจมั่นใจได้จึงทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็เงียบไป นางลอบถอนหายใจ อดไม่ได้ที่จะกล่าวกับเขาเสียงเบาๆ ว่า “ที่แห่งนี้คนเยอะ หากคุณชายอยากบรรลุเป้าหมายของตนเอง ก็จำต้องระมัดระวังให้มาก”

ชายหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่นานก็ตระหนักได้ รีบก้าวเข้ามาใกล้ จงใจลดเสียงเบาลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจ “เจ้า เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ข้ายังเป็นห่วง…” ความดีใจทำให้เขาตื่นเต้นจนพูดไม่ออก วันนั้นเขามองดูนางถูกทหารจับตัวไปต่อหน้าต่อตา ได้แต่รู้สึกผิดและเป็นห่วง ยามนี้เห็นนางปลอดภัยดี หัวใจที่ตึงเครียดมานานจึงผ่อนคลายลงในที่สุด เหตุใดจึงไม่ยอมลืมสตรีที่พบหน้ากันเพียงครั้งเดียว

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “พวกเจ้ารู้จักกันหรือ?”

ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วตอบเสียงเรียบ “เคยพบกันหนหนึ่ง”

ชายหนุ่มสงบสติอารมณ์ แล้วกล่าวเสียงเบา “คุณหนูทั้งสองท่านชอบสินค้าชิ้นไหน ก็เอาไปเถิด ถือว่า…เป็นน้ำใจจากข้าน้อย”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเลือกสรรอย่างจริงจัง เอ่ยถามด้วยความสงสัยเป็นระยะ ไม่ง่ายนักที่จะเจอคนรู้ใจ ชายหนุ่มตอบคำถามอย่างละเอียดด้วยความอดทน เขาบรรยายลักษณะเด่นของของเล่นแต่ละชิ้นโดยไม่มีท่าทีรำคาญแม้แต่น้อย

ซูหลีไม่อยากรบกวน ดูท่าแล้วอวิ๋นฮุ่ยคงจะใช้เวลาเลือกสรรอีกพักใหญ่ ฉะนั้นจึงเดินไปข้างหน้า ทอดน่องเดินเล่นอยู่บริเวณใกล้ๆ เพียงลำพัง ขณะเดินผ่านหอน้ำชาที่อยู่ตรงมุมถนน ก็พลันได้ยินเสียงพูดเบาๆ ของบุรุษดังมา “เตรียมพร้อมหมดแล้ว…จับตาดูให้ดี…อย่าให้พลาด…มิเช่นนั้น…”

ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายยากจะแยกแยะประโยคที่ได้ยิน ยามนี้ซูหลีที่มีวรยุทธ์สูงส่ง ก็ได้ยินเพียงไม่กี่คำ นางรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลโดยสัญชาตญาณ ความระแวดระวังพลันบังเกิด รีบหันหน้ากลับไปมองหาเจ้าของเสียงพูดทันที

เห็นเพียงเงาร่างของคนสามคนแยกย้ายกันด้านหน้าหอน้ำชา ไม่นานก็กลมกลืนไปกับฝูงชนบนถนนอย่างรวดเร็ว

ไม่มีเวลาให้คิดมาก ซูหลีหมายตาเงาร่างสีเทาหนึ่งในสามคนนั้น แล้วเดินตามไปยังทิศทางที่เงาร่างนั้นหายลับไปทันที นางไม่รู้เลยว่าท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ห่างออกไปด้านหลังไม่กี่จั้ง คุณชายชุดดำที่เดิมกำลังเดินชมทิวทัศน์บนถนนอย่างผ่อนคลาย พลันชะงักเท้า สายตาคมปลาบแปรเปลี่ยนเล็กน้อย จับจ้องมองกระบี่สั้นที่วางอยู่บนแผงสินค้าไม่วางตา

………………………………………


[1] หมวกเหวยเม่า คือหมวกที่ใช้ตาข่ายล้อมทุกด้านจากปีกหมวก และห้อยลงมาถึงลำคอ