ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 36 ห่วงฟ้าขอสมุทร (10)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

คนเรามักมีความรู้สึกแปลกประหลาดมากมาย เช่นว่าวันหนึ่งจะพบกับเรื่องอะไร ลางสังหรณ์ก็จะรู้สึกว่าภาพนี้เหมือนเคยคุ้น ไม่รู้ว่าเคยฝันถึงหรือว่าเคยผ่านมา หรือเช่นว่าอยู่ๆ พบกับสิ่งหนึ่ง รู้สึกคุ้นเคยอย่างที่สุด สนิทชิดใกล้อย่างที่สุด แต่คิดไม่ออกว่าแท้จริงคืออะไร 

 

 

ในวินาทีที่อู๋จือฉีนำห่วงฟ้าเทียนจวินออกมาให้เห็น เสวียนจีก็ตกในสภาวะความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้จนไม่อาจนำพาตนเองให้หลุดจากภวังค์มาได้ ราวกับนางลืมสิ่งรอบตัวไปหมดสิ้น ได้แต่จ้องมันไม่วางตา ทุ่มเทใจทั้งหมดหวนระลึกว่าแท้จริงเคยเห็นที่ไหน จนกระทั่งเขานำขอสมุทรเช่อไห่ออกมา ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรง 

 

 

คุ้นมากจริง! ไม่ใช่แค่คุ้นเคยธรรมดา แต่มันฝังลึกในจิตวิญญาณส่วนลึกที่สุด เป็นความคุ้นอันหนึ่งอันเดียวกับเลือดเนื้อนาง! ราวกับจากกันไปนานมาก ในที่สุดก็ความคุ้นเคยที่หาพบ 

 

 

เบื้องหน้าราวกับมีภาพลอยขึ้นมามากมาย แต่ก็เลือนรางมาก และยังมีเสียงดังไม่หยุด เสียงหนึ่งราวกับแนบใบหูนางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เปลี่ยนเถอะ เช่นนี้น่าเกลียดมาก เป็นสาวงามผลึกแก้วหลิวหลีเป็นอย่างไร” 

 

 

นางหันหน้าไปมอง ได้ยินชัดเจน พลันได้ยินเสียงอู๋จือฉีตวาดดัง ห่วงฟ้าเทียนจวินในมือส่งเสียงดัง เป๊าะ แตกเป็นเสี่ยง ในใจนางราวกับถูกอะไรสักอย่างฟาดเต็มแรง เสียงดังกังวานก้องในหูนางไม่หยุด ตามมาด้วยเสียงเร่งเร้าราวกลองศึก ราวกับอยู่ๆ ร่างนางก็ร่วงลงสู่เหวลึก ร่วงลงไปไม่หยุด ร่วงลงไป… 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกอดร่างนางไว้ เรียกนางเบาๆ หลายที สองตานางปิดสนิทไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง เห็นชัดว่าสลบไปแล้ว ในใจเขาตื่นตระหนกไปหมด อยู่ๆ ก็คว้าเอวนางอุ้มขึ้นมา หันกลับไปกล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “ข้าไม่สนใจจะโต้เถียงกับแดนสวรรค์! ตอนนี้ขอท่านรีบเก็บหมอกโลหิตคืน! ปล่อยพวกเราออกไป!” 

 

 

หงส์แดงจูเชวี่ยถูกเขาคำรามใส่ก็ไม่โกรธ เพราะหมอกโลหิตนี่เป็นเขาทำผิดก่อน ได้แต่เม้มปาก มือซ้ายวาดไปกลางท้องฟ้า หมอกสีแดงโลหิตราวกับเส้นเลือดบีบหดก็ค่อยๆ สลายไป อาศัยตามองระยะใกล้เช่นนี้ หมอกบีบหดนั่นเหมือนกับเลือดเนื้อที่เกาะกลุ่มเป็นก้อนบีบหด น่าเกลียดและน่าขยะแขยง 

 

 

อู๋จือฉียังทำท่าทางไม่สนใจ ราวกับเมื่อครู่เขาไม่ได้ทำลายเทพศาสตรามีชื่ออะไร เพียงแต่ไม่ทันระวังทำชามแตกไปเท่านั้น ยิ้มร่ากล่าวว่า “เจ้าก็อย่าโทษเจ้านกโง่นี่ หมอกโลหิตนี่ไม่ห่างกายเขา ห่างกายไม่ได้ด้วย เพราะเป็นการวาดอาณาเขตเวทกั้นโลกภายนอกไว้ คนผู้นี้ชอบเก๊กอวดท่าอวดทาง ไปไหนก็จะปล่อยหมอกนี่ออกมาสร้างบรรยากาศราวกับผายลม จริงๆ แล้วก็เป็นแค่ไอ้งั่งเท่านั้นแหละ!” 

 

 

เพราะหมอกโลหิตของหงส์แดงจูเชวี่ยทำร้ายคนไม่น้อย ในใจรู้สึกบอกไม่ถูก พอถูกเขาเยาะเอาเช่นนี้ ถึงกับไม่อาจโต้กลับ หมุนข้อมือสั่นเทาทีหนึ่ง ก่อนหมอกสีแดงโลหิตจะค่อยๆ จางหายไป สุดท้ายกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เงาร่างเขาห่อหุ้มไปด้วยหมอกสีขาวทั้งร่างจนเลือนรางมองไม่ชัด 

 

 

“เจ้าวานร! เจ้าคอยก่อน ความผิดที่ทำลายเทพศาสตรา ช้าเร็วต้องมาคิดบัญชีเจ้า!” เขากล่าวดุดันท่ามกลางหมอกขาว หมอกนั่นค่อยๆ ถอยห่างไป จิ้งจอกม่วงเข่าอ่อนยวบ ทรุดลงกับพื้น มองไปรอบๆ ทุกอย่างคืนสู่สภาพเดิมในทันที โรงเตี๊ยมแสนคึกคักที่ถูกขอสมุทรเช่อไห่กระชากครึ่งบนทิ้งก็ปิดเหมือนเดิมไร้รอยโหว่ โต๊ะเก้าอี้ระเนระนาดก็มีระเบียบเรียบร้อย ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อกับบรรดาแขกพวกนั้นที่หมอบล้มอยู่กับพื้นส่งเสียงครางไม่หยุดก่อนหน้า ตอนนี้ก็ยืนอยู่ในโรงเตี๊ยมหน้าตางุนงงสับสน ร่างกายสะอาดสะอ้าน ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บแม้แต่น้อย พวกที่ถูกหมอกโลหิตเน่าเฟะเหล่านั้นราวกับหายวับไปกับสายหมอก ทุกอย่างกลายเป็นสภาพก่อนหงส์แดงจูเชวี่ยมาถึง ท้องถนนแสงแดงสาดส่อง คนเดินผ่านไปมาขวักไขว่ ผู้ใดก็ไม่มองมายังโรงเตี๊ยม ราวกับทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น 

 

 

ในโรงเตี๊ยมอยู่ๆ มีเสียงร้องดังประหลาดมากมาย เป็นแขกและเถ้าแก่คนงานโรงเตี๊ยมที่ก่อนหน้าถูกขังไม่อาจออกไปได้ ตอนนี้เห็นทุกอย่างกลับคืนเป็นปกติ พวกเขาไม่กล้าอยู่ในโรงเตี๊ยมต่อ แตกตื่นกันวิ่งออกไปด้านนอกทันที หนีเอาตัวรอดสำคัญกว่า บรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อที่เหลือรู้สึกเหมือนว่าอยู่อีกโลกหนึ่ง สบตากันอึ้งอยู่เป็นนาน ผู้ใดก็พูดไม่ออก 

 

 

อู๋จือฉีกระแอมไอสองที ใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะ ยิ้มกล่าวว่า “รองเจ้าตำหนักพวกเจ้าถูกจับไปแล้ว พวกเจ้ายังไม่ไป? อยู่รอข้าสังหาร?” 

 

 

พวกเขาจึงได้พากันเฮโลแตกตื่นหนีกระจัดกระจาย อวี่ซือเฟิ่งด้านหลังร้องตามไปว่า “ช้าก่อน! พวกเจ้าจะกลับตำหนักหลีเจ๋อหรือ” บรรดาศิษย์พยักหน้าเงียบ อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอีกว่า “กลับไปแล้วจะรายงานอย่างไร” ทุกคนต่างเงียบงัน ห่วงฟ้าเทียนจวินถูกทำลายแล้ว รองเจ้าตำหนักยังเป็นคนเช่นนั้น…การคงอยู่ของตำหนักหลีเจ๋อก็เพื่อห่วงฟ้าเทียนจวิน มันแตกไปแล้ว การคงอยู่ของพวกเขายังมีความหมายใด จะไปรายงานเรื่องนี้กับเจ้าตำหนักใหญ่อย่างไรให้กระจ่าง 

 

 

“กลับไปด้วยกัน” อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ตอนนี้เจ้าตำหนักใหญ่ถูกรองเจ้าตำหนักทำร้าย เป็นตายไม่รู้ ข้ากลับไปกับพวกเจ้าเพื่อจัดการเรื่องนี้” 

 

 

เขามีสถานะสิบสองก้านปีก เดิมทุกคนในตำหนักหลีเจ๋อต่างเคารพเขา ยามนี้เป็นช่วงเวลามังกรไร้หัว เละเทะเป็นโจ๊กไปหมด เขากล่าวออกมาได้ผลมาก บรรดาศิษย์พากันพยักหน้าตอบรับ อวี่ซือเฟิ่งหันหลังวางเสวียนจีลงบนเก้าอี้เบาๆ ลูบไล้ใบหน้านางครู่หนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “จิ้งจอกม่วง อู๋จือฉี พี่หลิ่วกับเสวียนจีฝากพวกเจ้าดูแล ข้าไปตำหนักหลีเจ๋อสักครั้ง จะรีบกลับมา” 

 

 

อู๋จือฉีกำลังจะกล่าว อยู่ๆ เหมือนรู้สึกอะไรได้ เงยหน้ากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เงียบ! ไม่ถูกต้อง! ยังมีบางสิ่งอยู่!” ทันทีที่กล่าวจบ ทุกคนได้ยินกลางท้องฟ้ามีคนส่งเสียงหัวเราะเยียบเย็น ราวกับเสียงสตรี อู๋จือฉีพลันกระโดดขึ้นไปใช้ขอสมุทรเช่อไห่จะเกี่ยวไปทันที จิ้งจอกม่วงร้อนใจกล่าวว่า “อย่า! มันจะเกี่ยวโรงเตี๊ยมพัง ไม่มีหงส์แดงจูเชวี่ยมาซ่อมให้แล้วนะ!” 

 

 

เขาพลันหยุดเคลื่อนไหว ลังเลแค่พริบตาเท่านั้น กลางท้องฟ้าอยู่ๆ มีกรงเล็บสีเขียวขนาดราวมือคนโผล่ออกมา กรงเล็บแหลมคมมีเกล็ดสีเขียวปกคลุมเต็ม กรงเล็บนั้นมาเร็วราวสายฟ้าควักลงหน้าผากหลิ่วอี้ฮวน เขากำลังสลบอยู่ พลันเจ็บปวดร้องโหยหวนดัง ดิ้นรนถีบเท้าไปมา เลือดสดพุ่งออกจากหน้าผากเขา 

 

 

ดวงตาสวรรค์บนหน้าผากเขาถึงกับถูกกรงเล็บนั่นควักเอาไปอย่างนั้น! 

 

 

อู๋จือฉีกระโดดขึ้นไปราวสามสี่ฉื่อ กางห้านิ้วราวกรงเล็บจะคว้ากรงเล็บเขียวนั่นไว้ ไม่ทันระวังอยู่ๆ ก็หายไปตรงหน้า เหลือแต่เลือดหลิ่วอี้ฮวนสองสามหยดกระเด็นใส่ใบหน้าเขา อู๋จือฉีพลันได้ยินเสียงลมด้านหลัง ได้สติยกมือกันไว้ หลังมือร้อนผ่าว ราวกับถูกอาวุธแหลมคมกรีด เจ็บจนเขาสะดุ้งตกใจ ตีลังกาโดดกลับลงไปทันที หันกลับไปมองอีกที กรงเล็บเขียวนั่นค่อยๆ หายวับไปกลางท้องฟ้า! 

 

 

มือเขามีเลือดไหลย้อย บาดแผลน่าจะราวครึ่งฉื่อ ลึกจนเห็นกระดูก อู๋จือฉีโมโหมาก สบถด่าดุดันว่า “จัดการมารดาเจ้าสิ! พวกมังกรเขียว นังพวกนั้นหรือ?! หญิงอัปลักษณ์มีกรงเล็บไว้จิกอะไรวะ? ระวังข้าจะสับกรงเล็บเจ้าเสีย!” 

 

 

ท้องฟ้ามีเสียงสตรีเยียบเย็นราวน้ำค้างแข็ง “ราชันสวรรค์มีบัญชา นำเทพศาสตราดวงตาสวรรค์กลับ ภารกิจสำเร็จ ข้ากลับแล้ว!” ในน้ำเสียงแฝงเจตนาเยาะเย้ยอย่างไม่เห็นเขาในสายตา อู๋จือฉีโมโหจนสีหน้าเขียวคล้ำ แต่อยู่ในโรงเตี๊ยม เขาไม่อาจใช้ขอสมุทรเช่อไห่ตามใจ ไม่อย่างนั้นคนในหมู่บ้านคงได้ตายกันหมด โมโหไปก็ได้แต่ไปลงกับโต๊ะเก้าอี้ที่ไร้ความผิด ปึงปังๆ ดังหลายเสียง โต๊ะเก้าอี้ในห้องโถงพริบตาถูกเขาฟาดแหลกละเอียด 

 

 

สีหน้าหลิ่วอี้ฮวนซีดขาว ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด หายใจรวยริน ดูท่าน่าจะไม่รอดแล้ว อวี่ซือเฟิ่งรีบควักยาออกมาโรยไปบนปากแผลที่หน้าผากเขา แต่เลือดไหลมากเกินไป มีเลือดพุ่งออกมาไม่หยุดราวกับน้ำพุ ผงยาถูกชะล้างทิ้งไปไม่น้อย เขาได้แต่ร้อนใจราวไฟแผดเผา น้ำเสียงสั่นร้องดังขึ้นว่า “พี่ใหญ่!” พลางใช้มือกดปากแผลไว้เต็มแรง ขอบตาร้อนผ่าวไปหมด 

 

 

อู๋จือฉีนั่งยองดูอาการเขา สีหน้าหนักใจ ลูบคางถอนใจกล่าวว่า “อืม ข้าสะเพร่าเอง! มังกรเขียวเป็นเทพที่ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมมากที่สุด ก่อนหน้าที่หน้าผากเขามีเลือดไหล ก็ย่อมต้องเป็นนางใช้เล่ห์เพทุบาย ข้าถึงกับคิดไม่ถึง!” เขาเห็นสีหน้าอวี่ซือเฟิ่งซีดเผือด น้ำตาคลอเบ้า แต่ฝืนทนไม่ให้ไหลออกมา ในใจก็เศร้า อยู่ๆ นึกถึงอะไรขึ้นมาได้ หันไปลูบที่พื้นหาอยู่พักหนึ่ง 

 

 

จิ้งจอกม่วงเข้าไปใกล้ กระซิบเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ รีบหาวิธีสิ! ยามนี้แล้ว ยังมัวมาเล่นอะไร” 

 

 

อู๋จือฉีไม่สนนาง คลำหาที่พื้นอีกเป็นนานก็ได้อะไรมาชิ้นหนึ่ง ค่อยๆ เก็บกองใส่เสื้อ รวบยื่นให้อวี่ซือเฟิ่ง “เอ้า อย่าร้องไห้ รีบหาอะไรห่อเศษนี่แล้ววางบนร่างเขา อีกครู่หนึ่งเลือดก็น่าจะหยุด” 

 

 

นั่นเป็นเศษสีขาว ไม่ทองไม่หยก ก็ไม่รู้ทำจากอะไร เป็นห่วงฟ้าเทียนจวินที่อู๋จือฉีบิดแตกไปก่อนหน้า ตอนเทพศาสตราคงรูปอยู่ก็ยังส่องประกาย พอเป็นเสี่ยงแล้วก็สูญเสียแสงนั่นไปสิ้น แต่เศษพวกนั้นในมืออวี่ซือเฟิ่งเหมือนมีพลังบางอย่างที่ไม่รู้คืออะไรแฝงอยู่ พริบตานั้นเอง เขารู้สึกถึงพลังปีศาจในร่างเพิ่มทวีขึ้น ถึงกับเพิ่มมากกว่าก่อนหน้าหลายเท่า 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งแอบตกใจ อยู่ๆ พลันไม่กล้ารอช้า ฉีกแขนเสื้อห่อเศษนั่นไว้ วางไปอกหลิ่วอี้ฮวน ดังคาด ผ่านไปครู่หนึ่ง เลือดจากแผลบนหน้าผากเขาก็หยุดไหล สีหน้าไม่ได้ดูย่ำแย่เหมือนก่อนหน้า เนื้อส่วนที่ดวงตาสวรรค์ถูกควักไปก็เป็นหลุมโลหิตลึก ดูแล้วอัปลักษณ์มาก 

 

 

เขาโรยยาลงไป ใช้ผ้าพันแผลพันศีรษะเขาไว้แน่นหนา ได้ยินเสียงหลิ่วอี้ฮวนครางเบาๆ กล่าวติดๆ ขัดๆ ว่า “ข้า…ตายแล้ว?” อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พี่ใหญ่ ท่านยังไม่ตาย แค่บาดเจ็บ นอนดีๆ อย่าขยับ อีกเดี๋ยวก็หายแล้ว” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนกล่าวเบาๆ ว่า “ดวงตาสวรรค์…ไม่มีดวงตาสวรรค์แล้ว…ใช่ไหม” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า อู๋จือฉีขมวดคิ้วกล่าวว่า “เหลือชีวิตไว้ได้นับว่าดีแล้วน่า! ยังสนใจดวงตาสวรรค์อะไรอีก! แม้แต่พลังปีศาจเจ้าก็ไม่มีแล้ว ยังคิดจะสู้กับแดนสวรรค์?” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่…ไม่มีแล้ว ไม่มีแล้วก็ดี ปมในใจข้า…เป็นข้าที่ปล่อยวางไม่ได้เอง…ชาติหน้าของนาง…จะเกี่ยว…เกี่ยวอะไรกับข้า?” 

 

 

กล่าวจบ ก็คอตกนิ่งเงียบไป