อวี่ซือเฟิ่งตกใจจนแตกตื่น เอ่ยเสียงสั่น “พี่ใหญ่? พี่ใหญ่!” ใช้มืออังจมูกเขา ยังดีที่ยังมีลมหายใจ หายใจนิ่งเป็นจังหวะ ที่แท้เขาแค่หลับไป เขาผ่อนลมหายใจ ร่างกายเบาหวิวว่างเปล่า มือไม้หมดแรง
อู๋จือฉีเอาเศษที่เหลืออีกเกินครึ่งในอกเสื้อส่งให้เขาหมด กล่าวว่า “ของนี่แม้ว่าแตกแล้ว แต่ราวกับยังมีประสิทธิภาพอยู่ ไม่มีประโยชน์กับข้า เจ้าเอาไปสิ วันหน้าไปเขาคุนหลุน ด้วยพลังวัตรเจ้าตอนนี้ ไม่พอ”
อวี่ซือเฟิ่งไม่ปฏิเสธ ฉีกแขนเสื้อห่อเศษพวกนั้นเอาไว้ทั้งหมด แบ่งออกเป็นสองส่วน สอดไว้ในหน้าอก พลันรู้สึกเพียงแค่ร่างกายเต็มไปด้วยพลังที่เต็มเปี่ยมไม่สิ้นสุด ความรู้สึกนี้ไม่อาจบรรยายได้ด้วยวาจาใดจริงๆ หันกลับไปเห็นบรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อกำลังนิ่งเงียบมองตนเอง เขายิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “ของนี่เป็นของตำหนักหลีเจ๋อ ยืมข้าใช้สักระยะหนึ่งก่อน พอกลับมาก็จะแบ่งให้พวกเจ้า”
ผู้ใดจะรู้ว่าบรรดาศิษย์พากันส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่! อวี่…ท่านเกรงใจไปแล้ว นี่คือเทพศาสตรา พวกเราไม่ได้มีวาสนาเซียน ไม่กล้ารับไว้ ท่านเก็บไว้ดีแล้ว!” ที่แท้พวกเขาเห็นว่าเพื่อของสิ่งนี้ รองเจ้าตำหนักถึงกับบ้าคลั่งเสียสติ สุดท้ายยังถูกขุนพลเทพแดนสวรรค์จับไป ก็อดหนาวเหน็บในใจไม่ได้ หากไม่มีใจคิดถึงเจ้าตำหนักใหญ่ เกรงว่าพวกเขาหนีกระจัดกระจายกันไปนานแล้ว
อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจ ลุกขึ้นกล่าวว่า “ข้าไปแล้ว ฝากพวกเจ้าดูแลเสวียนจีกับพี่หลิ่ว”
อู๋จือฉีพลันกล่าวว่า “ช้าก่อน ต้องหาคนหนึ่งไปด้วย”
เขาเดินเข้าไปโอบไหล่อวี่ซือเฟิ่ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “มังกรเขียวนั่นเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่แน่อาจมาทำร้ายตอนไหนก็ได้ เจ้าอย่าลืมว่าตัวเองก็เป็นคนที่แดนสวรรค์จับจ้อง ไปคนเดียวอันตรายมาก หรือว่าพวกเราไปด้วยกัน ทิ้งเทพสงครามไว้ หรือเจ้าไปกับเทพสงคราม อย่างไรก็ต่อสู้กับพวกแดนสวรรค์ได้”
อวี่ซือเฟิ่งหันกลับไปมองเห็นเสวียนจียังสลบไม่ขยับเขยื้อนอยู่ที่พื้น จึงส่ายหน้ากล่าวว่า “นาง…ยังไม่รู้จะฟื้นขึ้นมาตอนไหนเลย”
อู๋จือฉียิ้มกล่าวว่า “ใจร้อนอะไร ดูข้านะ” เขาควักเอาขวดเล็กในอกออกมาพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย ดึงจุกออกสะบัดไปทางจมูกเสวียนจี ตามมาด้วยปิดจมูกตัวเองแน่น เผ่นหนีไปไกลมาก
เสวียนจีพลันขมวดคิ้วแน่น ตามมาด้วยจามติดกันหลายสิบที น้ำหูน้ำตาไหลฟื้นขึ้นมา ขยี้จมูกลุกขึ้นงุนงงสับสน มองไปรอบๆ สุดท้ายไปหยุดที่ใบหน้าอวี่ซือเฟิ่ง “เกิดอะไรขึ้น?” จมูกนางยังคงอู้อี้ พอถามขึ้นก็อดจามอีกหลายทีไม่ได้ ได้แต่ใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดจมูกไว้แน่น
จิ้งจอกม่วงเห็นนางฟื้นขึ้นมา ก็รีบเข้าไปประคองนาง เล่าเรื่องหลังจากที่นางสลบไปไม่หยุด เสวียนจีขมวดคิ้วอุดจมูกกล่าวเบาๆ ว่า “อู๋จือฉี เจ้าเอาอะไรให้ข้าดม เหม็นมาก! จมูกข้าไม่ได้กลิ่นอะไรแล้ว!”
อู๋จือฉีหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “ของเล่นนี้ชื่อว่าเกล็ดมังกรเขียว ก็นังหญิงอัปลักษณ์มังกรเขียวตอนลอกหนังทิ้งเกล็ดเก่าไว้นั่นแหละ เหม็นมากใช่ไหมเล่า หน้าตาอัปลักษณ์ก็แล้วไป ตัวยังเหม็นอีก เรียกนังหญิงอัปลักษณ์นับว่านางได้กำไรแล้ว!”
เสวียนจีถลึงตาใส่เขา ก้มลงมองหลิ่วอี้ฮวน หน้าผากเขาเลือดไม่ไหลแล้ว สีหน้าก็ค่อยๆ มีสีแดงระเรื่อ น่าจะไม่เป็นไรแล้ว นางน้ำมูกไหลและยังจามอีกครั้งก่อนจะกล่าวว่า “ไปกันเถอะ ซือเฟิ่ง ข้าเป็นเพื่อนเจ้าไปตำหนักหลีเจ๋อ” กล่าวจบก็เดินไปหาเขา พอเข้าใกล้เขา รู้สึกเพียงแค่ความรู้สึกก่อนหน้าที่คุ้นเคยกลับคืนมาอีกครั้ง นางตะลึงงันเล็กน้อย ท่าทางเหม่อลอย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “แปลกมาก ทำไมข้ารู้สึกคุ้นเคยกับห่วงฟ้าขอสมุทรเช่นนี้”
อวี่ซือเฟิ่งควักเศษชิ้นหนึ่งส่งให้นาง เสวียนจีใช้มือคลึงเศษชิ้นสีหยกขาวนั่นเล่น คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก นึกถึงเสียงที่ดังก้องในหูนางก่อนสลบไปเหล่านั้น นางก็ยิ่งสับสน อู๋จือฉียิ้มกล่าวว่า “เจ้าอยากขอดูขอสมุทรเช่อไห่?” เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “ได้ไหม ยืมข้าดูหน่อยแล้วก็คืนให้เจ้า”
อู๋จือฉีไม่กล่าวสักคำ ควักขอสมุทรเช่อไห่ออกจากใต้วงแขนซ้ายส่งให้นาง นั่นเป็นอาวุธที่ยาวราวความสูงคนกว่า สีเงินส่องประกายตั้งแต่บนจรดล่าง ขอราวกับประกอบขึ้นจากกระดูก ดูอย่างไรก็เหมือนสันหลังคน นางใช้มือลูบเบาๆ ในใจวุ่นวาย พลันไม่รู้ควรกล่าวอันใด
อู๋จือฉีกล่าวว่า “เจ้าเองก็รู้สึกเหมือนกระดูกใช่ไหม”
นางพยักหน้า พลันส่ายหน้ากล่าวว่า “เทพศาสตราเป็นไปได้อย่างไรที่…แปลกมาก” นางส่งขอสมุทรเช่อไห่คืนกลับไป ตั้งสมาธิกล่าวว่า “เอาละ ไปกันเถอะ!”
****
นี่เป็นครั้งที่สามที่เสวียนจีมาตำหนักหลีเจ๋อ สองครั้งแรกล้วนมาหาอวี่ซือเฟิ่ง คิดไม่ถึงมาครั้งที่สาม เพื่อมาช่วยคน ตำหนักหลีเจ๋อยังคงเหมือนเมื่อก่อน ตำหนักใหญ่โตเรียงกันดูเรียบง่าย ที่ไม่เหมือนกับปกติทั่วไปก็คือทุกคนเดินอยู่ในตำหนักเป็นนาน ไม่พบคนสักคน เขตต้องห้ามตำหนักหลีเจ๋อตอนนี้ถึงกับไม่มีคนสักคน
บรรดาศิษย์ค้นหาทั่วทั้งตำหนักซีโต้วกงและจินกุ้ยกง ก็หาบรรดาอาวุโสดูแลตำหนักไม่พบสักคน ทำให้บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ในตำหนักแตกตื่น พากันซักออกมาถาม อวี่ซือเฟิ่งถามว่า “ทำไมไม่มีผู้ใดดูแลประตูใหญ่ บรรดาผู้อาวุโสล่ะ เจ้าตำหนักใหญ่ล่ะ”
บรรดาศิษย์กล่าวอย่างแปลกใจว่า “รองเจ้าตำหนักว่าระยะนี้มีเหตุเปลี่ยนแปลง ให้พวกเราอยู่แต่ในห้องไม่อนุญาตให้ออกมา พวกผู้อาวุโสไม่อยู่ในห้องหรือ เจ้าตำหนักใหญ่ไม่ได้กักตนบำเพ็ญเพียรหรือ ทำไมเจ้า…ทำไมพวกเจ้า…?”
อวี่ซือเฟิ่งใจร้อนดังไฟ ไม่มีเวลามาอธิบายกับพวกเขา ยกมือขึ้นโบก ตนเองวิ่งตรงไปยังคุกใต้ดิน ทิ้งให้บรรดาศิษย์ที่ตามมาอธิบายกับคนในตำหนัก ย่อมทำให้ทุกคนพากันตกใจและโมโห
คุกใต้ดินตำหนักหลีเจ๋อสร้างอยู่ใต้หอตันหยา พอเข้าไปก็ได้กลิ่นอับลอยมา เสวียนจีตามอยู่ด้านหลังอวี่ซือเฟิ่ง อุดจมูกกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นไปได้ไหมที่พวกเขาล้วนถูกรองเจ้าตำหนักขังไว้ในคุกใต้ดิน” อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ชู่ว์ เงียบก่อน! ข้างหน้าเหมือนมีเสียง!”
ทั้งสองเงียบลงพร้อมกัน ได้ยินเสียงด่าทอดังไม่หยุดแว่วมาจากที่ไกลๆ ในคุกใต้ดิน ฟังเสียงนั่น ถึงกับเป็นบรรดาอาวุโส พวกเขาถูกรองเจ้าตำหนักใช้อุบายนำมาขังในคุกใต้ดินดังคาด อาวุโสหลัวด่าได้หยาบคายรุนแรงสุด แทบจะด่าจนรองเจ้าตำหนักไม่เหลือค่าสักแดง ถึงกับไม่มีคำด่าซ้ำสักคำ เสวียนจีฟังแล้วก็รู้สึกอยากขำมาก อดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้ อวี่ซือเฟิ่งรีบยกมืออุดปากนางไว้ ปรากฏก็ยังสายไป ในนั้นได้ยินเสียงคนหัวเราะก็ยิ่งด่ารุนแรงยิ่งขึ้น ไม่ว่าลูกเต่า ลูกแกะ ลูกกระต่าย ล้วนเล็กน้อยไปเลย
อวี่ซือเฟิ่งจูงมือนางย่ำไปบนพื้นน้ำที่ทั้งดำและเน่าเหม็น ทางแคบและลึก สองข้างทางมีราวเหล็กกั้น ตามกำแพงยังมีแสงไฟวิบไหว หลังราวเหล็กส่วนใหญ่เป็นกองกระดูกแห้งกรัง กลิ่นคุกใต้ดินเหม็นอย่างที่สุด เสวียนจีกระซิบถามว่า “พวกเจ้าขังนักโทษไว้มากมาย? ล้วนทำผิดอะไร”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ล้วนเป็นครุฑที่คิดทรยศหลบหนีไปจากตำหนักหลีเจ๋อ ทั้งหมดถูกอดีตเจ้าตำหนักจับกลับมา อดีตเจ้าตำหนักเป็นเจ้าตำหนักที่เข้มงวดที่สุด ยอมสังหารพวกเขาทิ้ง ก็ไม่ยอมให้พวกเขาเป็นอิสระ”
ทั้งสองเดินมาครู่หนึ่ง ก็มาสุดทางอุโมงค์ มีประตูบานหนึ่ง ที่นี่พื้นที่สูงขึ้นมากว่าที่อื่น กองน้ำเน่าบนพื้นไม่ท่วมที่นี่ อวี่ซือเฟิ่งเปิดประตูเหล็ก กล่าวเบาๆ ว่า “หลังประตูเหล็กนี่ก็ล้วนเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ ตอนแรกข้าก็ได้พบพี่หลิ่วในคุกที่นี่”
เขาผลักประตูเหล็ก เสียงแอ๊ดดังขึ้น เสียงก่นด่ายิ่งดังกระจ่างชัดสะท้อนดังในคุกใต้เดิน ดังจนน่าปวดหัว อวี่ซือเฟิ่งก้าวเข้าไป ดังคาด หลังรั้วเหล็กสองด้านล้วนมีอาวุโสถูกขังสามสี่คน แต่ละคนล้วนถูกล่ามด้วยโซ่ไว้แน่นหนาจนขยับไม่ได้ เห็นคนที่มาคืออวี่ซือเฟิ่ง พวกเขาก็อึ้งไปเล็กน้อย พลันด่าไม่ออก
อวี่ซือเฟิ่งร้อนใจกล่าวว่า “อาจารย์ข้าล่ะ”
อาวุโสผู้หนึ่งกระแทกใส่ “อาจารย์เจ้า?! สองเจ้าตำหนักย่อมเป็นพวกคนชั่วสมคบคิดกัน! เพื่อฮุบห่วงฟ้าเทียนจวิน วางยาพวกเราจับมาขังคุกนี่! ตำหนักหลีเจ๋อถึงกับมีเดรัจฉานเช่นนี้ได้! ช่างทำลายเกียรติยศศักดิ์ศรีบรรพชนเสียจริง!”
อวี่ซือเฟิ่งเห็นพวกเขากำลังโมโห ก็ไม่คิดอธิบาย หากวิ่งเข้าไปในคุกใต้ดินด้านใน พลางพลิกฝ่ามือโยนลูกกุญแจให้เสวียนจี กล่าวว่า “เสวียนจี เจ้าช่วยข้าปล่อยบรรดาผู้อาวุโอออกไป! เล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟัง!”
เสวียนจีรับปากทันที รีบเปิดประตูคุก ปลดโซ่ให้บรรดาผู้อาวุโส พลางเล่าเรื่องรองเจ้าตำหนักแย่งชิงห่วงฟ้าเทียนจวินอย่างละเอียด นางฝีปากไม่ค่อยดี แต่เล่าทีละเรื่องตรงไปตรงมา ไม่มีความเท็จแม้แต่น้อย จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ สุดท้ายกล่าวอีกว่า “รองเจ้าตำหนักผู้นั้นน่าจะเป็นหยวนหลางกลับชาติมาเกิด ข้าเห็นเขาเหมือนไม่มีความสามารถอะไร ทำไมจับอาวุโสมาขังคุกใต้ดินที่นี่ได้”
อาวุโสหลัวถอนหายใจยาวกล่าวว่า “คิดไม่ถึง! เขาถึงกับจิตใจราวหมาป่า! บรรพชน…ที่แท้ เขา…เฮ้อ…” ทุกคนต่างเงียบกริบ ก่อนจะอธิบายต่อว่า “วันนั้นอวี่ซือเฟิ่งไปจากตำหนักหลีเจ๋อ กล่าวว่าไปแดนปรภพเอาห่วงฟ้าเทียนจวิน เจ้าตำหนักใหญ่ก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีก รองเจ้าตำหนักบอกว่าเขากักตนบำเพ็ญเพียร เขาทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน ผู้ใดจะคิดว่ารองเจ้าตำหนักถึงกับทำร้ายเขา กักตัวครั้งนี้ก็สองปี สองปีมานี้ไม่เคยได้เห็นเจ้าตำหนักใหญ่ ย่อมมีคนสงสัย แต่รองเจ้าตำหนักแต่ไรมาไม่เคยอธิบาย พอดีวันนั้นเขาหน้าตาดีใจ เรียกทุกคนในตำหนักหลีเจ๋อมารวมกัน บอกว่าอู๋จือฉีถูกช่วยออกมาแล้ว การขอคืนห่วงฟ้าเทียนจวินก็ใกล้เข้ามาแล้ว เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ ผู้ใดยังจะสนใจเรื่องเจ้าตำหนักใหญ่ ดังนั้นในคืนนั้นรองเจ้าตำหนักจัดงานเลี้ยงฉลองการได้ห่วงฟ้าเทียนจวินคืนมาอย่างราบรื่นเป็นการล่วงหน้า ไหนเลยจะรู้ว่าเขาถึงกับวางยาในอาหารและสุรา! ดื่มไปสามจอก พวกเราก็สลบไปหมด พอตื่นมาก็ถูกขังในคุกนี้แล้ว”
ทุกคนนึกถึงตำหนักหลีเจ๋อก่อตั้งมาเกือบพันปี พัฒนามาถึงตอนนี้ก็เริ่มมีชื่อเสียง ผู้ใดจะนึกว่าเพียงแค่เพราะความทะยานอยากของคนคนเดียว ชื่อเสียงพันปีสั่งสมมา ช่างน่าขันและน่าเศร้าจริง เรื่องใหญ่ของตำหนักถูกพวกเขาตั้งเป็นเป้าหมายสวยหรู สุดท้ายก็เป็นเรื่องน่าขันอย่างที่สุด จะไม่ให้สลดหมดสิ้นความหวังได้อย่างไร
อาวุโสหลัวถามว่า “เช่นนั้นเจ้าตำหนักใหญ่ไม่รู้เรื่องนี้หรือ เขาก็ถูกขังในคุกใต้ดิน?”
เสวียนจีพยักหน้าช้าๆ ไม่แน่ใจ “ไม่แน่นะ อาจถูกขังมาสองปีแล้ว เขาดื่มยาถอนคำสาปคู่รัก ไม่เพียงสูญสิ้นความทรงจำก่อนหน้า ยังไร้สิ้นพลังปีศาจ ข้าได้ยินหยวนหลางพูด ไม่รู้จริงไหม”
อาวุโสหลัวตกใจกล่าวว่า “หากเขาสูญสิ้นพลังปีศาจ ไม่ใช่ว่าไม่ต่างอันใดกับมนุษย์ธรรมดาหรือ คุกใต้ดินนี่ไอพิษมาก สัตว์พิษก็มาก เกรงว่าเขาคงไม่รอด! เร็ว! พวกเราร่วมกันค้นหา!”