อวี่ซือเฟิ่งร้อนใจลงไปค้นหาเจ้าตำหนักใหญ่ในคุกด้านใน เดินมาถึงห้องสุดท้ายก็ไม่เจอเขา คุกใต้ดินตำหนักหลีเจ๋อแม้ว่าใหญ่แต่ไม่มีกลไกอันใด เขาหาทั่วอีกรอบก็หาไม่พบ ได้แต่ตัดใจกลับ เห็นเสวียนจีกับพวกอาวุโสเดินตรงเข้ามา
อาวุโสหลัวโพล่งถามขึ้น “หาเจ้าตำหนักใหญ่เจอไหม” เขาส่ายหน้ากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ผู้อาวุโสทั้งหลาย ลำบากทุกท่านแล้ว คิดไม่ถึงว่ารองเจ้าตำหนักถึงกับซ่อนความลับยิ่งใหญ่ไว้เช่นนี้”
ทุกคนพากันทอดถอนใจ แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลามาทอดถอนใจ ห่วงแต่เจ้าตำหนักใหญ่ ไม่รู้ถูกหยวนหลางจัดการเช่นไรแล้ว อาวุโสผู้หนึ่งเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ กล่าวว่า “ไม่สู้พวกเราไปห้องนอนรองเจ้าตำหนักดู ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนมีศิษย์แอบเข้าไปในห้องนอนรองเจ้าตำหนัก ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น พอออกมาก็ร้องโวยวาย ปรากฏถูกรองเจ้าตำหนักฟันตายใต้คมกระบี่เดียว บอกว่าเขาทำผิด ไม่แน่ว่าเจ้าตำหนักใหญ่อาจถูกเขาขังอยู่ในห้องนอน”
อวี่ซือเฟิ่งไม่พูดอันใด หันหลังวิ่งออกจากคุกใต้ดินไปทันที บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายก็ตามไป พอออกไปได้ก็เห็นศิษย์อายุน้อยมากมายมาออกันอยู่หน้าประตู เห็นบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายไม่เป็นอะไร บรรดาศิษย์ก็ดีใจจนน้ำตาร่วง พูดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจทำอะไรไม่ได้ เรื่องบนโลกนี้ที่ยากลำบากที่สุดไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ความเชื่อมั่นศรัทธาของตนเองเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะของผู้อื่น เรื่องนี้สะเทือนต่อตำหนักหลีเจ๋อมาก เสวียนจีนึกภาพไม่ออกเลย พวกเขาเสียใจเช่นนี้ คิดว่าคงไม่อยากให้คนนอกได้เห็นตนเองตอนนี้ นางได้แต่ยืนมองไกลๆ กอดกระบี่เปิงอวี้รออวี่ซือเฟิ่งหาเจ้าตำหนักใหญ่ให้พบ
ห้องนอนรองเจ้าตำหนักอยู่ชั้นในสุดของตำหนักซีโต้วกง อวี่ซือเฟิ่งผลักประตูเข้าไป แม้ว่าเขาโตมาในตำหนักหลีเจ๋อ แต่ไม่เคยเข้าห้องรองเจ้าตำหนัก คนผู้นี้ทั้งชีวิตมีแต่ความลึกลับทำตัวประหลาด ไม่เข้าใกล้ผู้อื่น ห้องเขาก็แปลกประหลาดมากดังคาด ผลักประตูเข้าไปก็จะเห็นสี่ด้านกำแพงไม่มีอะไรสักอย่าง มีแต่หน้ากากแขวนเต็มไปหมด ต่างกับหน้ากากอสุราตำหนักหลีเจ๋อ หน้ากากพวกนี้ใหญ่กว่าหน่อย มีร้องไห้ มียิ้ม มีโกรธ มีความสุข ไม่ว่าโครงไหนก็ล้วนน่าแปลกที่เหมือนกับคนอย่างมาก
เขาค่อยๆ เดินเข้าไปคว้าหน้ากากหนึ่งลงมาปัดฝุ่นออก หน้ากากนี้แกะสลักได้ราวกับมีชีวิต สองตาส่องประกาย ดูมีจิตวิญญาณ มุมปากดูจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม เห็นชัดว่าเหมือนกับอู๋จือฉี หน้ากากเต็มห้อง ไม่ว่าร้องไห้หรือยิ้ม ล้วนเหมือนกับอู๋จือฉี!
อวี่ซือเฟิ่งแอบตกตะลึง คลึงหน้ากากไปมา เดินไปรอบๆ ห้องสองสามก้าว พลันได้ยินมุมกำแพงหนึ่งมีเสียงดัง ตึกๆ ไม่ดังมาก เขาตกใจเล็กน้อย รีบหันกลับไปเห็นมุมกำแพงหนึ่งมีเตียงมุ้งสีเขียวขนาดใหญ่หลังหนึ่ง เสียงมาจากเตียง ฟังแล้วเหมือนมีคนพยายามใช้แรงเคาะแผ่นไม้เตียงด้านล่าง
เขารีบก้าวเข้าไปยกแผ่นเตียงขึ้น กลิ่นเน่าเหม็นลอยคลุ้งออกมา ใต้แผ่นเตียงมีที่ว่างแคบและเล็กมาก อยู่ได้แค่คนเดียวในท่าคุดคู้ขดตัว และตอนนี้ในนี้ก็มีคนอยู่คนหนึ่งนั่งคู้ตัวอยู่ดังคาด เสื้อผ้าบนร่างมองไม่ออกแล้วว่าสีอะไร กลิ่นเหม็นเน่าบนร่างเขาลอยตลบออกมาทำเอาแทบอาเจียน
คนผู้นั้นเห็นแผ่นเตียงเปิดออก แสงสาดแยงตา อยู่ๆ พลันเจ็บปวดจนค่อยๆ หลั่งน้ำตา เขาลองคิดจะยืดตัว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำไม่ได้ อวี่ซือเฟิ่งมองเขาอย่างตื่นตกใจ อยู่ๆ ราวกับถูกเข็มทิ่มแทงไปชั่วขณะ ไม่สนใจว่าจะสกปรกเช่นไร หากเอื้อมมือไปปัดผมเผ้าที่กระจุกเป็นก้อนของเขาออก ใต้ผมนั้นเป็นผิวหน้าที่มองไม่ออกว่าสีอะไร หนวดเครารุงรัง เขาสูดหายใจเข้าอย่างแรงก่อนจะเปล่งเสียงแหบพร่าออกจากลำคอ “…ท่านพ่อ?!”
ร่างกายหลังค่อมนั่นทั้งสกปรกทั้งเหม็นเน่า ถึงกับเป็นเจ้าตำหนักใหญ่! ดูท่าเขาอยู่ในที่บ้าๆ นี่มานานถึงสองปีเต็มจริงๆ! อวี่ซือเฟิ่งรีบอุ้มเขาออกมาวางบนเตียง ค่อยๆ ตบใบหน้าเบาๆ สะอื้นไห้กล่าวว่า “ท่านพ่อ! ท่านอย่างไรบ้าง?!” เจ้าตำหนักใหญ่ตัวสั่นเทา เปลือกตาระริก ปากพูดอะไรได้ยินไม่กระจ่างชัด ไม่ว่าอย่างไรก็ฟังไม่เข้าใจ อวี่ซือเฟิ่งควักเอาเศษเสี้ยวห่วงฟ้าเทียนจวินออกมาวางบนหน้าอกเขา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นอย่างไร ดีขึ้นไหม”
เจ้าตำหนักใหญ่หอบหายใจสองสามที ราวกับในที่สุดก็หายใจออก ร่างผอมแห้งกุมข้อมืออวี่ซือเฟิ่งไว้แน่น ริมฝีปากขยับเล็กน้อย พึมพำกล่าวว่า “เจ้า…เจ้าคือใคร รอง…รองเจ้าตำหนักล่ะ”
อวี่ซือเฟิ่งจึงนึกได้ว่าเขาดื่มยาถอนคำสาปคู่รัก ลืมเรื่องทั้งหมดของอวี๋เฮ่าเฟิ่งกับตนเองไปสิ้น เขารีบแก้คำพูดกล่าวว่า “อาจารย์ ข้าคือศิษย์ท่าน รองเจ้าตำหนักเขา…พูดไปแล้วก็ยาว ท่านพักก่อนสักครู่ ข้าจะรีบตรวจชีพจรรักษาให้ท่าน”
เจ้าตำหนักใหญ่กำข้อมือเขาไว้แน่น กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ช้าก่อน…เจ้า เจ้าชื่ออะไร”
อวี่ซือเฟิ่งสะอึกไปครู่หนึ่ง เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ข้าชื่ออวี่ซือเฟิ่ง ท่านน่าจะจำข้าไม่ได้”
เจ้าตำหนักใหญ่ขนตากะพริบสั่นเทา กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่…ชื่อไม่คุ้นเลย…ราวกับ…ข้าราวกับลืมอะไรไป เจ้าชื่อซือเฟิ่ง…ซือเฟิ่ง…อืม…”
เขาอยู่ๆ ลืมตาผึง ในตาเหมือนรู้เหมือนไม่รู้ เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ อวี่ซือเฟิ่งเห็นท่าทางประหลาดของเขา แม้ว่ามีเศษเสี้ยวห่วงฟ้าเทียนจวินวางบนหน้าอก แต่ก็ยังอ่อนกำลังอย่างมาก พลังปีศาจไม่มีแม้สักนิด รองเจ้าตำหนักบอกว่ายาถอนคำสาปคู่รักไม่เพียงทำให้ลืมเรื่องราวอวี๋เฮ่าเฟิ่ง แต่ยังถอนพลังปีศาจเขาด้วย ตอนนั้นน่าจะหลังจากเขาไปแล้ว รองเจ้าตำหนักก็จับเจ้าตำหนักใหญ่ขังทันที เจ้าตำหนักใหญ่สูญเสียพลังปีศาจแล้ว ย่อมไม่อาจต่อต้านขัดขืน ถูกเขาจับมายัดไว้ใต้เตียงนี้ขังไว้มานานถึงสองปี
อย่าว่าแต่พลังปีศาจของเขาหมดสิ้น แม้ว่าเขายังมีพลังปีศาจสิบสองก้านปีก ถูกขังในที่แคบเช่นนี้สองปี แม้เป็นมารปีศาจก็ย่อมทรมานอย่างที่สุด ได้เห็นผู้ยิ่งใหญ่ในวันวานมีสภาพเช่นตอนนี้ อวี่ซือเฟิ่งลอบเจ็บปวดใจ กล่าวอ่อนโยนว่า “คิดไม่ออกก็อย่าคิดเลย มา ข้าจับชีพจรให้ท่าน” กล่าวจบก็ยกข้อมือเขาขึ้น วางสองนิ้วลงไป
เจ้าตำหนักใหญ่นิ่งอึ้งจ้องมองเขา ไม่รู้คิดอะไรอยู่ อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกเพียงแค่ชีพจรเขาระส่ำเดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว ค่อยๆ แผ่วเบาลง เห็นชัดว่ามาถึงขั้นที่ตะเกียงใกล้จะมอดไร้น้ำมันแล้ว เดิมหากเขาถูกขังใต้เตียงต่อไป น่าจะมีชีวิตอีกไม่เกินสองสามเดือนแล้ว แต่ตอนนี้ได้ออกมาพบแสงตะวันอีกครั้ง สำหรับเขากลับเหมือนกระทบกระเทือนรุนแรงอีกครั้ง แม้มีห่วงฟ้าเทียนจวินบนร่าง แต่ไร้ประโยชน์สำหรับเขา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะรู้สึกลำคอตีบตันยากระงับความรู้สึก หากก็ฝืนยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “…ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร ท่านพ่อ ไม่นานจะดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ท่านนึกได้หรือยัง”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”
อวี่ซือเฟิ่งกุมมือเขาแน่น ลำคอตีบตันกล่าวว่า “เรียกท่านว่าท่านพ่อ ท่านคือท่านพ่อข้า”
ในชั่วพริบตาราวกับมีน้ำทะลักออกมาจากดวงตาเจ้าตำหนักใหญ่ไม่หยุด เขาสั่นเทารุนแรงครู่หนึ่ง ดวงตาถลึงจ้องมอง น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “เจ้า…เจ้าคือซือเฟิ่ง! ซือเฟิ่ง!”
เขาตื่นเต้นขึ้นมา มือถึงกับมีแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด กระชากข้อมือเขาไว้ ท่าทางเจ็บปวดอย่างมาก อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้ว น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าคือซือเฟิ่ง ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็นึกออกแล้ว”
เจ้าตำหนักใหญ่หอบหายใจถี่ กล่าวว่า “รองเจ้าตำหนักเขา…เขาอยู่ที่ไหน?!”
“เขาตายแล้ว” อวี่ซือเฟิ่งไม่อยากเล่าความจริงให้เขาฟัง แต่ไรมาเจ้าตำหนักใหญ่มีนิสัยหยิ่งในศักดิ์ศรีตน หากรู้ว่าการดำรงอยู่ของตำหนักหลีเจ๋อก็เพียงเพราะความละโมบของหยวนหลาง คงต้องเสียใจมากแน่ เขาใกล้ตายแล้ว คนเราก่อนตายก็ควรได้รับความเมตตาสักหน่อย
เจ้าตำหนักใหญ่ถอนหายใจยาว สีหน้าค่อยๆ ซีดเผือด กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ตายแล้ว! เจ้าสังหาร?”
อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้าเงียบๆ พลันได้ยินเสียงเอะอะดังจากด้านนอก หลายคนร้องเรียกเจ้าตำหนักใหญ่ ก่อนจะพากันบุกเข้ามา พอเห็นเขานอนตัวขดค่อมท่าทางอนาถบนเตียง บรรดาศิษย์หลายคนได้แต่หลั่งน้ำตา อาวุโสหลัวรีบก้าวเข้ามา ลำคอตีบตันกล่าวว่า “เจ้าตำหนักใหญ่! พวกเรา…เฮ้อ รองเจ้าตำหนักนั่น…เขา…เฮ้อ! พวกเราถึงกับไม่พบให้เร็วกว่านี้!”
เจ้าตำหนักใหญ่หายใจลำบาก เป็นนานจึงได้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่ไหวแล้ว…วันหน้าตำหนักหลีเจ๋อก็มอบให้…ซือเฟิ่งดูแล แม้ว่าเขา…มีสถานะสิบสองก้านปีก แต่อายุยังน้อย…ต้องการผู้อาวุโสทั้งหลายคอยประคอง หากเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ไม่ได้…ก็ให้เขา…ไปจากที่นี่!”
อวี่ซือเฟิ่งตกใจกล่าวว่า “ท่านพ่อ…อาจารย์! ข้าไม่คิด…” วาจากล่าวไม่ทันจบ ก็ถูกสายตาขอร้องของเจ้าตำหนักใหญ่จ้องจนพูดไม่ออก เจ้าตำหนักใหญ่กุมมือเขาไว้พลางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ซือเฟิ่ง ข้าชีวิตนี้ทำอะไรก็ล้วนล้มเหลว เจ้าตำหนักก็ดี พ่อก็ดี…ถึงกับทำให้สตรีที่รักต้องตาย…เจ้าอย่าเลียนแบบข้า เด็กดี เจ้าฉลาดและสุขุมหนักแน่น ตำหนักหลีเจ๋อมอบให้เจ้า…ข้าก็วางใจมาก เพียงแต่…ลำบากเจ้าแล้ว…”
อวี่ซือเฟิ่งน้ำตาไหลพราก รู้สึกเพียงแค่มือเขาค่อยๆ กำแน่น น้ำเสียงค่อยๆ อ่อนลงแผ่วเบาราวกับไกลออกไป “…เรียก…เรียกข้าท่านพ่ออีกสักคำ…” อวี่ซือเฟิ่งลำคอตีบตันจนแทบพูดไม่ออก ก่อนจะกระซิบติดๆ กันว่า “ท่านพ่อ ท่านพ่อ” เสียงสุดท้ายยังไม่ทันจบ รู้สึกเพียงแค่ข้อมือเขาหนักอึ้ง ในที่สุดก็จากไปแล้ว
ด้านหลังมีเสียงร้องไห้ดังระงม ทุกคนพากันคุกเข่าลง ร่ำไห้ระงมดัง อวี่ซือเฟิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นึกถึงชีวิตตนเอง จากนี้ไปคงโดดเดี่ยวเดียวดายบนโลกนี้จริงๆ แล้ว ไร้บิดาไร้มารดา ฉับพลันก็รู้สึกเพียงแค่โลกนี้ได้กันตนเองออกไปอยู่ส่วนนอกแล้ว หายใจแทบจะไม่ออก
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร มีคนกอดเขาไว้แน่น กอดนี้อบอุ่นมาก เขาอดพลิกฝ่ามือกอดตอบไม่ได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านแม่…” เสียงเสวียนจีดังขึ้นเหนือศีรษะ กล่าวเบาๆ ว่า “ซือเฟิ่ง เจ้าดีขึ้นแล้วหรือยัง” เขาอึ้งไป ยกมือปาดน้ำตาบนใบหน้า เงยหน้าขึ้นมอง ดังคาด นางกอดเขาอยู่ คิดถึงว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้สติถึงกับเรียกนางว่าท่านแม่ เขาก็อดหน้าแดงไม่ได้ อึกอักกล่าวว่า “ข้า…ไม่เป็นไร เมื่อครู่เจ้า…ไม่ได้ยิน…”
เสวียนจีกล่าวอ่อนโยนว่า “อืม ไม่ได้ยินอะไรเลย เจ้าไม่เป็นไรก็ดี”
เขาลุกขึ้น ยามนี้รู้สึกว่าฟ้ามืดแล้ว เจ้าตำหนักใหญ่บนเตียงมีคนชำระล้างร่างกายสะอาดแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมเดินทางสู่แดนปรภพแล้ว ดวงตาหลับสนิทราวกับนอนหลับ ราวกับว่าหากเขาผลักก็จะตื่นขึ้นมา เขาอดยกมือขึ้นลูบใบหน้าท่านพ่อไม่ได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ตายแล้วจริงๆ ดูแล้วเหมือนนอนหลับเลย”
เสวียนจียกนิ้วมือจัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงให้เขา หันมากล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้าสลบไป อาวุโสให้ข้ามาบอกเจ้าว่า พอตื่นแล้วก็ให้ไปโถงกลางตำหนักจินกุ้ยกง พวกเขามีเรื่องหารือกับเจ้า”
อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้า ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เสวียนจีส่งผ้าเช็ดหน้าให้เขาเช็ดหน้า ยากที่นางจะเงียบไม่พูดมาก ถึงกับไม่ถามสักคำ เขากุมมือนางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “ไม่มีอะไรถามข้าหรือ เกิดเรื่องเช่นนี้”
เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่รู้จะถามอะไร และก็ไม่คิดถาม เพราะเจ้าไม่คิดเล่า สรุป…ข้าน่าจะช่วยอะไรไม่ได้ เจ้าอย่าเสียใจมากไปก็พอ อย่าพูดว่าตัวเองตัวคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย ยังมีข้าเป็นเพื่อนเจ้านะ”
อวี่ซือเฟิ่งกอดนางเบาๆ จากนั้นหันหลังผลักประตูออกไป กล่าวว่า “อีกสักครู่ข้าก็กลับมา หากดึกไป เจ้าก็นอนก่อน ไม่ต้องรอข้า”
ผู้อาวุโสทั้งหลายหาเขามีเรื่องอะไร ในใจเขาพอเดาได้ ไม่ใช่หารือเรื่องเขาดูแลตำหนักหลีเจ๋อ ก็คงเป็นเรื่องสลายตำหนักหลีเจ๋อ ตลอดทางที่เดินมา เขาเอาแต่คิดเรื่องที่จะเกิดขึ้นไปหลากหลายแบบ ตนเองจะรับมืออย่างไร ช่วงเวลาไม่นานที่ผ่านมา เขาราวกับเติบโตขึ้นไม่น้อย เพียงเพราะแบกเอาภาระหนักไว้บนบ่า
มาถึงห้องโถงกลาง พอผลักประตูเข้าไปก็เห็นอาวุโสสิบกว่าท่านคุกเข่าอยู่ที่พื้น พร้อมใจกันคำนับว่า “คารวะเจ้าตำหนักคนใหม่!”