ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 39 กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง (3)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

อวี่ซือเฟิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก เขาไม่ใช่ไม่คิดถึงว่าจะมีภาพเช่นนี้ แต่พอเกิดขึ้นจริง เขายังคงรู้สึกกดดันหนักอึ้ง เขายืนอยู่กลางโถงกลาง คิดไปคิดมาจึงได้กล่าวว่า “ผู้อาวุโสทั้งหลายเชิญลุกขึ้นก่อน เรื่องตำหนักหลีเจ๋อ ข้าคิดว่าควรจะหารือกันให้รอบคอบก่อน” 

 

 

อาวุโสหลัวกล่าวว่า “แม้ว่าห่วงฟ้าเทียนจวินจะไม่มีหวังแล้ว แต่พวกข้าก็ไม่คิดว่าการมีอยู่ของตำหนักหลีเจ๋อจะมีเป้าหมายแค่เพื่อห่วงฟ้าเทียนจวิน! พันปีมานี้ แม้แต่หินก็ถูกน้ำหยดกัดเซาะได้ นับประสาอันใดกับปณิธานดั้งเดิมตำหนักหลีเจ๋อ!” 

 

 

อาวุโสที่เหลือพากันพยักหน้าเห็นด้วย อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงกังวานก้องว่า “อาวุโสหลัวกล่าวได้ถูกต้อง! ข้าก็คิดว่าตำหนักหลีเจ๋อไม่ควรอยู่เพื่อห่วงฟ้าเทียนจวิน ข้าคิดว่าเมื่อก่อนตำหนักหลีเจ๋อรับศิษย์ใหม่ ล้วนไปบีบบังคับจับตัวจากเผ่าเดียวกันโพ้นทะเล ในสายตาเผ่าอื่น ตำหนักหลีเจ๋อก็เหมือนกับคุกใต้ดิน ข้าคิดว่าอันดับแรกก็ควรเปลี่ยนความคิดคนเผ่าพันธุ์เรากับตำหนักหลีเจ๋อก่อน” 

 

 

ทุกคนได้ยินท่าทีเขาก็ดีใจอย่างระงับไม่อยู่ ไม่คาดว่าเขาจะกล่าวอีกว่า “สำหรับเรื่องเจ้าตำหนัก ข้าคิดว่าต้องวางแผนระยะยาว…หนึ่ง ข้าอายุยังน้อย ไม่อาจเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ สอง ข้านิสัยไม่อยู่ในกฎระเบียบ ไม่ชอบถูกจำกัด เกรงว่าไม่อาจดำรงตำแหน่งเจ้าตำหนักให้ดีได้ ไม่สู้ให้เลือกสักคนจากบรรดาอาวุโสที่มีคุณธรรมปกครองใจคนหมู่มากได้ เป็นเจ้าตำหนักหลีเจ๋อคนใหม่ ทุกคนเห็นเช่นไร” 

 

 

ผู้อาวุโสทั้งหลายพากันแตกตื่น อาวุโสหลัวร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าตำหนักไยกล่าวเช่นนี้! ตำแหน่งเจ้าตำหนักหลีเจ๋อคนใหม่ นอกจากท่านแล้วผู้ใดกล้าแบกรับ? หากท่านต้องการให้เสนอชื่อ เช่นนั้นข้าก็จะขอเสนอ หนึ่ง อดีตเจ้าตำหนักมอบตำแหน่งเจ้าตำหนักให้ท่านด้วยวาจา สอง ในตำหนักมีแต่ท่านที่มีเลือดสูงส่งสิบสองก้านปีก สาม แม้ว่าท่านอายุยังน้อย แต่ปกติในตำหนักเราผู้ใดกล้าดูแคลนท่าน เจ้าตำหนักไยต้องดูแคลนตนเอง!” 

 

 

เขาเห็นอวี่ซือเฟิ่งลังเลไม่ตอบ จึงกล่าวอีกว่า “เจ้าตำหนักว่าตนเองมีนิสัยไม่อยู่ในกฎระเบียบ ไม่ชอบถูกจำกัด วาจานี้ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนตำหนักหลีเจ๋อต้องการ พวกเราหารือกันมาตลอดบ่าย และได้ตัดสินใจยกเลิกกฎระเบียบทั้งหมดก่อนหน้า เริ่มตั้งกฎตำหนักหลีเจ๋อใหม่ จะไม่มีกฎเหล็กมากมายเช่นนั้นอีก ประเด็นสำคัญก็คือ…เจ้าตำหนักอย่าว่าข้าเสียมารยาท หนุ่มสาว ไม่อาจหนีความรับผิดชอบตนเอง! โดยเฉพาะความรับผิดชอบที่ต้องเป็นของตนเอง! หากโยนภาระหน้าที่ตนทิ้งขว้างและจากไป ในใจเจ้าตำหนักจะรู้สึกดีหรือ” 

 

 

วาจาสุดท้ายกล่าวได้รุนแรงมาก ในใจอวี่ซือเฟิ่งเองก็รู้สึกละอาย ก้มหน้ากล่าวว่า “อาวุโสหลัวกล่าวได้ถูกต้อง ข้าวู่วามไปแล้ว” 

 

 

บรรดาอาวุโสต่างยิ้มกล่าวว่า “อาวุโสหลัวไม่เสียทีที่เป็นผู้คุมกฎตำหนัก ในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมเจ้าตำหนักได้แล้ว!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “อาวุโสทุกท่านนั่งก่อน ได้รับเมตตาจากเจ้าตำหนักใหญ่กับบรรดาผู้อาวุโสทุกท่าน ข้าก็ขอรับภาระตำแหน่งเจ้าตำหนักนี้ไว้ ส่วนเรื่องตั้งกฎตำหนักหลีเจ๋อใหม่ ข้าอยากลองฟังความคิดเห็นของบรรดาอาวุโสทุกท่าน” 

 

 

มีคนนำกองกระดาษหนาปึกหนึ่งมาวาง บนนั้นมีตัวหนังสือเขียนแนวทางของทุกคนเอาไว้แน่นขนัด เขาพลิกอ่านคร่าวๆ ครู่หนึ่งก็รู้สึกเพียงแค่เลือดในกายพลุ่งพล่าน ที่แท้ความคิดเขาเหมือนกับบรรดาอาวุโสอย่างไม่ได้นัดแนะ เช่นว่าจะรุ่งเรืองในฐานะสำนักบำเพ็ญเซียนอีกครั้ง ขจัดกฎระเบียบก่อนหน้าทั้งหมด ตั้งกฎใหม่สิบประการ เปิดรับศิษย์แบบเปิดกว้าง ไม่บีบบังคับคนเข้ามา ศิษย์ในตอนนี้หากคิดจะไปจากตำหนักหลีเจ๋อ ก็ไม่ให้รั้งไว้ 

 

 

เขาอ่านจนตกสู่ภวังค์ความคิด เป็นนานก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “ผู้อาวุโสทั้งหลายที่แท้ก็มีใจคิดปฏิรูปกันนานแล้ว?” 

 

 

อาวุโสสำนักทรงธรรมตอบว่า “ไม่ขอปิดบังเจ้าตำหนัก เมื่อก่อนภายใต้กฎเหล็กตำหนักหลีเจ๋อ ทำให้ศิษย์เราตายไปไม่น้อย ข้าเองก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก หลังจากอดีตเจ้าตำหนักที่ทรงอิทธิพลเด็ดขาด ก็มีอีกสองเจ้าตำหนักใหม่ที่ป่าเถื่อน ใจเจ้าตำหนักใหญ่ไม่ได้อยู่ที่การสร้างตำหนักหลีเจ๋อ รองเจ้าตำหนักก็ยังมีจิตใจคิดวางแผนส่วนตัวมากมาย คิดแต่ห่วงฟ้าเทียนจวิน หลังจากวันนั้นที่เจ้าตำหนักใหญ่คิดกวาดล้างเกาะฝูอวี้ พวกเราก็แอบหารือเรื่องการปฏิรูปนี้แล้ว ผู้ใดคิดว่าพอส่งขึ้นไปก็หายเงียบไป คิดว่าเรื่องนี้ทำให้เจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนักทั้งสองไม่พอใจ ได้แต่ทิ้งค้างไว้ชั่วคราว หากเจ้าตำหนักคิดเอาใจใส่เรื่องนี้ ก็คงเป็นวาสนาของตำหนักหลีเจ๋อ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้าให้อาวุโสหลัว นึกถึงเขาที่เป็นคนเข้มงวดเย็นชามาตลอด ครั้งก่อนยังมีเรื่องปะทะกับหลิ่วอี้ฮวน อดยิ้มถามไม่ได้ “อาวุโสหลัว ผู้น้อยขอเสียมารยาท ตามนิสัยท่าน เรื่องปฏิรูปเรื่องนี้ ท่านน่าจะเป็นคนนำค้านถึงจะถูกสิ?” 

 

 

อาวุโสหลัวสีหน้าจริงจังกล่าวว่า “เจ้าตำหนักกล่าวได้ถูกต้อง ตอนพวกอาวุโสโจวหารือกันเรื่องนี้ ข้าเองก็เป็นคัดค้านเด็ดขาด แต่พอต่อมาได้เห็นเจ้าตำหนักใหญ่และรองเจ้าตำหนักทำอะไรตามอำเภอใจ คิดถึงรากฐานพันปีของตำหนักหลีเจ๋อ ไม่อาจพังลงเพราะคิดแต่ทำเพื่อห่วงฟ้าเทียนจวิน ความจริงข้าผ่านมาสองสมัย รู้สึกว่าห่วงฟ้าเทียนจวินเป็นเรื่องดื้อดึงเกินไปแล้ว ข้าคิดเสมอว่า หรือว่าพวกเราลำบากลำบนมาเป็นคน มีความหมายมีแค่เพื่อเทพศาสตรานั่น? ทำลายความคิดจิตวิญญาณทั้งหมด เพียงเพื่อเป็นเครื่องสังเวยให้กับกิเลสทะยานอยากส่วนตัว ข้านึกแล้วก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ วิธีการทำลายความหวังของคนจนสิ้นซากของอดีตเจ้าตำหนัก ไหนเลยทำร้ายแค่เจ้าและหลิ่วอี้ฮวน! ในคุกใต้ดินมีกองกระดูกมากมายนับไม่ถ้วน ล้วนมาจากกฎเหล็กพวกนี้ ข้าไม่อยากให้คนหนุ่มรุ่นต่อไปต้องประสบกับเหตุการณ์อนาถเช่นนี้!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งอดซาบซึ้งใจไม่ได้ เห็นบรรดาอาวุโสผมหงอกผมขาวในโถงนี้มีท่าทีใส่ใจในเรื่องนี้แล้ว พริบตานั้นเขาก็พลันรู้สึกอบอุ่นใจ ค้นหาความรู้สึกของคำว่าบ้านเจอแล้ว เขาค่อยๆ บรรจงพับกระดาษปึกนั้นสอดเข้าแขนเสื้อ ลุกขึ้นยิ้มกล่าวว่า “เรื่องปฏิรูป พรุ่งนี้ข้าจะสรุปแผนสุดท้าย ข้ายังไร้อาวุโสและไร้สามารถ ขออาวุโสทุกท่านร่วมกันสร้างตำหนักหลีเจ๋อใหม่! ยังต้องขอรบกวนอาวุโสทุกท่านชี้แนะให้มาก!” 

 

 

บรรดาอาวุโสพากันลุกขึ้น กล่าวว่า “เจ้าตำหนักเกรงใจไปแล้ว!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอีกว่า “ดึกมากแล้ว ทุกท่านไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เรียกศิษย์ทุกคนมารวมกันที่หอตันหยา ถามความสมัครใจ อยากอยู่หรืออยากไป อยากไปก็ไปได้ ตามใจแต่ละคน” 

 

 

อาวุโสหลัวยิ้มกล่าวว่า “เจ้าตำหนักไม่ต้องกังวล ตอนบ่ายพวกเราถามมาแล้ว บรรดาศิษย์ไม่มีใครอยากไปสักคน ไม่รู้พวกเขาไปเจออะไรข้างนอกมา ล้วนให้ความเคารพเลื่อมใสเจ้าตำหนักมาก!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกริ่ม อยู่ๆ นึกถึงอะไรขึ้นมาได้ ควักเอาถุงผ้าออกมาจากอกเสื้อ ส่งให้ “นี่คือเศษห่วงฟ้าเทียนจวิน แม้ว่าเป็นเสี่ยงแล้ว แต่เหมือนพลังยังคงอยู่ พี่หลิ่วยังมีอีกส่วน รอเขาหายดีแล้วก็ย่อมนำมาคืน ที่ข้ามีอีกส่วน ไว้ข้าจัดการเรื่องราวกับแดนสวรรค์เรียบร้อยก็จะนำมาคืน ผู้อาวุโสทั้งหลายเห็นควรจัดการอย่างไรก็ตามนั้น” 

 

 

ทุกคนตอบพร้อมกันว่า “ล้วนเพื่อสิ่งนี้ ตำหนักหลีเจ๋อจึงได้มาถึงขั้นนี้ อย่างไรก็ขอให้เจ้าตำหนักเก็บไว้บูชาที่ศาลบรรพชนตำหนักจินกุ้ยกงก็พอ” 

 

 

 

 

 

****** 

 

 

 

 

 

ตอนอวี่ซือเฟิ่งกลับถึงห้องนอนรองเจ้าตำหนักก็ยามสามแล้ว ศพเจ้าตำหนักใหญ่ถูกบรรดาศิษย์แบกไปห้องพิธีศพที่ตำหนักจินกุ้ยกง ตะเกียงฉางหมิงจุดไว้แล้ว มีเสียงร้องไห้แว่วมาตามสายลม เสวียนจีนั่งอยู่บนเก้าอี้หลับไปแล้ว แต่หลับไม่สนิทดี ขนตายังกะพริบอยู่เบาๆ 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจ เดินเข้าไปอุ้มนางขึ้น เสวียนจีตื่นขึ้นทันที ยกมือเกี่ยวคอเขาไว้ กล่าวเสียงอู้อี้ว่า “เจ้ากลับมาแล้ว…ข้ายังไม่หลับ รอเจ้า” อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะเบาๆ ก้มหน้าจุมพิตจมูกนางทีหนึ่ง กอดนางนอนลงบนเตียง ผ้าห่มม่านมุ้งบนเตียงเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว เขาดึงผ้าห่มห่มให้นาง กล่าวอ่อนโยนว่า “ข้ากลับมาแล้ว แต่มีเรื่องต้องจัดการเล็กน้อย เจ้านอนก่อน อย่ากังวล” 

 

 

เสวียนจีง่วงมากจริงๆ แต่ก็ไม่อาจตัดใจปล่อยมือ ยังคงเกี่ยวคอเขาไว้ ออดอ้อนว่า “เจ้าดูหน้ากากบนกำแพงพวกนั้น เหมือนหน้าอู๋จือฉี? ข้าจ้องมาทั้งคืน ยิ่งมองยิ่งรู้สึกกลัว…เจ้าว่าหยวนหลางนั่นแท้จริงเห็นอู๋จือฉีเป็นพี่น้องไหม” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้าเงียบๆ หน้ากากพวกนี้ส่วนใหญ่ลื่นมันวาว เห็นชัดว่ามักจะถูกคนลูบคลำมามาก เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ระหว่างพวกเขาสองคน ผู้ใดก็กล่าวไม่กระจ่าง ข้าว่าอู๋จือฉีเป็นคนฉลาด หากหยวนหลางเป็นคนเลวชั่วร้ายจริง เขาต้องไม่นับถือเป็นพี่น้องกับเขาแน่ คิดถึงหยวนหลางแล้ว เมื่อก่อนย่อมต้องเป็นคนไม่ธรรมดากระมัง…เพียงแต่ถูกความละโมบเข้าครอบงำบังตา” 

 

 

วาจากล่าวจบ เสวียนจีก็ไม่มีเสียงตอบ ก้มหน้าลงมอง นางหลับปุ๋ยไปนานแล้ว อวี่ซือเฟิ่งค่อยๆ ดึงมือนางออก ห่มผ้าห่มให้นาง ตนเองจุดตะเกียงออกไปห้องส่วนนอก อ่านร่างแผนปฏิรูปฉบับนั้น พลางใช้พู่กันเขียนลงไปในกระดานแผ่นใหม่ เพิ่มเติมความคิดตนเองลงไป 

 

 

ในนี้มีข้อหนึ่งที่เขารู้สึกว่าน่าสนใจมาก เดิมตำหนักหลีเจ๋อไม่อนุญาตให้แต่งงาน ถึงกับให้สวมหน้ากากเพื่อไม่ให้สัมผัสกับโลกภายนอก ตอนนี้ตัดกฎนี้ทิ้งไป อาวุโสโจวเปลี่ยนเป็นไม่ต้องสวมหน้ากาก และอนุญาตให้แต่งงาน อาวุโสถังที่อายุน้อยกว่าหน่อยถึงกับหวังว่าวันหน้าตำหนักหลีเจ๋อจะรับศิษย์ใหม่ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะครุฑ จะเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เลื่อมใสมาขอฝากตัวเป็นศิษย์ หรือจะเป็นปีศาจที่ตั้งใจบำเพ็ญเซียนจริงใจก็ล้วนเปิดกว้าง ข้อเสนอนี้ย่อมดีแน่นอน แต่ไม่เหมาะจะนำมาปฏิบัติในยามนี้  

 

 

เขาใช้ชาดแดงทำเครื่องหมายลงไปบนกระดาษว่ายามนี้ไม่เหมาะ อีกห้าปีค่อยคิดวางแผนรายละเอียด 

 

 

ตำหนักหลีเจ๋อเดิมมีสี่อาวุโสใหญ่คอยช่วยงานเจ้าตำหนัก ภายใต้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ยังมีหัวหน้าผู้คุม งานรวมหน่วยละสิบคนดูแลห้าสำนักในตำหนัก ในบรรดาแต่ละสำนักนี้ก็มีหัวหน้าตำแหน่งต่างๆ แต่งตั้งศิษย์อาวุโสในตำหนักรับตำแหน่ง เดิมในห้าสำนักนี้ก็มีสำนักปฏิบัติการลับกับสำนักตรวจสอบ สองสำนักนี้มีหน้าที่ลงโทษและตรวจสอบพฤติกรรมบรรดาศิษย์ในตำหนัก ทันทีที่ทำผิดกฎก็จะให้สำนักปฏิบัติการลับชี้ความผิด จากนั้นก็ส่งตัวไปสำนักคุมกฎลงโทษ ดังนั้นทุกคนจึงต่างหวาดกลัว กลัวว่าจะล่วงเกินคนสำนักปฏิบัติการลับแล้วจะโดนแก้แค้นเอาคืน 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเปลี่ยนชื่อสำนักปฏิบัติการลับเป็นหอไต่สวน ยกเลิกตำแหน่งผู้คุมสำนักปฏิบัติการลับ อีกสี่หอก็ตั้งชื่อใหม่เป็นหอทรงธรรม หอคุมกฎ หอกิจการภายใน และหอยุทธ์ แบ่งหน้าที่กันดูแล สำนักทรงธรรมเดิมตั้งไว้ให้ดูดีเท่านั้น แม้ว่าเจ้าตำหนักใหญ่มักบอกว่าสำนักทรงธรรมไว้คอยช่วยเหลือพวกปีศาจที่ลำบาก แต่ความจริงแทบจะไม่ได้ดำเนินงานด้านนี้เลย ครั้งนี้เขาไม่เพียงต้องการให้หอทรงธรรมเริ่มช่วยเหลือพวกปีศาจที่ลำบาก ยังต้องการให้ช่วยมนุษย์ที่ลำบากอีกด้วย ในหอยังให้มีห้องสมุนไพร ดำเนินการเรื่องเพาะปลูกสมุนไพรและสอนวิชาแพทย์โดยเฉพาะ แน่นอนแผนการนี้เป็นความชอบส่วนตัวอยู่สักหน่อย แต่ก็มีประโยชน์มาก 

 

 

ตำหนักหลีเจ๋อไม่มีอะไรมากนอกจากเพชรนิลจินดาไข่มุกล้ำค่าที่พวกเผ่าครุฑสะสมไว้นับไม่ถ้วน ด้วยเหตุที่เป็นเผ่าพันธุ์รักสวยรักงามของพวกเขาเอง ดังนั้นเรื่องเงินเรื่องทองแต่ไรมาจึงไม่เคยเป็นปัญหา 

 

 

พออวี่ซือเฟิ่งจัดการวางแผนเริ่มต้นเรียบร้อย ฟ้าก็เริ่มสางแล้ว เขานวดคลึงลำคอและบ่าที่ปวดเมื่อย บิดขี้เกียจเดินไปข้างเตียงมองดูเสวียนจี นางกำลังนอนหลับสนิท นิ้วเกี่ยวพันเสื้อตัวนอกเขาไว้ ท่าทางอาลัยไม่อาจตัดใจมาก 

 

 

เขาแทบอยากลงนอนกอดนางไว้ จูบแก้มแดงระเรื่อนาง แต่เวลาไม่พอ ยามนี้เขาเป็นเจ้าตำหนัก ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนที่อยากนอนถึงตอนไหนก็ได้ และไม่อาจทำแต่เรื่องที่ตนชอบตามใจตนเองได้ เขาได้แต่ลูบผมนางเบาๆ ทิ้งข้อความไว้บอกนางแผ่นหนึ่ง ตนเองนำเอาแผนปฏิรูปที่ร่างจนไม่ได้นอนทั้งคืนตรงไปยังโถงพิธีศพในตำหนักจินกุ้ยกง