“เด็กสาวคนนั้นต้องอยู่ที่นี่แน่นอน” ชายคนหนึ่งภายใต้ชุดคลุสีน้ำเงินคาดด้วยเข็มขัดสีทองจ้องไปที่กำแพงเมืองสูงของเมืองใหญ่ระดับปานกลางที่เต็มไปด้วยฝูงชนจอแจ
“มนุษย์!?” เขาขมวดคิ้ว
“ดินแดนทะเลทรายแห่งนี้มีมนุษย์จำนวนมาก” เสียงดังจากข้างหลังเอ่ยขึ้น “แต่ถึงอย่างนั้นที่นี่ดูเหมือนสถานที่ร้าง”
ชายคนนั้นโบกมือของเขาราวกับว่าไม่ปลื้มหัวข้อนี้เท่าไรนัก “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตามหาเจ้าหญิงตัวน้อย .. นอกจากนี้เราต้องติดต่อกับผู้คนในดินแดงทะเลทรายแห่งนี้ให้น้อยที่สุดเข้าใจมั้ย”
“รับทราบฝ่าบาท”
…
ณ เมืองจิวหัว
สถานการณ์ในเมืองจิวหัวนั้นช่างแตกต่างไปมากจากแต่ก่อน ที่นี่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าเมืองครึ่งทั้งสภาพอากาศที่อ่อนโยน รวมไปถึงสถานที่และผู้คน เหล่านักรบผู้ฝึกฝนและรวมไปถึงคนธรรมดาพวกเขาอยู่รวมกันอย่างปกติสุข ประชากรที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับเมืองครึ่ง
ร้านค้าในจิวหัวตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัยของคนทั่วไป
ทุกคืนวันจันทร์และอังคารพลเมืองที่อยู่ใกล้เคียงมักจะมารวมตัวที่ร้านเพื่อดูหนังเรื่องกระบี่เทพสังหารและขี่พายุทะลุฟ้าหนังฟรีประจำสัปดาห์
แม้ว่าพวกเขาจะได้เห็นถึงเนื้อเรื่องและไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยให้พวกเขารู้สึกสนุกและบันเทิงใจเมื่อเทียบกับการฟังเรื่องเล่าในร้านอาหาร
ในเมืองนี้ผู้อาศัยเกือบทุกคนสามารถเล่าเรื่องกระบี่เทพสังการและคุ้นเคยกับตัวละครราวกับว่าพวกเขาเป็นผู้แสดงเอง เนื่องจากผู้ใหญ่ในตาจินได้แก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเองและเลิกกีดกันเหล่าสาวกแล้ว ร้านต้นกำเนิดอินเตอร์เน็ตในตอนนี้จึงกลายเป็นที่พบปะและพูดคุยกันอย่างสบายใจ
ผู้คนเริ่มต่อแถวเพื่อรอจับจองที่นั่งกันตั้งแต่เช้าตรู่
องค์หญิงอยู่ในชุดยาวสีดำ เธอกำลังอ่านหนังสือปกแข็งสีสวยหรูที่ปรากฏรูปหน้าปีศาจบนปกพื้นดำ Diablo
“เจ้ากำลังอ่านอะไร?” องค์ชายห้าทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างๆ เธอ พร้อมถ้วยชานมสองถ้วยในมือเขาส่งถ้วยหนึ่งให้องค์หญิง
“นี่คือหนังสือเล่มล่าสุด หนังสือปกแข็งรูปเล่มของ Diablo!” เธอจิบชานมไปพลางอ่านหนังสือต่อ “แม้ว่าข้าจะยังไม่ได้เล่นเกมด้วยตัวเอง แต่เรื่องราวในหนังสือนั้น .. ช่างน่าทึ่ง พวกเขาติดตามรวยเท้าและต่อสู้ทำลายวิญญาณของผู้ขุมนรก .. นี่คือตำนานของวีรบุรุษ”
เธอเอ่ยถามอย่างรวดเร็วว่า “เจ้าเล่นเกมนี้ไม่ใช่หรือ!?”
“ใช่ .. แต่ในเกมเราจะต้องพบกับความยากลำบากของฝันร้ายและต้องพบเจอกับนรกที่แท้จริง” องค์ชายห้ากล่าวพร้อมกับส่ายหัว “ข้าเพิ่งผ่านระดับความยากที่จัดเป็นลำดับง่ายที่สุดในขั้นมา ยิ่งข้าไปสูงมากเท่าไรความยากก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ถึงอย่างนั่นตอนนี้มีแค่ท่านนาหลันฮงวูและอีกไม่กี่คนที่สามารถฝ่าไปถึงนรกได้ มันยากจริงๆ”
“มีการกล่าวไว้ว่าผู้เล่นไม่มีข้อจำกัดในการใช้เทคนิคหรือท่าทางพวกเขาสามารถใช้การต่อสู้หรือเวทย์มนตร์ทางจิตวิญญาณที่ได้เรียนรู้ในร้านได้ นั่นเป็นเรื่องจริงหรอ?” องค์หญิงถามขณะที่กำลังเปิดไปอีกหน้า
“เกือบทั้งหมด พวกเขาคุ้นเคยกับการใช้ทักษะต่างๆ เช่นเทคนิคการควบคุมดาบด้วยพลังงานในเกม แม้ว่าจะสามารถใช้ได้เกือบหมดแต่ก็ยังไม่มีใครจบเกมใสักคน พวกเขาส่วนมากติดอยู่ใน Act สอง”
เห็นได้ชัดว่า Diablo Act สองนั้นยากจริงๆ สำหรับผู้เล่นส่วนมากแม้ว่าพวกเขาจะมีไอเท็มที่จัดเต็มทรงพลังและมีระดับทักษะสูงพวกเขาก็มักจะพ่ายให้แก่ปีศาจในเกมที่แข็งแกร่งเป็นประจำ เมื่อตายเปอร์เซอร์ของค่าประสบการณ์ก็จะลดตามจำนวนนั่นทำให้ความคืบหน้าของเกมช้าไปอีก
องค์หญิงจิบชาพลางอ่านจุดจบของ Diablo ดูเหมือนว่ากองกำลังของปีศาจก็พ่ายแพ้ไปในที่สุดโดยวีรบุรุษ สุดท้ายกองทัพปีศาจก็ตกลงไปอยู่ในโลกแห่งความโกลาหลจากการทำลายของโลก
หลังจากปิดหนังสือเล่มนี้แล้วองค์หญิงยังคงนั่งอยู่บนโซฟาและมองทอดออกไปด้านนอกแสงแดดนอกร้านส่องเข้ามาให้ความสว่าง เธอสงสัยว่าวันหนึ่งคงจะมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าวีรบุรุษอยู่จริงในอนาคต
ข้าละสงสัยว่ามีเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขาอีกหรือไม่ .. เธอเม้มริมฝีปากขณะคิดอย่างสงสัย จากนั้นร่างสูงร่างหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นบังแสงที่สาดส่องจากกระจกใส
ร้านค้าที่คึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนไม่แปลกที่จะมีลูกค้าหรือผู้คนใหม่ๆ สนใจที่นี่และเลือกที่จะก้าวเข้ามาดู นอกจากนี้ชื่อเสียงของร้านยังดังกระจายไปถึงหูเหล่าสาวกของสำนักต่างๆ แถมยังดังไปถึงหูเหล่านักบวชทั้งสามประตูอีกด้วย ซึ่งนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมใบหน้าแปลกๆ ถึงได้ปรากฎขึ้นนอกร้านบ่อยครั้ง
องค์หญิงจียูพบว่าเธอไม่สามารถอธิบายได้ว่าชายคนนี้มีรูปแบบการฝึกฝนอย่างไร แม้ว่าชายคนนี้จะไม่ได้ซ่อนรัศมีก็ตาม แต่เธอก็ไม่สามารถสัมผัสได้กับความรู้สึกที่ลึบลับที่แผ่ออกมา
มันให้ความรู้สึกลึกลับและดูยิ่งใหญ่แต่เธอเองก็ไม่รู้จะเปรียบเทียบสิ่งนั้นกับนักบวชทั้งสามประตูอย่างไร สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือผู้ชายคนนี้แสดงตนเป็นชนชั้นสูงแต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาอวดดี ท่าทางและลักษณะของเขาดูเป็นผู้ดีมาตั้งแต่กำเนิด
ดูจากลักษณะของเขาอ่ยุราวๆ สามสิบปี เขาอยู่ในคลุมสีเงินพร้อมด้วยลวดลายรอยปักสีทองดูหรูหรา จียูสงสัยว่าเขาน่าจะเป็นนักรบ แต่แล้วเธอก็พบว่ารูปร่างใบหน้าของเขาดูสุขุมนุ่มซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จัดว่าหายากในหมู่นักรบธรรมดา เขาไม่ได้ดูเหมือนนักรบทั่วไปที่มีท่าทางเหนื่อยล้าแต่เขาคล้ายกับผู้ฝึกฝนแทบแยกไม่ออก
เขาถูกขนาบข้างด้วยชายสองคนที่ดูเป็นเหมือนทหารองครักษ์ข้างกาย
“ชายคนนี้คือใคร?” องค์ชายห้ากระซิบ
“ไม่รู้” องค์หญิงขมวดคิ้ว “ทำไมข้ารู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเล่นเกม”
“เขามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาหรอ?”
“สร้างปัญหา!?” ผู้ฝึกฝนที่ได้ยินหันไปมอง
ขณะที่พวกเขาหันไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ พวกเขาก็มองกลับไปเช่นกัน
พวกเขาเห็นผู้อาวุโสบางคนอยู่ข้างในพร้อมกับถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในมือ บางคนกำลังถือไม้แท่งรสเผ็ดพลางคิ้วตุ้ย
หลันโม, หัวหน้ากลุ่มพันธมิตรวู่เว้ยเองก็กำลังจิบชา พวกเขาแทบไม่รู้ว่ากำลังมีบางคนจับจ้องมองอยู่ .. พวกเขาเงยหน้าดวงตาเบิกกว้าง
ซูเทียนจิที่กำลังเคี้ยวเงยหน้ามองไม่เจออะไร “มีอะไรผิดปกติหรือ!?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
ทันใดนั้นทุกคนก็เงียบไป
“ฝ่าพระบาท” องค์รักษ์ทั้งสองมองไปรอบๆ ร้าน “ข้ารู้สึกแปลกๆ”
“เอ่อ .. ” ชายชุดคลุมสีเงินพยักหน้า
ทันใดนั้นจู่ๆ บรรยากาศก็ตึงเครียด
“พวกเขาสามคนนี้มาสร้างปัญหาหรือ?” ซูเทียนจิถามพลางกินบะหมี่ คำถามของเธออู้อี้ในปาก
“อาจารย์ .. ข้าคิดว่าน่าจะ ..” เฟงหัวตอบพลางเคี้ยวอยู่เช่นกัน
“ใครกันมันกล้าสร้างปัญหา!?” เสียงนาหลันฮงวูดังขึ้น เขาจิบชานมและถอนหายใจอย่างมีความสุข จากนั้นเขายืนขึ้นจากที่นั่ง
“พี่ใหญ่หรอ?” ก่อนที่เขาจะพูดอะไร หัวเล็ดๆ ยืนออกมาจากด้านหลังคอมพิวเตอร์ เธอกระพริบตาโต
“น้องสาว ..” ชายคนนั้นดูประหลาดใจ
“หืม!?” ทุกคนสตั้น
“เขาเป็นพี่ชายของเจ้าหรือ?” พวกเขาอ้าปากค้างเมื่อเห็นทีท่าของเจียงเสี่ยวหยู