ตอนที่ 367 ได้เงินสักหน่อยค่อยกลับไป
ตอนที่ 367 ได้เงินสักหน่อยค่อยกลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากพี่สะใภ้สี่จ้าวได้ยินว่าพี่สี่จ้าวอยู่เมืองหลวง หล่อนก็รีบมาที่บ้านจ้าวเหวินเทาตั้งแต่เช้า จนกระทั่งเกือบเที่ยง เย่หมิงเป่ยก็โทรศัพท์มา เย่ฉูฉู่เป็นคนรับสาย หลังจากคุยกับพี่สี่จ้าวแล้วจึงส่งโทรศัพท์ให้พี่สะใภ้สี่
พี่สะใภ้สี่รู้สึกตื่นเต้นมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพี่สี่จ้าวอยู่ที่ปลายสาย หรือเป็นเพราะเพิ่งเคยรับโทรศัพท์ครั้งแรกในชีวิต ตอนที่พูดจึงดูเงอะงะ
“สามี ได้ยินที่ฉันพูดใช่ไหม!” เสียงของพี่สะใภ้สี่จ้าวแอบสูงกว่าปกติ
ทางฝั่งพี่สี่จ้าวได้ยินอย่างชัดเจน คาดว่าเป็นเพราะผลกระทบจากเงินที่หายไป เมื่อได้ยินเสียงของพี่สะใภ้สี่จ้าวจึงแอบรู้สึกหงุดหงิด “ผมได้ยินแล้ว คุณกับลูกสบายดีนะ?”
พี่สะใภ้สี่จ้าวได้ยินเสียงของพี่สี่จ้าว น้ำตาก็ไหลพราก “คุณมันขาดคุณธรรม คุณไปทั้งแบบนี้แล้วยังทอดทิ้งพวกเราแม่ลูกอีก จะให้พวกเราใช้ชีวิตกันยังไง ทำไมคุณถึงได้ขาดคุณธรรมขนาดนี้!”
พี่สี่จ้าวเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง “ใช่ว่าผมจะไม่กลับไปสักหน่อย”
“งั้นคุณก็ควรจะบอกกันสักคำสิ คุณไปแบบนี้ รู้ไหมว่าคนที่บ้านเป็นห่วงคุณขนาดไหน!” หลังจากพี่สะใภ้สี่จ้าวบ่นไปยกหนึ่ง หล่อนจึงถามต่อว่า “แล้วคุณจะกลับมาตอนไหน นี่ใกล้จะข้ามปีแล้ว จะให้ฉันข้ามปีคนเดียวได้ยังไง”
พี่สี่จ้าวเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง “ผมทำเงินหายไปแล้ว”
พี่สะใภ้สี่จ้าวได้ยินจากพี่สามจ้าวแล้ว พี่สามจ้าวกำชับหล่อนว่าเงินที่หายไปก็หาไม่เจอแล้ว ดังนั้นอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับพี่สี่จ้าว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรียกพี่สี่จ้าวกลับมา หลังจากกลับมาค่อยมาคิดบัญชีทีหลังก็ยังไม่สาย พี่สะใภ้สี่จ้าวก็คิดเช่นนี้ หล่อนจึงข่มความเจ็บปวดเรื่องที่เงินหายลงไป
“หายก็หายไปเถอะ คุณไม่หายไปก็ดีแล้ว คุณกลับมาพวกเราค่อยหากันใหม่ได้ ค่อยสะสมใหม่ ไม่ว่าอะไรก็สะสมได้ทั้งนั้นแหละ พี่สามสร้างโรงเต้าหู้แล้ว ครั้งนี้ก็คงได้ทำงานกันทั้งปี รวมกับทำนาทำสวน ยังไงก็สะสมเงินใหม่ได้” เป็นเรื่องยากที่พี่สะใภ้สี่จ้าวจะพูดด้วยความห่วงใย
แม้พี่สี่จ้าวจะรู้ว่าภรรยาของตนเองเป็นคนแบบไหน รู้ดีว่าถึงจะคุยผ่านโทรศัพท์ด้วยคำพูดที่น่าฟัง หากกลับไป อีกฝ่ายคงใช้เรื่องนี้มาบ่นเขาตลอดทั้งชีวิต แต่เมื่อได้ฟังก็รู้สึกได้ว่าได้ผลเป็นอย่างดี
“ผมรู้แล้ว ผมจะหางานทำที่นี่สักหน่อย ถ้าเก็บเงินได้สักนิดแล้วจะกลับไป คุณเองก็ไม่ต้องทำเต้าหู้แล้ว ดูแลลูกให้ดี เลี้ยงกระต่ายกับสัตว์ตัวอื่น ๆ ให้ดี รอผมกลับไปแล้วกัน” พี่สี่จ้าวพูด
“อะไรนะ คุณไม่ได้จะกลับมาทันทีเลยเหรอ? คุณจะอยู่ที่นั่นอีกนานแค่ไหน?” พี่สะใภ้สี่จ้าวร้อนใจ “ฉันอยู่บ้านคนเดียว บ้านใหญ่โตแบบนั้น ฉันก็กลัวเป็นเหมือนกันนะ!”
“ผมจะให้แม่ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณสักพัก ผมทำเงินหายไปแล้ว ให้ผมกลับไปแบบนี้คงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ไม่ว่ายังไงก็ต้องหาเงินส่วนนี้กลับมาให้ได้!” พี่สี่จ้าวพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่งั้นผมก็จะไม่กลับไป!”
พี่สะใภ้สี่จ้าวใจเย็นลงครึ่งหนึ่งแล้ว นี่มันอะไรกัน จะหาเงินที่ทำหายไปกลับคืนมาอย่างนั้นเหรอ! หล่อนจึงถามอย่างระมัดระวังว่า “เงินที่คุณเอาไปจากที่บ้านหายหมดเลยเหรอ? คุณไม่ได้เย็บใส่ไว้ด้านในกางเกงเหรอ?”
พี่สี่จ้าวไม่ได้เย็บกระเป๋าเงินใส่ไว้ด้านในกางเกง เพราะหยิบออกมาใช้ไม่สะดวก จึงใส่ไว้ใส่กระเป๋าด้านในเสื้อ ใครจะไปคิดว่ามันจะหายไป หากรู้ว่าจะหายไป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงเย็บใส่ไว้ด้านในกางเกง!
“ผมเอามาไม่เยอะ ผมก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าเอาไปฝากธนาคารหมดแล้ว เอามาแค่สิบหยวนเท่านั้น” พี่สี่จ้าวกล่าว
เดิมทีเขาอยากพูดความจริง แต่เมื่อคิด ๆ ดูแล้วไม่พูดดีกว่า เพื่อไม่ให้พี่สะใภ้สี่จ้าวโวยวายร้องแรกแหกกระเชอ
ต่อให้เป็นเงินสิบหยวนพี่สะใภ้สี่จ้าวก็ปวดใจอยู่ดี แต่พี่สามจ้าวไม่ได้บอกจำนวนเท่านี้
“พี่สามจะไปรู้ได้ยังไงว่าผมเอามาเท่าไหร่!” พี่สี่จ้าวตอบ “พอแล้ว ค่าโทรศัพท์แพงมาก ผมอยู่นี่ก็สบายดี คุณไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าไม่มีอะไรผมวางนะ” พี่สี่จ้าวพูด
พี่สะใภ้สี่จ้าวยังคงกำชับอีกสองสามประโยคให้พี่สี่จ้าวรีบกลับมา ก่อนจะวางสายด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์
“พี่สี่ของเธอนี่มันผีขาดคุณธรรมจริง ๆ เงินหายก็ยังไม่ยอมกลับมา ไม่คิดบ้างเลยว่าพวกเราแม่ลูกที่รออยู่ที่บ้านจะใช้ชีวิตกันยังไง!” หลังจากพี่สะใภ้สี่จ้าววางสายก็หันมาบ่นกับเย่ฉูฉู่
“คนน่ะไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่สี่อยากอยู่ที่นั่นสามสี่วันก็ให้เขาอยู่ไปเถอะ” เย่ฉูฉู่กล่าว “พี่สี่ทำเงินหายก็คงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ถ้าหาเงินได้สักหน่อยก็ดีนะ ถึงเวลานั้นจะได้ซื้อเสื้อใหม่ให้พี่สะใภ้สี่ด้วยไงคะ ดีจะตายไป!”
พี่สะใภ้สี่จ้าวเช็ดน้ำตาพลางหัวเราะเยาะ “คาดหวังกับคนแบบเขาเนี่ยนะ อย่าเลย โตขนาดนั้นยังทำเงินหาย มีแบบนี้ด้วยเหรอ? หนีไปแบบไม่บอกไม่กล่าวสักคำ คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเป็นเด็กสามขวบ!”
เย่ฉูฉู่ปลอบใจ “พี่สะใภ้สี่ พี่อย่าพูดเลยค่ะ พี่สี่เองก็ไม่ได้อยากให้เงินหายหรอก”
พี่สะใภ้สี่จ้าวถอนหายใจ “ชีวิตของฉันนี่นะ ทำไมถึงได้ลำบากแบบนี้ ไม่มีลูกชาย ตอนนี้สามีก็ไม่อยู่บ้านอีก พี่สะใภ้รองก็มาอยู่กับฉันทุกวันไม่ได้ ให้ตายเถอะ เขาสะบัดตูดหนีและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้ว แล้วก็ทอดทิ้งพวกเราแม่ลูกให้รับกรรม!”
“ให้คุณแม่มาอยู่เป็นเพื่อนพี่สักสามสี่วันสิคะ” เย่ฉูฉู่พูดอย่างจนปัญญา
อันที่จริงพี่สะใภ้สี่ไม่อยากเรียกคุณแม่จ้าวมาอยู่เป็นเพื่อนเลย เพราะเวลาแม่สามีไม่ถูกใจก็จะบ่นหล่อน โดยเฉพาะทัศนคติของหล่อนที่มีต่อลูกก็ไม่เป็นที่ถูกใจของคุณแม่จ้าวด้วย พี่สะใภ้รองจ้าวไม่ได้พูดอะไร แต่พี่สะใภ้รองจ้าวก็มาอยู่เป็นเพื่อนหล่อนทุกวันไม่ได้ แล้วยังไม่รู้ว่าพี่สี่จ้าวจะกลับมาตอนไหน หล่อนก็คงทำได้แค่เรียกแม่สามีมาอยู่เป็นเพื่อน
“ไอ้คนขาดคุณธรรม!” พี่สะใภ้สี่จ้าวด่าพี่สี่จ้าวอีกครั้ง
เย่ฉูฉู่อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าตนเองเป็นพี่สี่จ้าว ก็คงไม่กลับมาตลอดทั้งชีวิตเหมือนกันนั่นแหละ!
พี่สี่จ้าวทางฝั่งนี้หลังจากวางสายก็หันมาพูดกับเย่หมิงเป่ยว่า “รบกวนพวกคุณแล้ว”
เย่หมิงเป่ยรีบพูดว่า “พี่สี่ อย่าพูดแบบนี้สิ พวกเราเป็นญาติกันนะ พูดแบบนี้ทำเหมือนเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ พี่สี่ หลังจากนี้พี่วางแผนไว้หรือยัง?”
เย่หมิงเป่ยบอกไปแล้วว่าจะให้พี่สี่จ้าวอยู่ที่นี่เพื่อหาเงินสักหน่อย แต่ก็ยังไม่ได้หางานให้พี่สี่ ถึงอย่างไรนี่ก็เพิ่งผ่านไปแค่คืนเดียว
พี่สี่จ้าวตอบ “ตอนที่ฉันออกมาคิดไว้ว่าจะมาหาเงินนี่แหละ ฉันได้ยินเจ้าหกบอกว่าทางใต้หาเงินง่าย ก็เลยอยากไป คิดไม่ถึงเลยว่าเงินจะหายซะก่อน”
“ตอนนี้ขโมยเยอะมาก ทางใต้ก็ไม่ค่อยสงบด้วย มีการโจรกรรมเยอะ พี่สี่ เมืองหลวงก็ไม่เลวนะ ไม่ได้แย่ไปกว่าทางใต้เลย ผมอยากให้พี่อยู่ที่นี่ก่อนสักสามสี่วัน ปรับตัวให้ชินก่อน จากนั้นค่อยดูอีกทีว่าทำอะไรได้บ้าง หาเงินเสร็จก็จะได้กลับบ้านช่วงข้ามปีพอดี พี่คิดว่าไงล่ะ?” เย่หมิงเป่ยกล่าว
พี่สี่จ้าวพยักหน้า “ก็ได้ ฉันขอปรับตัวให้คุ้นชินก่อน เอ่อ ส่วนเงินค่ากินกับค่าอยู่รอให้ฉันหาเงินได้จะคืนให้นะ”
เย่หมิงเป่ยกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “พี่สี่ พี่พูดอะไรเนี่ย! ที่พักกับของกินจะมาเก็บเงินพี่ได้ไง! ไปเถอะ ตอนเที่ยงไปที่บ้านผม แม่กับป้าทำอาหารไว้แล้ว พวกเราไปกินข้าวที่นั่นกัน”
พี่สี่จ้าวตอบ “ก็ได้”
เย่หมิงเป่ยขี่จักรยานพาพี่สี่จ้าวกลับบ้าน ระหว่างกลับก็แนะนำสถานที่โดยรอบไปพลาง ๆ พี่สี่จ้าวก็จดจำไปด้วย ทั้งยังจับตาดูข้อมูลรับสมัครงาน ทว่ากลับไม่มีงานที่เหมาะสม ส่วนใหญ่ต้องการพนักงานหญิง ส่วนงานของผู้ชายจะเป็นงานกรรมกรแบกหาม
เขาเคยได้ยินมาจากจ้าวเหวินเทาแล้ว งานกรรมกรแบกหามเป็นงานหนักออกแรงเยอะ ได้เงินไม่มาก ทั้งยังทำให้ร่างกายบาดเจ็บด้วย อย่ามองว่าตอนนี้เขาทำเงินหายไปแล้วและอยากได้เงินมาก ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นสิ้นไร้ไม้ตอก เขาจะไม่ทำงานที่ทำให้ร่างกายบาดเจ็บ จ้าวเหวินเทาเคยบอกไว้ว่า ร่างกายคือเงินทุน ต่อให้ไม่ได้เงินก็อย่าได้ทำให้เงินทุนหายไป เขาเองก็คิดเช่นนั้น
เมื่อมาถึงบ้านที่เย่หมิงเป่ยเช่าอยู่ พี่สี่จ้าวเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นบ้านชั้นเดียว นอกจากนี้ในลานใหญ่หนึ่งแห่งก็ยังมีคนอาศัยรวมกันหลายครอบครัว หนึ่งครอบครัวมีห้องแค่สองสามห้อง หนึ่งในนั้นยังมีห้องที่กั้นขึ้นมาเองด้วย รวมเข้ากับข้าวของเครื่องใช้ก็เต็มแล้ว แม้แต่ที่จะวางเท้าก็ยังไม่มีเลย ในที่สุดเขาก็เข้าใจที่จ้าวเหวินเทาพูดแล้ว ที่อยู่อาศัยของคนในเมืองสู้ในชนบทไม่ได้เลย ที่นี่อุดอู้เกินไปแล้ว!
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่สะใภ้สี่เป็นแบบนี้ พี่สี่จะกล้ากลับมาเหรอถามจริง ถ้ามีที่ไหนอยู่แล้วสบายใจกว่าก็คงจะอยู่ที่นั่นยาวๆ แหละ
ไหหม่า(海馬)