ตอนที่ 366 นี่ต่างหากล่ะที่เรียกว่าญาติ

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

ตอนที่ 366 นี่ต่างหากล่ะที่เรียกว่าญาติ

ตอนที่ 366 นี่ต่างหากล่ะที่เรียกว่าญาติ

เย่ฉูฉู่เหลือบมองลูกชายปราดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังเล่นกับไฉไฉและไม่ได้หันมามองทางนี้ เธอจึงเบาใจลง จากนั้นจึงพูดกับจ้าวเหวินเทาว่า “ฉันยังพูดไม่จบเลย พี่สะใภ้สามของฉันทำงานอยู่ในเมืองหลวงหาเงินได้เยอะขนาดนั้น ไม่ใช่เพราะเรียนหนังสืออยู่ที่นั่น หรือเข้าใจสถานที่ตรงนั้น แต่เป็นเพราะพี่สะใภ้สามของฉันมีความสามารถ!”

จ้าวเหวินเทารีบพูด “ใช่ ๆ พี่สะใภ้สามของคุณเป็นคนที่เงินได้เก่งที่สุดแล้ว!”

“มันก็แน่นอนอยู่แล้วค่ะ!” เย่ฉูฉู่แค่นเสียงจากลำคอด้วยท่าทางภาคภูมิใจ

ในช่วงค่ำจ้าวเหวินเทาโทรศัพท์ไปที่บ้านของเย่หมิงเป่ยอีกครั้ง “พี่สาม ผมเหวินเทานะ”

“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายต้องโทรมา” เย่หมิงเป่ยยิ้ม “ฉันให้พี่สี่ของนายไปพักอยู่ที่โรงงานเสื้อผ้าแล้ว ห้องที่ฉันเช่ามันเล็กเกินไป นอนไม่พอน่ะ”

เย่หมิงเป่ยอธิบายให้ฟังเล็กน้อย จ้าวเหวินเทาก็พอจะเข้าใจได้ เขาไม่เคยไปเมืองหลวง แต่เคยเข้าไปในเมือง จึงรู้ว่าบ้านพักในเมืองคับแคบขนาดไหน เขาจึงไม่ได้ถือสาแม้แต่น้อย

“รบกวนพวกพี่สามแล้ว พี่สี่ของผมคนนี้นี่จริง ๆ เลย คิดจะไปเมืองหลวงก็ไปแบบไม่บอกใครเลย เฮ้อ จนปัญญาจริง ๆ” จ้าวเหวินเทากล่าว

“พูดอะไรของนาย พวกเราก็คนกันเองทั้งนั้น นายเห็นเป็นคนนอกไปได้” เย่หมิงเป่ยเป็นคนเริ่มพูดถึงเรื่องที่พี่สี่จ้าวทำเงินหายก่อน “พี่สี่ของนายบอกฉันว่าจะไปหางานทำที่ทางใต้ แต่ถ้าจะไปทางใต้ต้องเปลี่ยนรถที่เมืองหลวงก่อน ก็เลยมาที่นี่ คนที่มาเมืองหลวงมีเยอะมาก ในรถก็เบียดเสียดสุด ๆ เขาเลยไม่รู้ว่าทำเงินหายไปตั้งแต่เมื่อไร จนกระทั่งมาถึงเมืองหลวงแล้วลงจากรถเพื่อซื้อตั๋ว ถึงได้รู้ว่าเงินหายไปแล้ว”

 

พี่สี่จ้าวค้นพบว่าเงินหายไปแล้ว จ้าวเหวินเทาพอจะจินตนาการถึงอารมณ์ในตอนนั้นของพี่สี่ได้

“พี่สี่ของนายไม่มีเงินแล้วก็คงจะทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันแหละ เลยเดินรอบสถานีรถโดยสารหวังว่าจะตามตัวคนที่ขโมยเงินไปได้ นายคิดว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ คนที่เป็นผู้รักษาความปลอดภัยของสถานีรถโดยสารเห็นเขาดูมีพิรุธ เลยจับส่งสถานีตำรวจ พี่สี่ของนายเลยทำอะไรไม่ได้ ถึงได้บอกช่องทางการติดต่อมาหาพวกฉัน ไม่งั้นเขาคงได้หาคนอยู่ตรงนั้นแหละ นายคงไม่รู้ ตอนที่เขาขึ้นรถไฟ เขากินแค่แป้งจี่ที่หยิบมาจากบ้านแผ่นเดียว พอฉันไปรับ ฉันก็เห็นเขากดน้ำก๊อกที่สถานีรถไฟมาดื่มด้วย ยังไม่ได้กินอะไร แถมยังไม่ได้นอนด้วย” เย่หมิงเป่ยถอนหายใจ “พอฉันได้ฟังเรื่องนี้จบฉันก็ไม่กล้าพูดอะไรเลย เลยพาเขาไปกินข้าวแล้วก็ให้ไปนอนที่โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า”

 

จ้าวเหวินเทาแอบรู้สึกรับไม่ได้อยู่ภายในใจ คนในชนบทกว่าจะเก็บเงินส่วนนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพี่สี่จ้าวที่ไม่ได้ค้าขายเป็นเหมือนเขา เขายังพอมีเงินเย็นเก็บอยู่นิดหน่อย แต่เงินที่พี่สี่จ้าวหาได้ทั้งหมดนั้นคือเงินประทังชีวิต

 

“พี่สาม แล้วพี่สี่ของผมได้บอกไหมว่าจะกลับมาตอนไหน?” จ้าวเหวินเทาถาม

“ไม่ได้บอก ฉันเองก็ไม่ได้ถาม เหวินเทา ฉันคิดว่านะ ถ้าปล่อยให้พี่สี่ของนายกลับไปแบบนี้เกรงว่าคงไม่ได้หรอก เงินหายไปตั้งเยอะขนาดนั้น ต่อให้คนในบ้านไม่โทษเขา เขาก็คงข้ามผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้อยู่ดี ฉันกับพี่สะใภ้สามของนายคุยกันแล้ว พี่สะใภ้สามของนายจึงคิดว่าจะให้พี่สี่ของนายอยู่ที่นี่สักพัก รอให้หาเงินได้สักนิดแล้วค่อยกลับไป ไม่ว่าจะได้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็คงช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นได้บ้าง แต่ฉันไม่รู้ว่าครอบครัวพี่สี่ของนายทางฝั่งนั้นจะโอเคหรือเปล่า” เย่หมิงเป่ยกล่าว

อันที่จริงจ้าวเหวินเทาก็คิดเช่นนี้ เพียงแต่เขารู้สึกไม่ดีที่จะพูดออกไป ถึงอย่างไรพี่สี่ก็ไม่เหมือนกับเสี่ยวหม่า เสี่ยวหม่าเป็นคนที่โจวหมิ่นอยากได้ตัว ส่วนพี่สี่จ้าวกลับไปที่นั่นด้วยตนเอง อีกอย่างเย่หมิงเป่ยก็ไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ ของตนเอง ขอร้องมากเกินไปก็ไม่ดี

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่นจะเสนอความคิดนี้ออกมา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกซึ้งใจอย่างมาก “พี่สาม ผมไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ถ้าพี่สี่ของผมอยู่ที่นั่นเพื่อหาเงินสักนิดแล้วค่อยกลับมา แบบนั้นคงดีมาก ๆ เลย พี่เองก็รู้ดีว่าชีวิตในชนบท การเก็บเงินไม่ใช่เรื่องง่าย พี่สี่ผมไม่เหมือนกับผม เงินทั้งหมดของเขาได้มาจากการประหยัดอดออมทั้งนั้น ทำเงินหายทั้งหมดแบบนี้ผมกลัวจริง ๆ ว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเขา! พี่สาม ขอบคุณมากนะ ขอบคุณพี่สะใภ้สามด้วย!”

 

เย่หมิงเป่ยยิ้ม “พอแล้วเหวินเทา นายไปหัดพูดจาเวิ่นเว้อยาวเหยียดตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย! นายเห็นด้วยแล้ว แล้วพี่สะใภ้สี่ของนายล่ะ เรื่องนี้คงต้องบอกพี่สะใภ้สี่ของนายสักหน่อยนะ?”

  

“ก็คงต้องบอกแหละ พรุ่งนี้ตอนเที่ยงแล้วกัน เดี๋ยวผมโทรศัพท์ไปที่โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของพี่ พี่ก็เรียกพี่สี่มารับสายหน่อยนะ จะได้ให้พวกเขาคุยกันเอง”

แม้ว่าจ้าวเหวินเทาจะไม่สนใจว่าพี่สะใภ้สี่จะคิดเห็นอย่างไร แต่ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็เป็นสามีภรรยากัน เขาในฐานะน้องชายก็ควรจะบอกสักคำ

“พี่สาม นิสัยของพี่สี่เป็นคนตรง ๆ แถมยังซื่อด้วย การศึกษาก็ไม่ได้สูง ที่นั่นจะมีงานที่เหมาะสมกับเขาไหม?” จ้าวเหวินเทาถาม

“งานน่ะมีอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือจะได้มากหรือได้น้อย งานมันก็มีทั้งงานที่สกปรกและอาจใช้แรงงานหนักด้วย ถ้าพี่สี่ของนายไม่เลือกงาน งานที่ได้เงินเยอะ ๆ ฉันคงยืนยันไม่ได้ แต่ถ้าเป็นงานที่ได้เงิน 50-60 หยวนมีให้ทำอยู่แล้ว ส่วนที่พักก็อยู่ที่โรงงานเสื้อผ้านี่แหละ ของกินเดี๋ยวฉันเอาไปให้ ได้เงินมาเท่าไรก็เก็บเท่านั้น” เย่หมิงเป่ยพูดอย่างจริงจัง

จ้าวเหวินเทากล่าว “พี่สาม ไม่ต้องรบกวนพี่ขนาดนั้นหรอก นอนก็ให้นอนอยู่ที่โรงงานเสื้อผ้านั่นแหละปลอดภัยดี ส่วนเรื่องอาหารการกิน พี่ให้พี่สี่ซื้อเองเถอะ”

หากให้ดูแลทั้งเรื่องกินและที่พัก คงรู้สึกไม่ดีจริง ๆ

เย่หมิงเป่ยยิ้ม “เอาเถอะ นายไม่ต้องสนใจหรอก เออนี่ เสี่ยวไป๋หยางเดินได้แล้วใช่ไหม?”

เมื่อพูดถึงเสี่ยวไป๋หยาง จ้าวเหวินเทาก็รู้สึกผ่อนคลายทันที “เดินได้แล้ว เดินคล่องมากด้วย แถมยังเรียกพ่อ แม่ ปู่ ย่า ไฉไฉได้แล้ว พูดแบบทีละคำนั่นแหละ เยว่เยว่ล่ะ?”

“เยว่เยว่เรียกพ่อกับแม่ได้แล้ว ถ้าประคองก็พอจะเดินได้แล้ว แต่ลูกฉันเป็นเด็กขี้เกียจ ชอบนอน” เย่หมิงเป่ยพูดถึงลูกสาว น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความรัก

ผู้ชายสองคนคุยกันเรื่องลูกครู่หนึ่งก็วางสาย

“พี่สี่จะหางานทำอยู่ที่นั่นเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่รีบถาม

จ้าวเหวินเทาหอมแก้มเย่ฉูฉู่ “พี่สามกับพี่สะใภ้สามของคุณช่างดีจริง ๆ!”

เย่ฉูฉู่ชะงัก ผลักเขาออกไปพร้อมกับแค่นเสียงกล่าวว่า “เป็นเพราะพี่สามกับพี่สะใภ้สามของฉันดีก็เลยมาหอมฉันเหรอ?”

“เปล่านะ ๆ ผมก็แค่อยากหอมคุณเฉย ๆ!” จ้าวเหวินเทายื่นหน้าเข้ามาอีกครั้ง

เย่ฉูฉู่ผลักเขาออกด้วยท่าทางรังเกียจ “เลิกวุ่นวายได้แล้ว ลูกนั่งมองอยู่ข้าง ๆ นะ!”

จ้าวเหวินเทาหันมองตามจิตใต้สำนึก จึงพบว่าเสี่ยวไป๋หยางและไฉไฉกำลังนั่งมองพวกเขา จึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มองอะไรกัน ไปเล่นข้าง ๆ สิ!”

เย่ฉูฉู่ทั้งโกรธทั้งขำ “พอได้แล้ว รีบพูดมา พี่สี่อยู่นั่นจะไปทำงานอะไร?”

จ้าวเหวินเทาถอนหายใจ เล่าคำพูดของเย่หมิงเป่ยให้เธอฟังหนึ่งรอบ “พี่สี่ของผมเป็นแบบนั้น คุณว่าจะทำอะไรได้ล่ะ ผมเดาว่างานที่เหมาะกับเขามากที่สุดก็คงเป็นงานกรรมกรแบกหามนั่นแหละ ช่วยขนถ่ายสินค้าให้คนอื่น งานลำบากออกแรงเยอะ!”

เย่ฉูฉู่กล่าว “งานลำบากออกแรงเยอะเหนื่อยเกินไปแล้ว ถ้ายกไม่ดีอาจทำให้ปวดเอวด้วย ให้พี่สี่ไปทำงานแบบนั้นไม่ได้นะ”

“มีงานให้ทำก็ไม่เลวแล้ว ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเขาเอง!” จ้าวเหวินเทาย่อมรู้ดีว่าหากทำงานลำบากที่ต้องออกแรงคงทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ แต่จะทำอะไรได้?

 

“พี่สะใภ้สามของฉันต้องมีวิธีแน่นอน” เย่ฉูฉู่เชื่อมั่นในตัวโจวหมิ่น

“พี่สะใภ้สามของคุณไม่ใช่เทพสักหน่อย” จ้าวเหวินเทาพูดตอบหนึ่งประโยค ทว่าเมื่อเห็นสายตาไม่เป็นมิตรของภรรยา จึงรีบแก้คำพูด “ถูกต้อง พี่สะใภ้สามของคุณต้องมีวิธีแน่นอน!”

เย่ฉูฉู่ทั้งโกรธทั้งขำ ออกแรงหยิกเขาแรง ๆ จนจ้าวเหวินเทาส่งเสียง ‘โอ๊ย’ แบบเกินจริงออกมา เสี่ยวไป๋หยางคิดว่าพ่อกำลังเล่นกับตนเอง จึงเข้ามาและปีนไปที่หน้าของจ้าวเหวินเทาด้วยความตื่นเต้น จ้าวเหวินเทาจึงถูกชนโดยไม่ทันได้ระวังตัว

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

โชคดีของพี่สี่จริงๆ ที่ได้มาเจอญาติของฉูฉู่ ถ้าร่อนเร่อยู่ตัวคนเดียวแบบไม่มีเงินติดตัวสักเหมานี่จะทำยังไงล่ะเนี่ย

ไหหม่า(海馬)