ปั้ง ปั้ง ปั้ง—
แสงบุพผากระจ่างล้อมรอบตัวนางอีกครั้งเป็นการป้องกันอันทรงพลัง แม้ว่ามันจะแตกไปบ้าง มันก็ไม่ใช่สิ่งที่กึ่งเทพจะทำลายได้ง่ายๆ
“เข้ามา!”
ยู่จางร่ายมือหยิบเอาแหวนสีเพลิงออกมา แรงกดดันวิญญาณนั้นเป็นของสมบัติเทพระดับกลางขั้นสูง
สีหน้าของพวกซือหยูเคร่งเครียด ซือหยูสร้างร่างเทียมและรวบรวมต้นกำเนิดน้ำแข็งกับอัคคีพร้อมกัน ฉินจิวหยางจับเส้นผมตัวเองพันรอบนิ้วนาง กังต้าเหล่ยแสดงรูปลักษณ์จริงอันน่าตกใจอีกครั้ง เขาเผยร่างศีรษะมังกรที่มีร่างกายเป็นมนุษย์แต่ก็ยังคงมีแสงฉาบเพื่อกำบังยู่จางเอาไว้ทำให้เขาเพียงดูตัวสูงใหญ่ การต่อสู้ระหวังทั้งสี่จะเริ่มขึ้นในทุกที!
ที่อีกด้าน ภูติน้อยยืนกอดอก มันยิ้มเยาะ
“ฆ่ามัน!”
ซือหยูตะโกนและโจมตีจากทั้งสองด้าน!
ครืน—
ทุกที่สั่นสะเทือนตามการโจมตี พลังมหาศาลมากพอจะสร้างแรงงระเบิดรุนแรง แต่การปะทะกันนั้นกลับไม่ได้เกิดขึ้น!
นั่นก็เพราะว่าทั้งสองฝ่ายนั้นโจมตีไปในทิศทางเดียวกัน…การโจมตีพุ่งเข้าหาภูติน้อย!
ยู่จางกับพวงซือหยูเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดคุย ความบาดหมางระหว่างสองฝ่ายหายไปแทนที่ด้วยศัตรูหนึ่งเดียว พวกเขาร่วมมือโจมตีภูติน้อยพร้อมกัน
สีหน้ายิ้มเยาะของภูติน้อยแทนที่ด้วยความประหลาดใจ มันยังรู้ตัวช้าเกินไปอีกเมื่อพบว่านิ้วนางของตัวเองมีเส้นผมรัดอยู่
ซือหยูผลักต้นกำเนิดทั้งสองธาตุใส่ร่างฉินจิวหยาง ฉินจิวหยางรับการโจมตีอันทรงพลังแต่ก็ไร้รอยขีดข่วน แต่ร่างของภูติน้อยกลับระเบิดออกไป!
ภูติน้อยกระเด็นลอยออกไป กังต้าเหล่ยใช้ร่างใหญ่ยักษ์ปะทะกับมันพร้อมกับเสียงกระดูกของภูติน้อยที่หักดังลั่น และในตอนนั้นก็มีวงแหวนเพลิงปรากฏที่ด้านหลังของมัน
อั่ก—
ภูติน้อยตัวสั่นอย่างแรง มันกระอักเลือดออกมา บุพผาเหนือศีรษะยู่จางเปล่งประกายปกคลุมกลุ่มซือหยู! ทั้งสีมองภูติน้อยที่ถูกการโจมตีของทั้งสี่อย่างต่อเนื่องด้วยความเงียบ ศัตรูนั้นกระแทกเข้ากับด้านหนึ่ง ร่างของมันบาดเจ็บอย่างรุนแรง หมอกพิษแพร่กระจายไปทั่ว
มันกระแอมเบาๆและคลานออกไปช้าๆ มันก้มหน้า สีหน้าของมันบอกไม่ได้
ทันใดนั้นมันก็เงยหน้ายิ้มอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงของมันเยือกเย็นราวน้ำแข็งและเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“หึหึ…”
มันหัวเราะ
“โดนมดปลวกเผ่าพันธุ์มนุษย์หลอกเข้าจนได้! พวกเจ้ามีโอกาสสมคบคิดตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
ซือหยูพูดอย่างชัดเจน
“พวกเราร่วมมือกับยู่จาง ติดต่อผ่านกระแสจิตทั้งแต่ที่สองคนนั้นมาที่นี่ แต่ก่อนจะได้ใช้กระแสจิตกับเจ้าโง่หยางเจี้ยน มันก็พยายามจะรักษาชีวิตตัวเองไว้เสียก่อน มันแน่วแน่นักที่จะสังหารข้า เพื่อให้แน่ใจว่าข้าจะไม่ถูกสงสัย ข้าเลยต้องจัดการกับมันก่อน”
ถ้าหยางเจี้ยนรับรู้ถึงเรื่องนี้ในโลกหน้า…เขาจะโศกเศร้าเพียงใดกัน?
“พวกเจ้าร่วมมือกันแล้วมันจะยังไงเล่า?”
“ต่อหน้าข้า พวกเจ้าก็แค่มดปลวกระดับอำมฤต แค่สะบัดดัชนีข้าก็ฆ่าเจ้าได้…”
มันเผยรังสีพลังอันมหาศาลออกมา แต่ฝ่ายตรงข้ามทั้งสี่คนก็ไม่สะทกสะท้าน
“เจ้ายังเสแสร้งแม้เรื่องจะมาถึงขั้นนี้แล้วรึ?”
“ถ้าเจ้าเป็นขอบเขตภูติจริง ทำไมเจ้าต้องขู่ให้พวกข้าฆ่ากันเองก่อนจะจัดการกับสองคนสุดท้ายเล่า? ข้าสงสัยตั้งแต่แรกแล้ว กระโจมเทพสวรรค์ก็ไม่ปล่อยให้สิ่งที่มีพลังเหนือขอบเขตภูติคงอยู่ได้ แต่เจ้ากลับอยู่ที่นี่ได้โดยไร้ปัญหา นั่นแสดงถึงฐานพลังที่ยังไม่ถึงขอบเขตภูติ! ถ้าข้าเดาไม่ผิด กระบวนท่าเมื่อครู่นั้นใช้พลังของเจ้าไปมากมายเพื่อทำให้พวกข้ากลัว ตอนนี้เจ้าคงอ่อนแอมากแล้ว!”
ถ้าอีกฝ่ายเป็นขอบเขตภูติจริง มันจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าซือหยูกับคนที่เหลือใช้กระแสจิตพูดคุยกันตรงหน้า? ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพลังระดับภูติ มันจะเป็นอิสระจากอสุราด้วยตัวเองไม่ได้เชียวรึ?
แต่เมื่อภูติน้อยได้ยินซือหยูมันก็ไม่หงุดหงิด มันกลับหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าๆๆๆ! น่าสนใจนัก เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก! ใช่แล้ว! ข้าเจ็บหนักมาก่อนและหนีมาที่นี่เพื่อไม่ให้ถูกสังหาร ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าไปอยู่ในร่างอสุรา แต่ข้าก็ไม่คิดว่าบาดแผลของข้าจะย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมจนทำให้ข้าติดอยู่ภายในอสุรานั่นจนหนีออกมาไม่ได้! พลังของข้าตอนนี้เหลือแค่หนึ่งในร้อยส่วน! แต่..หึหึ…”
มันหัวเราะอีกนาน
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะต่อต้านข้าได้เรอะ? อนิจจา ความคิดอ่านของเจ้ามันใช้ไม่ได้!”
มันอ้าปากปล่อยหมอกทมิฬออกมา มีเหรียญโลหิตอยู่ในหมอกนั้น! มีคำว่า “หมื่น” สลักเอาไว้ด้วยกระดูกมนุษย์
ซือหยูกับคนที่เหลือไม่เข้าใจ แต่ยู่จางนั้นเริ่มตัวสั่น แววตานางมีแต่ความหวาดกลัว เสียงของนางสั่นเครือ
“เหรียญพันธนาการภูติ! เป็นไปได้ยังไง? บันทึกบอกว่าทูตพันธนาการภูติส่วนใหญ่ถูกสังหารไปในสงครามระหว่างมนุษย์กับภูติเมื่อร้อยปีก่อน เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง?”
คำว่า “พันธนาการภูติ” นั้นดูจะเป็นคำต้องห้ามที่น่ากลัวที่ทำให้แม้แต่ยู่จางผู้เยือกเย็นยังหวั่นใจ
“หึ เผ่ามนุษย์ยังจำพวกข้าได้สินะ…ทูตพันธนาการภูติ”
ภูติน้อยหัวเราะอย่างชั่วร้าย มันคว้าเหรียญพันธนาการภูติเอาไว้
ซือหยูยังคงสับสนแต่กังต้าเหล่บนั้นถอยหลังไปหลายก้าว ในดวงตานั้นแสดงความตกใจ!
ฉินจิวหยางชักสีหน้า
“น้องต้าเหล่ย แม่นางยู่จาง พันธนาการภูติคือสิ่งใดกัน? แล้วเหรียญนั่นอีก?”
กังต้าเหล่ยตัวสั่นไปถึงวิญญาณ ความกลัวปกคลุมกาย เสียงของเขาสั่นระริก
“พันธนาการภูติคือกลุ่มชั่วร้ายที่ปรากฏในจิวโจวเมทื่อร้อยปีก่อน มันสังหารมนุษย์ไปมากกว่าเก้าในสิบส่วนในคราเดียว เผ่ามนุษย์เกือบจะสูญสิ้นไปด้วยฝีมือพวกมัน! มันมีแค่หมื่นคนแต่ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าทีร่เจ้าจะคิดได้! แม้แต่คนที่อ่อนด้อยที่สุดที่ลำดับหมื่น….ก็เอาชนะอาจารย์ข้าได้ในดัชนีเดียว!”
ซือหยูอ้าปากค้าง! เขาไม่รู้ว่าจิวโจวนั้นกว้างใหญ่เท่าใด แต่ชายแก่ขี้เมาที่เป็นอาจารย์ของกังต้าเหล่ยคนนั้นรับไม่ได้แม้แต่ดัชนีเดียวของลำดับที่หมื่นงั้นรึ?
“เช่นนั้น…ระดับพลังมันคืออะไรกัน?”
ซือหยูตกใจเกินกว่าจะพูดออกมา
กังต้าเหล่ยพูดออกมาด้วยความกลัว
“จ้าวเทวะ!”
จ้าวเทวะ!
ซือหยูอ้าปากค้าง! ภูติน้อยตรงหน้าพวกเขาที่บาดเจ็บหนักคือจ้าวเทวะ!
กังต้าเหล่ยไม่คิดจะสู้ต่อไปอีก
“เราต้องพยายามหนี แต่มันก็โชคดีแล้วถ้าใครคนใดคนหนึ่งรอดไปได้!”
ฟึ่บ–
ยู่จางหนีไปก่อนใคร นางไม่คิดจะต่อสู้อีกต่อไป
ซือหยูหนาวจนถึงกระดูกสันหลัง เขาเริ่มหันหนีเช่นกัน
ภูติน้อยยิ้มเยาะ
“เจ้าคิดว่าจะหนีไปได้หลังจากที่บังคับให้ข้าต้องใช้เหรียญพันธนาการภูติเรอะ?”
ภูติน้อยอ้าปากพ่นโลหิตใส่เหรียญพันธนาการภูติ ในตอนนั้น เหรียญส่องแสงสีโลหิต พลังโลหิตแดงฉานเปล่งประกายรอบเหรียญ
ตู้ม—
เมื่อพลังโลหิตนั้นสัมผัสกับผิวภายในกะโหลกยักษ์ กะโหลกก็ระเบิดในทันที แม้แต่ซือหยูกับพรรคพวกที่กำลังหนีก็หลบพลังนั้นไม่พ้น!
อ๊าก—
พลังมาถึงฉินจิวหยาเงป็นคนแรก เขากรีดร้องอย่างน่าเวทนา โลหิตพุ่งออกจากรูขุมขน เขาหมดสติไปในทันที แสงรอบตัวกังต้าเหล่ยนั้นหายไปในพริบตา ร่างใหญ่ของเขาฉีกกลับมาเป็นสภาพปกติ ร่างกายนั้นเต็มไปด้วยโลหิต เขาตกลงไปกับพื้นอยู่ในระหว่างความเป็นความตาย
แม้แต่ยู่จางที่หนีเป็นคนแรกก็ถูกพลังโลหิตนั้น ม่านบุพผารอบกายนางขัดขืนพลังได้เพียงครู่เดียวก่อนจะฉีกขาด นางร่วงลงไปกับพื้นอย่างแรง
พลังนั้นหายไป ฝุ่นควันสงบลง กลุ่มซือหยูอยู่กับพื้น ชะตามิอาจทราบได้ พวกเขาต่อสู้รับมือกับภูติน้อยได้ แต่แค่พลิกฝ่ามือต่อมาพวกเขาก็ตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้
ฟึ่บ–
หมอกภูติฟุ้งกระจาย ภูติน้อยบินเข้ามาด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น มันลอยมือไพล่หลัง
“พวกเจ้ายังด้อยประสบการณ์เกินกว่าจะต่อสู้กับข้า…”
แต่ในตอนนั้นเอง ภูติน้อยเลิกคิ้ว มันจ้องมองซือหยูอย่างแปลกๆ
“หา?”
ซือหยูที่นอนอยู่บนพื้นนั้นหมดสติไปแล้ว แต่เขากลับกลายเป็นเพลิงที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“กายาเทียม!”
มันคิดย้อนกลับไปในตอนที่ซือหยูใช้ร่างเทียมในการใช้วิชาเมื่อครู่! มันตกตะลึง หากร่างเทียมยังอยู่ก็หมายถึงร่างหลักที่ไม่เป็นอันตราย!
“มองหาข้าอยู่รึไง?”
เสียงอันเยือกเย็นดังมาจากด้านหลัง
ภูติน้อยหันไปมองอย่างไม่เชื่อสายตา ซือหยูยืนอยู่ข้างหลังมันพอดิบพอดี! เขาสวมเกราะทมิฬและสีหน้าสุขสงบ เขายืนมือไพล่หลัง เขาไม่ได้บาดเจ็บแม้แต่น้อย มีเพียงเส้นผมสีแดงที่ยุ่งไปบ้าง
“เจ้าไม่บาดเจ็บเลยเยอะ? ไม่อยากจะเชื่อ”
มันสงสัยกับเกราะทมิฬที่ซือหยูสวม
“หืม…เกราะนั่น สมบัติวิญญาณระดับสูง! ทำมาจากกระดูกจ้าวเทวะกับศิลานิรันดร์ที่หายาก!”
มันจ้องมองซือหยูอย่างระวัง
“เจ้าเป็นใครกัน? ทำไมเจ้าถึงมีสมบัติวิญญาณระดับสูงไว้ปป้องกันตัวได้?”
ซือหยูมองดูกังต้าเหล่ยและคนที่เหลือ เขารับรู้ได้ว่าคนเหล่านั้นยังคงมีพลังชีวิตเหลืออยู่ เขาถอนหายใจเบาๆ
“โชคดีที่พวกเขาไม่ตาย…”
“ตอนนี้ข้าจะได้สู้ด้วยพลังทั้งหมดของข้า!”
“เจ้าหนู ข้าถามเจ้าอยู่นะ!”
ภูติน้อยพูดโดยมิอาจละสายตาไปจากชุดเกราะของซือหยู
แม้แต่มันก็หมายตาชุดเกราะนี้
ซือหยูมองอย่างเยือกเย็น
“เจ้าที่กำลังจะตายไม่ต้องมารู้เรื่องนี้หรอก!”
ภูติน้อยหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว
“มันก็อาจจะต้องระวังถ้าพวกของเจ้ายังต่อสู้ได้! แต่เหลือแค่เจ้าคนเดียว…เจ้าจะทำอะไรข้าได้เรอะ ด้วยพลังต้นกำเนิดนั่นน่ะรึ?”
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้…”
เข็มเหล็กคมกริบพุ่งออกมาจากพื้นที่ร่างเทียมสลายไป ปลายเข็มนั้นเปล่งแสงอ่อนๆ มันคือพิษร้ายแรง
เข็มเหล็กพุ่งออกมาอย่างไร้คำเตือน แม้แต่ภูติน้อยก็ไม่คิดว่าจะมีการโจมตีมาจากด้านหลัง! แต่เพียงขยับตัวเล็กน้อยมันก็หลบการลอบโจมตีจากเข็มได้อย่างไม่ยากเย็น
“หึหึ! คิดจะจัดการกับข้าด้วยการลอบโจมตีรึ?”
“จะไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!”
มันพุ่งเข้าใส่ซือหยูอย่างรวดเร็วและมองตามไม่ทัน!
ฟึ่บ–
ฟึ่บ–
ฟึ่บ–
เสียงกรีดอากาศมากมายดังขึ้น เข็มเหล็กมากมายพุ่งออกมาจากพื้นอย่างรวดเร็ว มันสร้างข่ายพลังจากมุมที่แตกต่างกันเก้ามุม! และข่ายพลังนั้นก็ล้อมรอบภูติน้อยได้สำเร็จ
เข็มเหล็กพุ่งเข้าใส่มัน โครงสร้างคล้ายใยแมงมุมเกิดจากการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของเข็ม ใครที่ติดอยู่ในนี้ก็สิ้นหวังที่จะหลบเลี่ยง!
“อ๊ากก!”
มันกรีดร้องด้วยความตกใจ
“นี่มัน…นี่มันเพลงกระบี่เก้าสุริยะ!”
ในตอนนั้น ร่างของภูติน้อยถูกเข็มทะลวงผ่าน มันกรีดร้องเสียงแหลมไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดแต่เป็นความกลัว ดูเหมือนว่ามันจะหวาดกลัวเพลงกระบี่เก้าสุริยะอย่างมาก