ภาคที่ 4 ตอนที่ 14 ความสุขมักได้มาในยามยาก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

นายหญิงใหญ่ฟางรู้สึกว่าตอนนี้บ้าบออยู่บ้างแล้วจริงๆ 

 

 

นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนผู้หนึ่งใช้เงินจะใช้ได้มากมายปานนี้ 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียว สถานะทางบ้านของนางดีเยี่ยมตั้งแต่เล็กก็ไม่ขาดแคลนเงิน เมื่อแต่งมายังตระกูลฟางยิ่งได้เจอคลังเงิน ต่อให้นายท่านผู้เฒ่าฟางกับนายท่านฟางพบเรื่องไม่คาดฝันตามต่อกัน ความลำบากในบ้านก็เป็นเพียงความเหนื่อยยากทางจิตใจรวมถึงกิจการเท่านั้น เงินไม่เคยขาดมาก่อน 

 

 

นางที่เป็นเช่นนี้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรู้สึกว่าเงินเป็นเรื่องใหญ่อะไร เลี้ยงเด็กๆ ในบ้านอย่างฟุ่มเฟือยสำหรับนางแล้วก็ไม่สนใจสักนิด 

 

 

แต่นางยังคงถูกความฟุ่มเฟือยของคุณหนูจวินทำให้ตื่นตะลึงแล้ว 

 

 

ค่าใช้จ่ายก่อนหน้านี้ที่เมืองหลวงเพื่อเปิดร้าน ลงทุนมากเท่าไรก็ไม่เป็นไร การค้าไหม นายหญิงใหญ่ฟางไม่ใช่คนไม่เข้าใจการค้า ต่อมาการปลูกฝีก็เป็นเช่นนี้ แม้เป็นหมอใจเมตตาช่วยโลกช่วยผู้คนก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งเหล่านี้ล้วนได้ผลตอบแทน รางวัลพระราชทานจากราชสำนัก ชื่อเสียงของโรงหมอจิ่วหลิง กำไรน้อยแต่ขายได้มากของหน่อฝี ยาราคาสูงที่ทุกผู้ทุกคนล้วนแย่งชิง 

 

 

เงินเหล่านั้นที่ใช้ไปก่อนหน้านี้ วันนี้โรงหมอจิ่วหลิงก็ได้คืนกลับมาแล้ว 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางเคยตรวจสมุดบัญชีมาก่อน เงินที่เต๋อเซิ่งชางจ่ายไปตอนแรกล้วนได้คืนมาแล้ว นอกเหนือจากนี้ยังเหลือเงินก้อนใหญ่เข้ามาอีก 

 

 

แน่นอนตอนนี้เงินที่โรงหมอจิ่วหลิงเก็บออมเข้ามาล้วนใช้จ่ายออกไปหมดแล้ว นอกจากนี้เต๋อเซิ่งชางยังมีเงินก้อนใหญ่ๆ ไหลไปแดนเหนืออีก 

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ จำนวนมากจนทำให้นายหญิงใหญ่ฟางกัดลิ้น 

 

 

“นี่เมืองแห่งหนึ่งก็ซื้อได้แล้ว” นางเอ่ย “ที่แท้นางทำอะไรกันแน่?” 

 

 

“ก็แค่ซื้อข้าวซื้อของเท่านั้น” ฟางเฉิงอวี่หัวเราะเอ่ย “ท่านแม่ท่านก็รู้ว่าวันนี้ราคาข้าวของที่แดนเหนือแพง ข้าวของมากมายล้วนซื้อหาไม่ได้ จะรีบใช้ย่อมต้องเอาเงินฟาด” 

 

 

“แดนเหนือเป็นเช่นนั้นแล้ว นางยังอยู่ที่นั่นทำอะไร?” นายหญิงใหญ่ฟางคิดเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ 

 

 

“ก็คงมีเรื่องที่ต้องทำ” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ย “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล” 

 

 

จะไม่กังวลได้อย่างไร! เด็กสาวคนนี้ไม่มีสักวันทำให้คนวางใจจริงๆ เงินที่ใช้ครั้งหนึ่งมากกว่าอีกครั้งหนึ่ง จะเป็นแบบนี้ต่อเนื่องอีกนานเท่าไร? คงไม่ใช่ทั้งชีวิตล้วนเป็นเช่นนี้กระมัง? ถ้าอย่างนั้นต่อให้ตระกูลฟางเป็นภูเขาเงินภูเขาทองก็แบกแบบนี้ไม่ไหวเหมือนกัน 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางคิดคิดถึงคำพูดที่ตนเองหลุดปากตอนรักษาโรคให้ฟางเฉิงอวี่ครั้งนั้น 

 

 

“ถ้าหากรักษาชีวิตของเฉิงอวี่ได้จริง ข้ายินดียกทุกสิ่งที่เฉิงอวี่สมควรได้รับมอบให้” 

 

 

ส่วนนางก็ไม่ได้ปฏิเสธ สีหน้ายิ้มๆ 

 

 

“ตกลง” นางเอ่ย 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มเฝื่อนทีหนึ่ง ตอนนี้ดูท่านางรักษาเฉิงอวี่หายได้ไม่ใช่ล้อเล่น และตระกูลฟางทั้งหมดนางเอาไปก็ไม่ใช่ล้อเล่นเหมือนกัน 

 

 

“ข้าล่ะคิดไม่เข้าใจ นางแม่นางน้อยคนหนึ่งที่แท้ทำไมต้องใช้เงินมากปานนี้” นางถอนหายใจเอ่ย “ที่แท้นางกำลังทำอะไร?” 

 

 

“คนมีชีวิตอยู่ก็เพื่อทำบางสิ่ง” ฟางเฉิงอวี่สีหน้าจริงจังเอ่ย “ไม่เช่นนั้นก็มีชีวิตอยู่เสียเปล่าแล้ว เหมือนเช่นเงิน หามาย่อมต้องใช้ ไม่เช่นนั้นก็หามาเสียเปล่าแล้วเช่นกัน ข้ารู้สึกว่าทำบางสิ่งใช้จ่ายเงินล้วนเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด ไม่ต้องคิดให้เข้าใจปานนั้น” 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มหยัน 

 

 

“คิดเข้าใจแล้วมีประโยชน์อะไร นางให้ทำอะไร เจ้าก็ล้วนจะไปทำ” นางเอ่ย 

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยื่นมือไปคล้องแขนนายหญิงใหญ่ฟาง 

 

 

“ท่านแม่ ข้าป่วยมานานปีปานนั้น ทรมานมามากปานนั้น ดังนั้นตอนนี้จึงขบคิดเข้าใจ” เขาเอ่ยอย่างจริงใจและจริงจัง “ข้าเคยครุ่นคิด ชีวิตคนก็คือต้องมีความสุข นางมีความสุขข้ามีความสุข ท่านแม่ท่านย่าพวกพี่สาวก็มีความสุข ใช้เงินก็เพื่อซื้อความสุข ไม่ใช่ง่ายดายยิ่งและคุ้มค่ายิ่งหรือ?” 

 

 

ก่อนหน้านี้พวกนางมีเงินก็ซื้อความสุขไม่ได้ เปรียบเทียบเช่นนี้แล้วง่ายดายและคุ้มค่าจริงๆ นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มเฝื่อนทีหนึ่งพลางเพ่งพิจดวงหน้าของบุตรชาย 

 

 

“เจ้ามีความสุขจริงๆ ก็ดี” นางเอ่ย 

 

 

“ย่อมต้องมีความสุขจริงๆ” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มตอบ “ได้รู้จักจิ่วหลิงคนเช่นนี้ ใครไม่มีความสุขได้” 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง 

 

 

“โชคดีที่พวกเจ้าไม่ได้แต่งงานกัน ไม่เช่นนั้นเจ้าเป็นเช่นนี้ ไม่มีแม่สามีคนไหนจะชอบลูกสะใภ้คนนี้ได้หรอก” นางเอ่ย 

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว 

 

 

“ท่านแม่ ท่านดูถูกจิ่วหลิงเกินไปแล้ว” เขาเอ่ย “หากนางต้องการ หัวใจรักชอบของผู้ใดก็คว้ามาได้” 

 

 

หากนางไม่ต้องการ สองสามประโยคก็ทำเจ้าโกรธแทบตายได้ ตัวอย่างเช่นนายหญิงใหญ่หนิง 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางเม้มปากยิ้ม ตบหัวไหล่ฟางเฉิงอวี่นิดหนึ่งก็ออกไปแล้ว 

 

 

ฟางเฉิงอวี่นั่งลงหน้าโต๊ะใหม่อีกครั้ง เปิดจดหมายที่ได้รับล่าสุดออก 

 

 

“เงินทั้งหมดล้วนแลกเป็นเงินทองจริงหมดแล้ว แดนเหนือวันนี้มีเพียงเงินจริงถึงใช้สะดวกที่สุด ถ้าอย่างนั้นนางคงต้องใช้ทันทีเดี๋ยวนั้นตรงนั้นแน่ ระหว่างเดินทางใช้เงินมากยิ่งกว่าที่เขาจางชิงซาน บ่งบอกว่ากำลังคนเพิ่มมากขึ้น ทั้งค่าใช้จ่ายยังต่อเนื่อง” เขาเอ่ยกับตนเอง “อารักขาแบบไหนทำถึงขั้นนี้? คนที่อารักขาเพียงนายหญิงคนนั้นคนเดียวหรือ?” 

 

 

………………………………………. 

 

 

สายลมคลั่งระลอกหนึ่งดังฮู่ฮู่หอบหิมะปลิวกระจาย คนกลุ่มหนึ่งบนทุ่งกว้างพลันเซซ้ายเซขวา ยังมีเด็กน้อยสองสามคนสะดุดล้มกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ 

 

 

เสื้อผ้าของพวกเขาขาดวิ่นยกครอบครัวมา เห็นชัดยิ่งว่าเป็นผู้ลี้ภัย ถึงขั้นที่ลมพัดก็จะล้มแล้ว เห็นได้ถึงความเลวร้ายของสถานการณ์ 

 

 

ที่เลวร้ายยิ่งกว่ายังไม่ใช่ความหิวโหยหรือหนาวเย็น พื้นดินสั่นไหวเลือนราง เสียงกีบเท้าม้าเร็วรี่ดังมา เสียงนี้ดังขึ้นทำให้ผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้สีหน้าตระหนกทันที 

 

 

“รีบลุกขึ้น รีบลุกขึ้น” 

 

 

“อะไรน่ะ? ทหารมาหรือ?” 

 

 

“ชาวจินมาแล้วหรือ?” 

 

 

เสียงพูดคุยลนลานดังขึ้นในหมู่คน ทำให้คนเหล่านี้ยิ่งหวาดหวั่นกระวนกระวาย อยากหนีก็ไม่มีที่ให้หนี ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมในสายตาปรากฏขบวนคนขนาดใหญ่ขบวนหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่ง 

 

 

ใต้แสงตะวันสลัวชุดเกราะเด่นสะดุดตา ธงใหญ่คลี่สยาย เครื่องแต่งกายที่สวมใส่แยกแยะออกได้อย่างง่ายดายยิ่งว่าเป็นทหารโจว 

 

 

ไม่ใช่ชาวจิน 

 

 

หากเป็นชาวจินถ้าอย่างนั้นก็ยืนรอความตาย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นทหารโจว ชาวบ้านทั้งหลายก็ยังคงสีหน้าไม่ยินดีผ่อนคลาย มองขบวนคนที่เดินเข้ามาใกล้เหล่านี้อย่างระแวง 

 

 

หลายวันนี้ทหารผ่านไปมากมาย บอกว่าเป็นทหารที่รับราชโองการถอนกำลังลงใต้ ทหารที่ผ่านไปเหล่านี้ไม่เพียงไม่สนใจผู้ลี้ภัย บางครั้งกลับจะปล้นชิงคนที่ลี้ภัยอีก 

 

 

ขบวนคนขบวนนี้มองเห็นพวกเขาปุบ คนที่นำหน้าก็ส่งสัญญาณให้หยุด 

 

 

“พวกเจ้าคนที่ไหน? จะไปที่ไหน?” บุรุษที่นำหน้าตวาดเสียงดัง 

 

 

กลุ่มผู้ลี้ภัยวุ่นวายพักหนึ่งก็ถอยไปข้างหลัง 

 

 

“ไม่ต้องถามแล้ว พวกเขาดูแล้วหวาดกลัวมาก” 

 

 

เสียงผู้หญิงลอยมา 

 

 

พร้อมกันนั้นม้าสีดำตัวหนึ่งก็วิ่งออกมา บนนั้นถึงกับเป็นสตรีคนหนึ่ง ใบหน้าของสตรีคนนี้ถูกผ้าปิดไว้ ดูไปแล้วประหลาดนัก 

 

 

พวกผู้ลี้ภัยสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง 

 

 

ผู้หญิงก็อยู่ในกองทหารได้ด้วยหรือ? 

 

 

ความประหลาดใจยังไม่ทันหายก็เห็นสตรีผู้นั้นกวักมือ 

 

 

“พวกเจ้ามารับข้าวต้มร้อนสักหน่อยเถอะ” 

 

 

ข้าวต้มร้อน? 

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายที่ลี้ภัยรู้สึกว่าตนเองกำลังฝันอยู่ หลังจากนั้นก็มองเห็นรถม้าคันหนึ่งขับออกมาจากด้านหลังขบวนคนกลุ่มนี้ บนรถผู้หญิงหลายคนกระโดดลงมา 

 

 

พวกนางแม้เป็นสตรีกลับสวมชุดเกราะฝ้ายด้วย ผมเผ้ามัดไว้ในหมวก เป็นการแต่งกายเยี่ยงทหารเช่นกัน 

 

 

“มา มา ข้าวต้มร้อนสองหม้อ พวกเจ้ารีบเข้ามากิน” พวกนางร้องเรียกวุ่นวาย 

 

 

ท่ามกลางลมหนาวหม้อใหญ่สองใบถูกวางไว้บนพื้น ไอร้อน กลิ่นหอมที่ลอยขึ้นมาพริบตากระจายไปรอบด้าน 

 

 

ไม่ใช่ฝัน! 

 

 

กลิ่นหอมนี้ทำให้ผู้ลี้ภัยสูญเสียสติปัญญาทั้งมวลรุมเข้าไปทันที 

 

 

“ไม่ต้องแย่ง พอให้พวกเจ้ากิน” พวกผู้หญิงตะโกน “ต่อแถวดีๆ” 

 

 

วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง แต่ด้วยการข่มขวัญของทหารทางนี้ ชาวบ้านผู้ประสบภัยทั้งหลายก็ต่อแถวดีๆ ยังเลือกสองคนออกมาแจกข้าวต้มด้วย 

 

 

เมื่อทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้น ขบวนคนนี้ก็เดินทางเคลื่อนไปด้านหน้าใหม่อีกครั้ง ระหว่างนี้กระทั่งคำพูดฟุ่มเฟือยก็ไม่เอ่ย คล้ายพวกเขาหยุดก็เพียงเพื่อแจกข้าวต้มร้อนสองหม้อเท่านั้น 

 

 

นอกจากนี้ยังไม่รอ กระทั่งถ้วยชามหม้อกระบวยก็แจกจ่ายด้วยไม่เอาแล้ว 

 

 

ข้าวต้มร้อนถ้วยหนึ่งแม้ดูไปแล้วไม่มีอะไร แต่ท่ามกลางฤดูหนาวนี้เพียงพอประคองคนเหล่านี้ให้เร่งเดินทางอย่างปลอดภัยไปถึงเมืองต่อไปได้แล้ว 

 

 

“ผู้มีพระคุณเหล่านี้เป็นทหารของมณฑลไหนกัน? ไม่เคยเห็นทหารเช่นนี้มาก่อน” ผู้ประสบภัยคนหนึ่งพึมพำ ชูชามข้าวมองไปทางขบวนคนที่จากไปไกลบนถนนใหญ่ 

 

 

แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีทหารแจกข้าวต้มให้คนระหว่างเดินทาง นอกจากนี้พวกเขากำลังเดินทางอยู่จริงๆ ระหว่างที่แจกข้าวต้ม นอกจากผู้หญิงเหล่านั้น คนอื่นล้วนขี่ม้ายืนขึงขังน่ากลัวนิ่งไม่ขยับ ร่างกายล้วนไม่เปลี่ยนท่าสักนิด 

 

 

รับคำสั่งหยุด รับคำสั่งเคลื่อน ไม่มีตามใจแม้แต่นิดเดียว 

 

 

นี่ไม่เหมือนกับทหารที่ผ่านพวกเขาไปหลายวันนี้อย่างสิ้นเชิง อาจเพราะถอนทหาร ไม่ว่าพ่ายแพ้หรือได้รับคำสั่งให้ถอย ถอยอย่างไรก็ทำให้ทหารเหล่านั้นมีสีหน้าหวาดหวั่นโดยไม่รู้สาเหตุฉาบอยู่ 

 

 

สีหน้าพวกเขาหวาดหวั่น ขบวนแถวของพวกเขาสับสน 

 

 

ทหารเช่นนี้ไม่อาจให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่ประชาชนได้อย่างสิ้นเชิง ตรงกันข้ามกลับยิ่งเพิ่มความตระหนก 

 

 

“มีอักษรบนธงนั่น” ผู้เฒ่าคนหนึ่งตัวสั่นโงนเงนเงยหน้าขึ้น หนวดเคราขาวโพลนเปรอะข้าวต้ม ชี้ธงผืนใหญ่ที่โบกสะบัดท่ามกลางสายลมอยู่ไกลๆ อ่านออกมาทีละคำๆ “กองทหารชิงซาน”