ภาคที่ 4 ตอนที่ 15 ศัตรูมาจัดการอย่างไร

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บนถนนใหญ่กำลังพลควบขี่เร็วรี่ รถสัมภาระด้านหลังเพราะใช้ม้าสามตัวลากความเร็วที่เคลื่อนที่จึงไม่เชื่องช้า 

 

 

เดินทางเร็วรี่ตลอดทาง ข้ามผ่านทุ่งกว้าง ออกจากถนนใหญ่ เดินทางบนถนนเส้นน้อยที่แทบจะให้ม้าสองตัววิ่งได้เท่านั้น 

 

 

ความเร็วที่เดินทางช้าลง แต่ขบวนแถวยังคงเป็นระเบียบ 

 

 

ถนนเล็กเส้นนี้คล้ายไม่มีสุดปลายตลอดกาล หมู่บ้านสองข้างทางเก่าพัง รอบด้านก็ไม่พบคนสักคน 

 

 

เหลียงเฉิงต้งมองดูจ้าวฮั่นชิงที่นำทางอยู่ด้านหน้า คิ้วยิ่งขมวดแน่น 

 

 

“ทางนี้ถูกหรือไม่ถูก?” เขาอดไม่ได้เอ่ยขึ้น “ที่นี่ไม่มีทางแล้ว” 

 

 

คนด้านข้างสายตาก็ไม่เหล่มา คล้ายไม่ได้ยินคำพูดของเขา 

 

 

กลับเป็นเหลยจงเหลียนอีกด้านหนึ่งใจดีอยู่บ้าง ทนเห็นเหลียงเฉิงต้งถูกเมินเฉยกระอักกระอ่วนไม่ไหว 

 

 

“เจ้าเป็นทหารรึ?” เขาเอ่ยถาม 

 

 

พวกเขาเดินทางร่วมกันมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ฐานะของนายหญิงอวี้ คุณหนูจวินไม่ปิดบังเหลยจงเหลียน 

 

 

แต่ผู้คุ้มกันของนายหญิงอวี้ไม่แน่ว่าจะเป็นทหาร อาจเป็นบ่าวรับใช้ก็ได้ บ่าวรับใช้แตกต่างจากทหารอย่างสิ้นเชิง 

 

 

เหลียงเฉิงต้งมองเขาทีหนึ่ง 

 

 

“ข้าเป็นทหาร” เขาเอ่ย 

 

 

เหลยจงเหลียนร้องอ้อ 

 

 

“ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่ใช่เสียอีก” เหลยจงเหลียนเอ่ย “เจ้าไม่เหมือนกับพวกเขา” 

 

 

เขาชี้ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย…ตอนที่ชี้ด้านขวาก็เก็บมือกลับไป 

 

 

“เขาไม่นับ” เหลยจงเหลียนเอ่ยพลางมองบุรุษด้านขวา 

 

 

จินสือปามองเขาอย่างเย็นชา 

 

 

บางทีอาจเพราะคนอยู่ใต้ชายคาไม่อาจไม่ก้มหัว บางทีอาจเพราะอดกลั้นความอัปยศเพื่อภาระสำคัญ พวกจินสือปาจึงสวมชุดเกราะด้วย ตั้งแต่เดินทางมาว่าง่ายนิ่งเงียบ ไม่ต่างกับพวกชาวหมู่บ้าน 

 

 

เหลียงเฉิงต้งไม่คิดว่าจินสือปามีสิ่งใดแตกต่างจึงคร้านจะสนใจ ที่จริงคำพูดของเหลยจงเหลียนเขาก็ไม่อยากสนใจอย่างไร แต่ไม่ยื่นมือตบคนสำนึกผิด ผู้อื่นเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยวาจา อย่างไรไม่สนใจก็ไม่ดี 

 

 

“ไม่เหมือนอย่างไร?” เขาเอ่ย 

 

 

“พวกเขาฟังคำสั่งแล้วปฏิบัติ แต่ไหนแต่ไรไม่ถามนู่นถามนี่ ยิ่งไม่ตั้งข้อสงสัย” เหลยจงเหลียนเอ่ย “ข้าคิดว่าทหารล้วนเป็นเช่นนี้” 

 

 

เหลียงเฉิงต้งโกรธจัด 

 

 

คนผู้นี้แย่เกินไปแล้ว! 

 

 

วกอ้อมเป็นนานก็เพื่อด่าเขา! 

 

 

แย่เกินไปแล้ว! 

 

 

เขาย่อมไม่ใช่ทหาร นี่หากเป็นทหารในมือเขา จะเอาแส้หวดเจ้าหนูนี่สักยก ให้เขารู้ว่าสิ่งใดเรียกไม่ถามนู่นถามนี่ไม่ตั้งข้อสงสัย 

 

 

“ด้านหน้ามีแม่น้ำ!” จ้าวฮั่นชิงที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุดพลันตะโกนดีใจ 

 

 

ขัดความโกรธเกรี้ยวของเหลียงเฉิงต้ง 

 

 

มีแม่น้ำจริงๆ รึ 

 

 

เขาเงยหน้ามองไปด้านหน้า พลบค่ำมาเยือนแผ่นดินยิ่งวังเวงไปหมด ไม่ไกลเม่น้ำสายหนึ่งลดเลี้ยววาดเป็นเส้นเส้นหนึ่งเบื้องหน้า 

 

 

“ถึงแม่น้ำไป๋หยางแล้ว” เสียงของคุณหนูจวินดังมาจากในรถด้านหลัง “คืนนี้ตั้งค่ายที่นี่ พรุ่งนี้ก็เข้าเมืองเหอเจียนได้แล้ว” 

 

 

เร็วปานนี้? เส้นทางที่เดินเป็นทางที่เร็วที่สุดอย่างที่นางว่าจริงๆ 

 

 

เหลียงเฉิงต้งกลืนความโกรธเกรี้ยว มองบรรดาชาวหมู่บ้านเหล่านี้เริ่มลงจากม้าหลังเสียงบอกให้ตั้งค่ายของคุณหนูจวิน คนบนรถสัมภาระก็เริ่มเอากระโจมลงมา เขาก็ควบม้าเข้ามาช่วยด้วย 

 

 

คุณหนูจวินลงมาจากบนรถ มองดูทุ่งกว้างรอบด้านนี้ จ้างฮั่นชิงกับพวกผู้หญิงเริ่มตั้งหม้อทำอาหาร คุยเล่นหัวเราะครึกครื้นยิ่ง 

 

 

“คุณหนูจวินราคานี้คุ้มค่าจริงๆ” เสียงของนายหญิงอวี้ดังขึ้น “คุณหนูจวินคุ้นเคยกับที่นี่ประหนึ่งหลับตาเดินยังได้” 

 

 

คุณหนูจวินหันหน้ามองไป เห็นนายหญิงอวี้ลงจากรถม้าด้วยแล้ว เหลียงเฉิงต้งเดินเข้ามาเป็นเพื่อน 

 

 

ตามหลักแล้วสัมภาระน้อยสะดวกต่อการเดินทาง แต่คุณหนูจวินก็ยังเตรียมรถม้าสองคันมาด้วย อย่างไรนางก็ไม่ชอบนั่งร่วมรถคันเดียวกับผู้อื่น แม้นายหญิงอวี้ผู้นี้จะเป็นคนที่นางสงสัยใคร่รู้ก็ตาม 

 

 

นายหญิงอวี้ดูแล้วก็เป็นเช่นนี้จึงพอใจกับการจัดการของนางยิ่งนัก 

 

 

“ไม่มีเหล็กเย็บ ไม่ต่อเครื่องเคลือบ” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย 

 

 

“แต่ข้ารู้สึกว่าเดิมทีพวกเราเร็วได้ยิ่งกว่านี้” เหลียงเฉิงต้งอดไม่ไหวสอดปากเอ่ย 

 

 

หากไม่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพวกนั้นระหว่างทางล่ะก็ 

 

 

คุณหนูจวินเข้าใจความหมายของเขา 

 

 

แม้พยายามที่สุดให้รวดเร็วเรียบง่าย แต่อย่างไรก็ยังถ่วงเวลา 

 

 

คุณหนูจวินจะเอ่ยอะไร นายหญิงอวี้ก็เอ่ยปากก่อนแล้ว 

 

 

“พวกเราไปเหอเจียนเพื่ออะไร?” นางเอ่ย “ไม่ใช่เพื่อประชาชนรึ ประชาชนที่นั่นคือผู้ประสบภัย ของที่นี่ก็ย่อมใช่เช่นกัน ผู้ประสบภัยเหมือนกัน พบเข้าย่อมไม่อาจเมินเฉย” 

 

 

เหลียงเฉิงต้งหน้าแดงเล็กน้อยขานรับถอยออกไปแล้ว 

 

 

“เขาเป็นคนหยาบกระด้างคนหนึ่ง บอกจุดหมายกับเขาก็เป็นแต่วิ่งไป สมองคิดเลี้ยวไม่เป็น” นายหญิงอวี้มองคุณหนูจวินพลางเอ่ยขึ้น 

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว 

 

 

“แต่ท่านหญิงท่านชี้แนะนิดหนึ่งเขาก็เข้าใจแล้ว” นางเอ่ย “ท่านหญิงร้ายกาจจริงๆ” 

 

 

แม่นางน้อยคนนี้ปากหวานเอาเรื่อง นายหญิงอวี้หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว หัวเราะไปๆ มองเห็นทุ่งรกร้างด้านหน้าสีหน้าก็เคร่งขรึม 

 

 

“การเจรจาสงบศึกยังไม่ทันสำเร็จ ทหารจินยังไม่เข้าแดน ตลอดทางที่ผ่านมานี้ก็เต็มไปด้วยความบอบช้ำแล้ว” นางเอ่ยพลางก้มศีรษะก้มตัวควักดินโคลนก้อนหนึ่งขึ้นมา “ดินดีนะ น่าเสียดายแต่การเพาะปลูกฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจบสิ้นแล้ว” 

 

 

“ดังนั้นสู้ก็รอด ไม่สู้ก็ตาย” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกเขากล่าวว่าเฉิงกั๋วกงอยากได้ความดีความชอบกระหายสงคราม กลับไม่รู้ว่าเพื่อให้ไม่มีสงคราม เฉิงกั๋วกงถึงสู้ไม่ถอยเช่นนี้” 

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มพลางพยักหน้า 

 

 

“คุณหนูจวินเป็นหมอที่ดีคนหนึ่งจริงๆ แล้วเป็นยอดหมอคนหนึ่งด้วย” นางเอ่ย 

 

 

ยอดหมอผู้รักษาประเทศรึ? 

 

 

คุณหนูจวินยิ้มด้วยแล้ว 

 

 

“พวกเรานี่กำลังยกยอกันหรือ?” นางเอ่ยถามอย่างตั้งใจอีกครั้ง 

 

 

นายหญิงอวี้หัวเราะฮ่าฮ่าอีกหน หลังจากนั้นจึงคิดอะไรขึ้นได้ หยิบบางสิ่งออกมาจากในแขนเสื้อส่งมา 

 

 

“นี่คือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม มองดูซองกระดาษสีแดงหนึ่งซองนี้ 

 

 

“วันนี้วันขึ้นปีใหม่แล้ว” นายหญิงอวี้เอ่ย “เงินรับขวัญปีใหม่ให้เจ้า” 

 

 

วันขึ้นปีใหม่แล้ว? 

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางยื่นมือรับไป 

 

 

“ข้าโตป่านนี้แล้ว…” นางเอ่ยท่าทางใจหายอยู่บ้าง 

 

 

ไม่ได้เงินรับขวัญปีใหม่มากี่ปีแล้ว 

 

 

แรกสุดระบิดาพระมารดาสิ้นพระชนม์ ต่อมานางก็แต่งงานกลายเป็นผู้ใหญ่จึงยิ่งไม่ได้เงินรับขวัญปีใหม่แล้ว 

 

 

“อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ย่อมเป็นเด็กเสมอ” นายหญิงอวี้ยิ้มเอ่ยแล้วหยิบออกมาอีกหนึ่งซอง “ซองนี้เตรียมให้ลูกชายข้า เขาก็อายุปูนนี้แล้ว” 

 

 

จูจั้นรึ? อายุปูนนี้? แก่ขนาดนั้นที่ไหน 

 

 

คุณหนูจวินอดไม่ได้ยิ้มออกมา ทั้งสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง 

 

 

ไม่รู้ว่าจูจั้นเคยเอ่ยถึงตนเองกับนายหญิงอวี้หรือไม่? 

 

 

“พี่จวิน” 

 

 

เสียงจ้าวฮั่นชิงดังขึ้น 

 

 

“กินข้าวได้แล้ว” 

 

 

คุณหนูจวินกลืนคำพูดลงไป ยื่นมือทำท่าเชิญให้นายหญิงอวี้ นายหญิงอวี้ก็ไม่เกรงใจ วางมือลงบนแขนของนางอย่างเป็นธรรมชาติ เหยียบโคลนเละเทะเดินไปทางที่ตั้งค่ายซึ่งจุดกองไฟไว้แล้ว 

 

 

โยนไม้ไผ่หลายท่อนเข้าไปในกองไฟ บนทุ่งกว้างเสียงไม้ไผ่แตกดังลอยออกไปท่ามกลางค่ำคืนวังเวง แต่งเติมกลิ่นอายปีใหม่ขึ้นมาอยู่บ้าง 

 

 

และใต้ท้องนภายามราตรีผืนเดียวกันก็มีคนโยนไม้ไผ่ท่อนหนึ่งเข้าไปในกองไฟเช่นกัน 

 

 

เสียงไม้ไผ่แตกดังกังวานดังขึ้นติดต่อกัน 

 

 

“แม่ข้าควรให้เงินรับขวัญปีใหม่ข้าแล้ว ไม่รู้ว่าปีนี้จะเพิ่มหรือไม่” จูจั้นเอ่ยพลางมองดูกองไฟแล้วยื่นมือเกาปลายจมูก 

 

 

มีคนรีบร้อนเดินมา ได้ยินคำพูดประโยคนี้ก้าวเท้าพลันหยุดชะงัก กองไฟสาดส่องสีหน้ายุ่งยาก 

 

 

“มีคำพูดก็พูด ข้าก็ไม่ใช่แม่นางน้อยนุ่มนิ่ม มีข่าวอะไรรับไม่ได้” จูจั้นเอ่ย คล้ายหลังร่างมีดวงตา 

 

 

“เมืองต้าหมิงไม่มีข่าวของนายหญิง” มีคนเอ่ยเสียงเบา 

 

 

มือของจูจั้นที่เกาปลายจมูกอยู่ชะงัก 

 

 

“เมืองต่างๆ ที่ผ่านไปยังเมืองต้าหมิงก็ไม่พบร่องรอยของนายหญิง” คนผู้นั้นเอ่ยต่ออีก 

 

 

มือของจูจั้นเกาค่อยๆปลายจมูก ทีละนิดๆ  

 

 

“ท่านแม่เดินทางออกมาเป็นคนเกลี้ยกล่อมครานี้ย่อมมีคนมากมายไม่ยินดี พวกเขาต้องขัดขวางแน่ นางเก็บร่องรอยเป็นความลับก็ปกติ” เขาเอ่ยเสียงผ่อนคลายลงอยู่บ้าง “อีกอย่างเจรจาสงบศึกแล้ว ท่านแม่ย่อมรู้ว่าชิงเหอปั๋วคนพรรค์นั้นไม่มีทางร่วมมือกับท่านพ่ออีกแน่ ไม่มีความจำเป็นต้องไปแล้ว ไม่แน่อาจบ่ายหน้ากลับไปแล้ว” 

 

 

บุรุษหลังร่างไม่พูดจา 

 

 

ได้ยินแต่เสียงกองไฟลุกไหม้เปรี๊ยะๆ  

 

 

“ยังมีข่าวไม่ดีอะไรอีก บอกมาพร้อมกันเลยเถอะ” จูจั้นไม่สบอารมณ์หันหน้ามาเอ่ย 

 

 

กองไฟส่องสีหน้าของบุรุษเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด 

 

 

“ทหารจินห้าพันจากค่ายหลางเฉิงเข้าป้าโจวแล้ว” เขาเอ่ย 

 

 

สุดท้ายก็ทำลายแนวป้องกันของเฉิงกั๋วกงแล้ว 

 

 

“ระยำ” จูจั้นมองกองไฟแล้วด่าคำหนึ่ง คนก็กระโดดลุกขึ้นมาด้วย “เร่งเดินทางต่อ” 

 

 

ท่ามกลางความมืดรอบด้านเงาคนกระโดดลุกขึ้นตาม ม้าส่งเสียงร้องพร้อมกับเสียงเอะอะพักหนึ่งควบเร็วรี่ไปท่ามกลางราตรี 

 

 

แต่แม้อาชาติดปีกบินก็ไม่อาจพริบตาเดียวไปถึงดินแดนเหนือสุดได้ 

 

 

………………………………………. 

 

 

ข่าวของเมืองป้าโจวส่งมา เมืองเหอเจียนฝั่งนี้ก็วุ่นวายแล้ว 

 

 

ตั้งแต่หลายเดือนก่อนหน้านี้ก็มีผู้ลี้ภัยจากสามเมืองทะลักมาไม่ขาดสาย หลายวันนี้ยิ่งไหลบ่า 

 

 

แต่ทางการอยู่ๆ ก็ออกคำสั่งปิดประตูเมืองไม่อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยเข้า 

 

 

นอกป้อมปราการหลายแห่งด้านนั้นที่อยู่ใกล้กับเส้นแบ่งเขตเมืองเป็นพิเศษเสียงคร่ำครวญดังระงม 

 

 

“ใต้เท้า นั่นเป็นประชาชนของพวกเรา” 

 

 

ด้านในที่ทำการขุนนางเมืองฉางเฟิง แม่ทัพหลายคนตาแดงก่ำคำราม คล้ายมองไม่เห็นชุดขุนนางของขุนนางฝ่ายทหารและขุนนางฝ่ายพลเรือนตรงหน้า ลืมเลือนสิ้นระดับชั้น 

 

 

“จะเบิ่งตามองพวกเขาถูกโจรจินฆ่าล้างบางหรือ?” พวกเขาตะโกนวุ่นวาย 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยหัวหน้ากองฝึกฝนป้องกันแห่งกองทหารฉางเฟิงก็สีหน้าไม่ดีอย่างไร หนังหน้าสั่นเล็กน้อย 

 

 

“ข้าอยากงั้นรึ?” เขาก็ตวาดเช่นกัน “ทหารจินห้าพันมาถึงป้าโจวแล้ว นาทีต่อมาอาจพุ่งเข้าเหอเจียนมาก็ได้ เพื่อผู้ลี้ภัยเหล่านั้นจะไม่สนประชาชนเหล่านี้ในเหอเจียนแล้วรึ?” 

 

 

ซุนซานเจี๋ยนายอำเภอฝั่งนี้ก็ถอนหายใจเช่นกัน 

 

 

“พวกเราเป็นปราการของเหอเจียน ถูกทำลายปุบ ทั้งเหอเจียนก็จบสิ้นแล้ว” เขาถอนหายใจเอ่ยแล้วยิ้มโศกเศร้า “ส่วนป้าโจวฝั่งนี้บางทีอาจไม่ฆ่าล้างบางหรอก ชาวบ้านเหล่านั้นหลังจากนี้ก็คือประชาชนชาวจินแล้ว” 

 

 

ป้าโจวกำลังจะถูกยกให้ชาวจิน ข่าวเรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้แล้ว 

 

 

คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศในโถงใหญ่ยิ่งชะงักนิ่ง มีแม่ทัพคนหนึ่งด่ามารดาคำหนึ่ง 

 

 

“เป็นชาวฮั่นอยู่ดีๆ จะกลายเป็นชาวจินได้อย่างไรเล่า?” เขาตะโกน “ข้าไม่อาจมองดูชาวบ้านเหล่านี้ร่ำไห้ตะโกนอยู่นอกกำแพงได้ ข้าไม่อาจบอกพวกเขาว่าเราไม่ต้องการพวกเขาแล้ว พวกเขาเป็นชาวจินแล้วได้ คำนี้ข้าพูดออกจากปากไม่ได้” 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยตวาดโกรธเกรี้ยวหยุดเขา 

 

 

“พวกเราไม่มีทหารกองหนุนแล้ว ทหารใกล้ๆ ก็ถอนกำลังไปแล้ว เจ้าจะช่วยพวกเขาอย่างไร?” เขาตวาด “เฉิงกั๋วกงยังป้องกันไว้ไม่อยู่ พวกเราคนเหล่านี้จะป้องกันไหวได้อย่างไร?” 

 

 

ใช่แล้ว ไม่มีทหารกองหนุนแล้ว เมื่อเปิดประตูเมืองปุบชาวจินพุ่งเข้ามา กองกำลังเหล่านี้ของพวกเขายากจะต้านทานจริงๆ 

 

 

แม่ทัพหยุดยืนนิ่งกำหมัดแน่น 

 

 

นอกประตูมีนายทหารยื่นศีรษะเข้ามาอย่างระมัดระวัง 

 

 

“ใต้เท้า” เขาเอ่ยขึ้นอย่างกระวนกระวาย “ข้างนอกมีคนกลุ่มหนึ่งมา พวกเขาบอกว่าเป็นทหารกองหนุน” 

 

 

ทหารกองหนุน? 

 

 

ผู้คนในห้องโถงตะลึงวูบหนึ่ง 

 

 

“เวลานี้ทหารกองหนุนที่ไหนจะมา?” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ยถาม “กองทหารที่ไหน?” 

 

 

นายทหารสีหน้ายิ่งกระสับกระส่าย 

 

 

“ไม่ทราบว่าเป็นกองทหารที่ไหน” เขาเอ่ยพลางยื่นมือชี้ด้านนอก “บอกแค่ว่าเป็นกองทหารชิงซาน”