ภาคที่ 4 ตอนที่ 16 กองกำลังกองนี้ไม่ธรรมดา

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

หลี่กั๋วรุ่ยกับซุนซานเจี๋ยผิดหวังอยู่บ้าง ความยินดียามได้ยินว่ามีทหารกองหนุนมาหายไปหมดสิ้นแล้ว 

 

 

ทหารกองหนุนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชุดเกราะสะดุดตาอาชาพ่วงพีจริงๆ นอกจากนี้ยังจัดสรรม้าสองตัวด้วย ฟุ่มเฟือยอย่างที่สุด 

 

 

ทว่าม้ามากคนไม่มาก กวาดตามองปราดเดียวก็แค่สามสี่สิบคน นอกจากนี้ทหารใต้ชุดเกราะคนที่แก่ก็แก่คนที่เด็กก็เด็ก ทั้งยังผ่ายผอม แล้วยังมีผู้หญิงอีก! 

 

 

นี่คือทหารกองหนุน? นี่คงไม่ใช่กองทหารที่ดึงคนพวกหนึ่งระหว่างทางรวมขึ้นมาตามใจหรอกนะ? หากไม่ใช่ม้าพ่วงพีชุดเกราะชั้นดี บอกว่าพวกเขาเป็นชาวบ้านที่ลี้ภัยมายังจะเข้าเค้า 

 

 

ม้ากับชุดเกราะนี่คงไม่ใช่พวกเขาขโมยมาหรอกนะ? 

 

 

พักนี้มณฑลเหอเป่ยซีถอนทหาร ยากเลี่ยงการจัดการกองทัพย่อนหยาน คลังอาวุธของกองทัพถูกปล้นก็เป็นไปได้ 

 

 

“พวกเจ้าเป็นใคร?” หลี่กั๋วรุ่ยขมวดคิ้วเอ่ยถาม “มาที่นี่ทำอะไร?” 

 

 

“แน่นอนมาเสริมทัพ” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยพลางยื่นมือชี้ประตูเมืองตรงหน้า “รีบเปิดประตูเมืองให้พวกผู้ลี้ภัยเข้ามาสิ” 

 

 

เจ้าใครกันหึ? 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ย ซุนซานเจี๋ยสีหน้าพิกล 

 

 

สาวน้อยนุ่งผ้าคนหนึ่ง…. 

 

 

“เรียกผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้าออกมาคุย” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ยอย่างรำคาญ 

 

 

ขบวนแถวแหวกออก คนยังไม่ทันปรากฏตัวเสียงก็มาถึงก่อน 

 

 

“ใต้เท้าหลี่ พวกเรามาเสริมทัพจริงๆ” 

 

 

เสียงสตรีละมุน 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยกับซุนซานเจี๋ยมองคนที่เดินออกมา 

 

 

สาวน้อยนุ่งผ้าอีกคนหนึ่ง… 

 

 

คนนี้ยังสู้คนก่อนหน้านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่างน้อยคนก่อนหน้านี้ก็ยังสวมชุดเกราะ แม้ไม่เข้าพรรคเข้าพวก แต่ดีเลวก็ปลอมหน้าตาได้เข้าเค้า 

 

 

ส่วนสตรีที่เดินมาคนนี้ตอนนี้สวมชุดผ้าฝ้าย คลุมผ้าคลุมสีแดงสด บนหน้านวลผ่องแต่งแต้มเครื่องสำอางอ่อนๆ ท่าทางเหมือนคุณหนูตระกูลไหนออกมาท่องเที่ยว 

 

 

“ให้ผู้บังคับบัญชาพวกเจ้าออกมาคุย” ซุนซานเจี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง เล่นอะไรหึ เวลาไหนแล้ว 

 

 

“เป็นข้าเอง” คุณหนูจวินเอ่ย 

 

 

เป็นอะไร? 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ย ซุนซานเจี๋ยงุนงงวูบหนึ่ง 

 

 

“ข้าก็คือผู้บัญชาการกองทหารชิงซาน” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกเรามาเสริมทัพ ช่วยพวกท่านปกป้องเมือง โปรดเปิดประตูเมืองให้ผู้ลี้ภัยทั้งหลายเข้ามาด้วย” 

 

 

อาศัยอะไร? 

 

 

“อาศัยตราของเฉิงกั๋วกง” คุณหนูจวินเอ่ยพลางยื่นมือส่งจดหมายฉบับหนึ่งมา 

 

 

เฉิงกั๋วกง? 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ย ซุนซานเจี่ยตกตะลึง ยื่นมือรับไปเปิดออกโดยไม่ทันคิด มีตราดวงใหญ่ของเฉิงกั๋วกงจริงๆ 

 

 

“จริงหรือปลอม?” หลี่กั๋วรุ่นเอ่ยถามเสียงเบา 

 

 

ซุนซานเจี๋ยเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนเรื่องจำแนกลายมือตราประทับถนัดยิ่งนัก นับประสาอะไรกับตำแหน่งที่ตั้งด้านนี้ของเขาติดต่อกับเฉิงกั๋วกงอยู่เสมอด้วย มองปราดเดียวก็แยกจริงปลอมออก 

 

 

“เป็นของจริง” เขาสีหน้าปั้นยากเอ่ยขึ้น 

 

 

หลี่กั๋วรุ่นสีหน้าดีใจทันที 

 

 

คิดไม่ถึงว่าเฉิงกั๋วกงจะคิดถึงพวกเขา ส่งทหารกองหนุนมา…อึก…แม้ทหารกองหนุนนี่น้อยไปหน่อยรวมถึงดูอย่างไรก็ไม่เหมือนทหารก็ตาม….ทว่าก็เข้าใจได้ อย่างไรเฉิงกั๋วกงที่วันนี้ตัวอยู่ที่ชายแดนประจันหน้ากับทหารจินห้าหกหมื่นนาย ตนเองยังยากลำบาก 

 

 

เวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ยังแบ่งทหารมาให้พวกเขา เฉิงกั๋วกงไม่เคยทอดทิ้งผู้ใดจริงๆ 

 

 

ความเชื่อมั่นและความเชื่อฟังที่มีต่อเฉิงกั๋วกงเคยคุ้นอยู่ในกระดูกของพวกเขาแล้ว ทั้งสองคนล้วนไม่พูดมากอีกต่อไป 

 

 

“ผู้น้อยรับบัญชา” พวกเขาสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้นพร้อมเพรียง 

 

 

………………………………………. 

 

 

แม้ฉางเฟิงเป็นเพียงอำเภอแห่งหนึ่ง แต่เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งสำคัญ เป็นสถานที่ซึ่งทหารแย่งชิงกัน ดังนั้นเมืองจึงสร้างขึ้นแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้ผู้ลี้ภัยทุกแห่งจึงเลือกแห่มายังที่แห่งนี้ 

 

 

ตอนนี้เวลาเที่ยงวัน ยืนอยู่บนกำแพงเมืองมองเห็นชาวบ้านนอกประตูเมืองเป็นผืน แม้ถูกปฏิเสธอยู่นอกประตู แต่คนมากมายตัดใจจากไปไม่ลง 

 

 

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ทุ่งกว้างนอกเมืองปลูกกระต๊อบขึ้นมามากมายคล้ายกับกลายเป็นชุมชนแห่งหนึ่ง 

 

 

แต่ชุมชนแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดควรค่ายินดี อากาศหนาวผืนดินเย็นเยียบ ความอดอยากและหนาวเหน็บวนเวียนทรมาน คนที่อ่อนแอก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ ความยากลำบากทำให้ความเป็นมนุษย์ถดถอย ความเป็นสัตว์สำแดงออกมา 

 

 

เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้น หมั่นโถวดำปิดปี๋ประหนึ่งก้อนหินที่เด็กผู้หญิงถืออยู่ในมือถูกคนแย่งไป พร้อมกันนั้นคนก็ถูกบุรุษที่ดวงหน้าซูบเหลืองแต่หน้าตาดุร้ายคนหนึ่งหิ้วขึ้นมา 

 

 

“ไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย” หญิงชราคนหนึ่งโถมเข้ามากอดขาบุรุษคนนี้ไว้ 

 

 

“ครั้งก่อนหมั่นโถวที่ติดข้าไว้ยังไม่คืน พวกเจ้าคิดหนีหนี้รึ” บุรุษตวาดเ**้ยม “ไม่คืนหมั่นโถวก็เอาคนมาคืน” 

 

 

พูดจบก็เตะหญิงชราออกไปในทีเดียว 

 

 

บุรุษอีกสามคนล้อมเข้ามา มองดูเด็กผู้หญิงที่ดิ้นรนร้องไห้เสียงดังอยู่ สีหน้าเผยความละโมบ 

 

 

“ถึงจะผอมไปหน่อย ดีเลวก็ยังเนื้อนุ่มนะ” คนหนึ่งฉีกยิ้มเอ่ยเผยฟันสีเหลืองเต็มปาก 

 

 

ความหมายของคำพูดนี้ทำให้หญิงชราคนนั้นยิ่งสิ้นหวัง นางโถมเข้ามาอีกครั้ง 

 

 

“เอาข้าไปเถอะ เอาข้าไปเถอะ ปล่อยหลานสาวข้านะ” นางร่ำไห้เอ่ย 

 

 

เหล่าบุรุษเตะนางออกไปอีกครั้ง 

 

 

“ใครต้องการนังแก่อย่างเจ้า” พวกเขาเอ่ยด่า 

 

 

คนรอบด้านมองเห็นภาพนี้ บางคนโกรธแค้นบางคนเฉยชา แต่พวกเขาไม่ได้ก้าวออกมาห้าม เรื่องเช่นนี้เห็นมากเข้าก็ยุ่งไม่ไหว ตนเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่ยังไม่แน่เลย ไหนเลยจะมีเวลาไปสนผู้อื่น 

 

 

บุรุษหลายคนนี้หัวเราะลั่นหิ้วเด็กผู้หญิงแกว่งไกว 

 

 

“ก่อนต้มยังเล่นได้สักหน่อยด้วย” เขาเอ่ย 

 

 

หญิงชราถูกถีบจนลุกไม่ขึ้นแล้ว นางน้ำตานองหน้ามองดูเด็กหญิงที่กำลังกรีดร้องร่ำไห้ 

 

 

ชีวิตนี่ทำไมกลายเป็นเช่นนี้ไปได้? 

 

 

“สวรรค์ ท่านยังมีตาหรือไม่…” นางสะอื้นตะโกน ยื่นมือไปหาท้องฟ้า 

 

 

เสียงยังไม่ทันจางก็ได้ยินเสียงฉึบทีหนึ่ง บุรุษที่จับเด็กหญิงอยู่ล้มตึงคว่ำลงไปกับพื้น เด็กผู้หญิงในมือก็ล้มร่วงลงไปกับเขาด้วย 

 

 

บุรุษที่คุกเข่าอยู่บนพื้นประหนึ่งไม้ไผ่ที่หักทีละท่อนๆ ท้ายที่สุดก็นอนคว่ำอยู่บนพื้นนิ่งไม่ขยับ 

 

 

บนลำคอของเขา ลูกศรดอกหนึ่งสั่นไหว 

 

 

เสียงตะโกนร่ำไห้ชะงัก จากนั้นเสียงร้องตกใจก็ดังขึ้น 

 

 

“ใคร?” 

 

 

บุรุษที่เหลือหลายคนที่ตกตะลึงอยู่ได้สติกลับมาก็รีบลนลานมองไป กลับเห็นไม่ไกลออกไปทหารกองหนึ่งไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อใด ธงสีแดงผืนใหญ่ผืนหนึ่งปลิวสะบัดอยู่ด้านหลัง ในนั้นมีทหารรูปร่างผอมเล็กปกปิดใบหน้าชั่วขณะหนึ่งมองไม่ออกว่าชายหรือหญิงกำลังเล็งคันศรมาหาพวกเขา 

 

 

ทหาร! 

 

 

บุรุษหลายคนนั้นเพิ่งกำลังจะโหวกเหวกเสียงดัง เสียงฟึบฟึบก็ดังขึ้นสองหน ลูกศรพุ่งมาแล้ว ลูกศรสามดอกแล่นออกมาพร้อมเพรียง ทะลุผ่านลำคอของบุรุษสามคนนี้ 

 

 

อึกอักไม่กี่ที กระทั่งกรีดร้องสักคำยังไม่ทันก็ตายเสียแล้ว 

 

 

บนทุ่งกว้างเงียบกริบ มีเพียงหลานสาวที่หญิงชราคนนั้นกอดอยู่ยังคงร้องไห้เสียงดัง 

 

 

“ประตูเมืองเปิดแล้ว!” 

 

 

ฉับพลันผู้ลี้ภัยคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้น 

 

 

ตอนนี้ผู้คนถึงมองเห็นประตูเมืองที่ปิดสนิทมาครึ่งเดือนกลับเปิดออกแล้ว 

 

 

ทุ่งกว้างทั้งหมดโกลาหลทันที คนทั้งหมดล้วนลุกขึ้นมาแห่ไปยังประตูเมือง 

 

 

เสียงพรึบดังขึ้นทีหนึ่ง ทหารกองนั้นที่ยืนอยู่ไม่ไกลหน้ากระดานเรียงหนึ่ง คันศรหอกยาวในมือเล็งมาที่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ 

 

 

ผู้ลี้ภัยที่กำลังตื่นเต้นอยู่หยุดเท้า สีหน้ากลายเป็นหวาดผวา 

 

 

นี่คือจะฆ่าล้างบางพวกเขาหรือ? 

 

 

“ผู้ลี้ภัยเข้าเมืองได้ ผู้ก่อความวุ่นวายเข้าเมืองไม่ได้” บุรุษคนหนึ่งเดินออกมาจากทหารกองนั้นตะโกนเสียงดังเอ่ย “ทุกคนที่เคยปล้นชิงข่มขืนขโมย ทั้งหมดไม่อนุญาตให้เข้าเมือง” 

 

 

อะไรนะ? 

 

 

บนทุ่งหว้างโกลาหลอยู่พักหนึ่ง 

 

 

“ผู้เฒ่าเด็กสตรีมาก่อน” บุรุษผู้นั้นเอ่ยต่อ “มีผู้ก่อความวุ่นวายคนใด ทุกคนชี้ตัวได้” 

 

 

ถึงกับมีกฎเช่นนี้ด้วย 

 

 

ในทุ่งกว้างมีคนไม่น้อยหน้าถอดสี แต่สีหน้ายังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง 

 

 

ค่อยๆ มีผู้เฒ่าเด็กสตรีขึ้นไปข้างหน้า เดินเข้าไปในเมืองใต้การจับตาของทหารเหล่านั้น ไม่ขัดขวางจริงๆ 

 

 

“หลังเข้าเมืองมุ่งไปที่วัดเฉิงหวง ที่นั่นตั้งโรงข้าวต้มไว้” บุรุษผู้นั้นเอ่ยอีก 

 

 

ถึงกับยังแจกข้าวต้มด้วย? 

 

 

บนทุ่งกว้างมีคนมากกว่าเดิมรุมเข้ามาทันที ครั้งนี้ยังมีชายหนุ่มเบียดเข้ามาวิ่งอยู่หน้าสุดอีกด้วย 

 

 

ทว่านาทีต่อมาศรดอกหนึ่งก็ยิงไปเบื้องหน้าเท้าของเขา 

 

 

ชายหนุ่มคนนั้นตกใจกลัวหยุดยืนทันที 

 

 

“ผู้เฒ่าคนเจ็บเด็กสตรีมาก่อน” บุรุษคนนั้นเอ่ยเย็นชา 

 

 

ชายหนุ่มมองทหารที่ถือคันศรอยู่หนึ่งแถวนี้ก็ไม่กล้าเดินหน้าอีก 

 

 

ผู้ลี้ภัยทั้งหลายเริ่มเข้าเมืองอย่างสงบและเป็นระเบียบ ฉับพลันในฝูงชนเสียงแหลมเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ผู้หญิงคนหนึ่งโถมเข้าจับบุรุษผอมแห้งคนหนึ่งไว้ 

 

 

“เขาฆ่าลูกสาวข้า เขาฆ่าลูกสาวข้า” นางตะโกนร้อง 

 

 

บุรุษคนนั้นรีบสะบัดแขนออกแววตาวิบวับ 

 

 

“ข้าไม่ได้ทำ เจ้าพูดส่งเดช” เขาก็ตะโกนบ้าง 

 

 

คันศรของจ้าวฮั่นชิงเล็งไปที่เขาแล้ว 

 

 

“มีพยานหรือไม่?” นางเอ่ยถาม 

 

 

ฝูงชนเงียบกริบนิ่งเฉย ฉับพลันก็มีคนก้าวออกมา นี่เป็นเด็กน้อยผอมแกร็นคนหนึ่ง 

 

 

“ข้า ข้าเห็น” เขาเอ่ยติดๆ ขัดๆ ชี้บุรุษคนนั้น 

 

 

จากนั้นก็มีคนมากกว่าเดิมก้าวออกมา 

 

 

“ข้าเห็น” 

 

 

“ข้าเป็นพยาน” 

 

 

“เขาทำชั่วย่ำยีบุตรสาวผู้อื่นจนตาย” 

 

 

บุรุษคนนั้นเห็นภาพความวุ่นวายนี้ก็ปิดความตระหนกไว้ไม่อยู่อีกต่อไป 

 

 

“นางสมยอม นางต้องการอาหารจากข้าจึงสมยอมเอง” เขาชูมือตะโกนเสียงดัง พร้อมกันนั้นก็สะบัดผู้หญิงวิ่งไปทางประตูเมือง 

 

 

วิ่งได้ไม่ถึงสองก้าว ศรของจ้าวฮั่นชิงก็ทะลุกลางหลังของเขาแล้ว ส่งบุรุษคนนั้นโถมคว่ำกับพื้นชักกระตุกสองทีก็นิ่งไป 

 

 

ผู้หญิงคนนั้นเห็นบุรุษผู้นี้ตายก็ร้องไห้เสียงดัง หันหน้ามาหาทหารกองนี้คุกเข่าโขกศีรษะไม่หยุด 

 

 

“รีบเข้าเมืองเถิด” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย คันศรในมือยังคงยกขึ้นมั่นคงเล็งไปทางผู้ลี้ภัยเหล่านี้ 

 

 

แต่นาทีนี้เวลานี้คนมากมายในใจไม่มีความหวาดกลัวอีกแล้ว พวกเขามองเห็นคันศรหอกยาวของทหารทั้งหลายเหล่านี้กลับรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง 

 

 

หญิงชราอุ้มหลานสาว น้ำตานองหน้า โขกศีรษะช้าๆ บนพื้นอีกครั้ง 

 

 

“ไม่ใช่กรรมไม่ตามสนองแค่ยังไม่ถึงเวลา” นางเอ่ยพึมพำ “สวรรค์ยังมีตา สวรรค์ยังมีตา” 

 

 

นางโขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ด้านข้างมีคนพยุงนางขึ้นมา 

 

 

“แม่เฒ่า รีบเข้าเมืองเถิด” พวกเขาเอ่ยขึ้น ท่าทางยินดีที่มีชีวิตรอดหลังภัยพิบัติ 

 

 

หญิงชราลุกขึ้นตัวสั่นระริกจับจูงหลานสาว 

 

 

“นี่ทหารที่ไหนกัน? ข้าจะต้องจดจำผู้มีพระคุณไว้” นางเอ่ยพึมพำ 

 

 

“ที่เขียนบนธงนั่นคือ” ผู้เฒ่าที่สวมชุดบัณฑิตมอซอคนหนึ่งได้ยินเข้าจึงหรี่ตามองธงใหญ่ผืนนั้นด้านหลังหมู่ทหารอ่านออกมา “กองทหารชิงซาน”