ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 303 เจ้าอยากเป็นอมตะ แต่ข้าส่งเจ้าให้อยู่ในห้วงนิทราชั่วกัลป์!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เทียบกับซินตงผิงแล้ว อันที่จริงความคิดมารในใจหยวนเทียนไม่ได้รุนแรงแต่อย่างใด

ทว่าตอนนี้ภัยคุกคามถึงชีวิต ทำให้ความกระหายที่มีต่อชีวิตของเขาบรรลุถึงขีดสุด

ขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ไร้อุปสรรคขวางกั้นชั่วชีวิต กำหนดไว้อยู่แล้วขอเพียงเขาไม่เข้าไปเหยียบประตูสำนักระดับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็น้อยนักจะมีคนสามารถต่อกรเขาได้

กระนั้นตอนนี้ หยวนเทียนสืบเท้ายังประตูสำนักระดับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกในชีวิต ที่แห่งนี้ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะกลายเป็นสถานที่ฝังกระดูกของเขา!

ชั่วขณะนี้ หยวนเทียนสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามถึงแก่ชีวิตกระจ่างชัด

สถานการณ์บีบบังคับเขาให้ต้องเลือก

กลายเป็นมาร รับความหวังเกิดใหม่อีกหน หรือจะตายอยู่ที่เขากว่างเฉิง!

หยวนเทียนเลือกข้อแรก

คนที่เหมือนเช่นเขายังมีซินตงผิง

ซินตงผิงในขณะนี้สงบนิ่งเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่มีความรู้สึกเหมือนคนห่างจากบ้านกลับถิ่นรูปแบบหนึ่งอยู่เลือนราง ประดังเข้ามาในเวลานี้เงียบๆ

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านพ่อ ท่านอาจารย์ลุงใหญ่จากไปแล้ว”

นัยน์ตาเยี่ยนตี๋สาดแสงเย็นเยียบ มือขวาที่กุมดาบสวรรค์มังกรทะยานไว้พลันกำแน่น

หยวนเทียนกับซินตงผิงได้ยินดังนั้น บนใบหน้าไร้แววยินดี กลับจะยิ่งตื่นตัวเสียด้วยซ้ำ

ซินตงผิงเพ่งมองเยี่ยนจ้าวเกอ สั่นศีรษะอย่างเชื่องช้า “ตอนนี้พูดคำเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรแล้ว แต่ความผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุดของข้า ไม่ใช่การดูถูกบิดาเจ้า เยี่ยนตี๋ หากแต่เป็นการที่ข้าไม่ได้จัดการเจ้าเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ต่างหาก”

เยี่ยนจ้าวเกอสบตากับซินตงผิงด้วยแววตาเยียบเย็น รำพันเรียบเฉยว่า “ในความคิดข้ากลับเป็นถ้าหากสามารถยืนยันได้แต่เนิ่นๆ ว่าเจ้าคือประมุขภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต กระนั้นก็สังหารเจ้าไปนานแล้ว”

ครั้นได้ยินคำกล่าวของชายหนุ่ม ซินตงผิงก็ถอนใจยาวคราหนึ่ง “พูดไปมากกว่านี้ก็เปล่าประโยชน์”

เขาจ้องเยี่ยนจ้าวเกอเขม็ง “วันนี้เกรงว่าจะไม่ได้แล้ว ข้าเจ็บหนักเกินไป กลายเป็นมารทำได้เพียงฝืนฟื้นฟูอาการบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ได้เพิ่มพูนความสามารถขึ้นอีกขั้น”

“ข้าหวังที่จะสามารถรับการหยิบยืมการกลายเป็นมารก้าวนี้ สืบเท้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ให้สำเร็จมาโดยตลอด แต่ก็ขาดอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเสมอมา หาไม่แล้ว วันนี้หากสามารถก้าวผ่านขั้นบรรลุธรรมสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้าจะลองดู ว่ามีโอกาสที่จะชดเชยความผิดพลาดก่อนหน้านี้หรือไม่”

ในมือเยี่ยนจ้าวเกอมีธนูเพิ่มขึ้นมาคันหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีลูกธนูดำสนิทสามดอก ทอแสงสีทองอ่อนๆ อีกด้วย

“ตาแก่ผมหงอก ตายไปอย่างสงบเสียเถิด” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเสียงเย็นยะเยือก

ขณะเอ่ยไปพลาง เยี่ยนจ้าวเกอก็ยกธนูอาชาฟ้าในมือขึ้นแล้ว

อาวุธวิญญาณระดับกลางชิ้นนี้ ระดับพลังฝึกปรือของเขาในขณะนี้ยังไม่อาจกระตุ้นพลังในนั้นได้ทั้งหมด

ทว่าก็เพียงพอแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอนำลูกธนูสีดำสนิทสองดอกเกี่ยวไปบนสายธนูพร้อมกัน จากนั้นน้าวสายธนูเข้ามา ประหนึ่งโอบอุ้มจันทร์เพ็ญเอาไว้

สายธนูจมลึกลงไปในเนื้อนิ้วของเขา ลูกธนูสองดอกชี้ไปทางตำแหน่งที่เล็งไว้ คล้ายกับเป็นพื้นที่ว่างรอบกายของซินตงผิงและหยวนเทียน

บนโลกใบนี้ ทักษะการยิงธนูก็เป็นรูปแบบหนึ่งของวิถีวรยุทธ์เช่นกัน ศาสตร์ของธนูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เฉกเช่นวิชาหอก วิชากระบี่ และวิชาดาบ

เพียงแต่ศาสตร์นี้ฝึกฝนได้ยากยิ่ง อยากจะมีฝีมืออันแก่กล้า ล้วนยากยิ่งกว่าวิถีวรยุทธ์อื่นๆ อักโข ขณะเดียวกันก็เน้นหนักในพรสวรรค์มากกว่าเช่นกัน

ทักษะธนูของเยี่ยนจ้าวเกอนั้นพอใช้ได้ เพิ่งเริ่มฝึกเมื่อไม่นานมานี้

ทว่าวันนี้ในเวลานี้ เขาอยากจะยิงพลาดก็ยังยาก

มหาค่ายกลนภาโคจร ก่อตัวเป็นพลังพันธนาการอันแกร่งกล้า ยังคงขังซินตงผิงกับหยวนเทียนเอาไว้ที่เดิม

เจตจำนงดาบของเยี่ยนตี๋ยิ่งฟาดลงอย่างโหดเหี้ยมขึ้นเป็นเท่าทวี ทำให้ทั้งสองทำได้เพียงต้านทานอย่างจนตรอก ไม่มีเวลาสนใจมองรอบข้างอีกต่อไปเช่นกัน

ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นมาร แต่อาการบาดเจ็บก่อนหน้าของพวกเขาก็หนักหนาเกินไป บัดนี้ยิ่งหมดทางต่อต้านบุตรบิดาเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋

ทว่าหลังจากกลายเป็นมาร สีหน้าซินตงผิงกลับจะสงบนิ่งลงมากด้วยซ้ำ มองบุตรบิดาเยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋ พลางเอื้อนเอ่ยชืดชา “ครานี้ เป็นข้าที่พลาดเอง”

“ด้านหนึ่ง ไม่ได้กำจัดเจ้าเยี่ยนจ้าวเกอไปเสียแต่เนิ่นๆ ด้านหนึ่ง ก็ประเมินบิดาเจ้าเยี่ยนตี๋ต่ำไป”

“วันนี้ตายที่นี่ครั้งหนึ่ง คราหน้า พวกเราค่อยตัดสินแพ้ชนะกันอีกครั้ง”

ซินตงผิงมองดูเยี่ยนจ้าวเกอ “คนเยาว์วัยอย่างเจ้า ดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับมารนพยมโลกอย่างมากเหมือนกันนี่?”

“ในกระบวนการที่พวกเจ้าไต่สวนศิษย์น้องหลิว ข้าได้ฟังแล้ว เจ้าตัดสินชี้ขาดระดับพลังฝึกปรือของเขา แม้จะกลายเป็นมาร ก็ไม่อาจกลายร่างเป็นมารแท้ฟื้นชีพได้เช่นกัน”

“ในเมื่อเข้าใจเช่นนี้ กระนั้นเจ้าควรรู้ไว้ว่าพลังฝึกปรือของข้า แม้จะยังไม่เข้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับมีโอกาส”

เขาหันกลับไปมองหยวนเทียนแวบหนึ่ง “อีกทั้งจอมมารศักดิ์สิทธิ์ ก็สามารถกลายร่างเป็นมารแท้ฟื้นคืนชีพได้อย่างแน่นอน”

เยี่ยนจ้าวเกอเล็งปลายลูกศรที่พวกเขาทั้งสอง ประกายตาเย็นยะเยือก

ซินตงผิงถอนใจอย่างไม่อินังขังขอบพลางเอ่ย “ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ อายุขัยก็มีจำกัดเหมือนกัน เส้นตายเข้ามาใกล้ ผู้ใดล้วนหนีไม่พ้น”

“ผู้คนคณานับต่างได้แต่วาดหวังชีวิตอมตะ ทว่าไม่อาจบรรลุ สำหรับข้าแล้ว อันที่จริงก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกรีบร้อนเท่าใดนัก ความปรารถนาชั่วชีวิตข้า หาใช่เฉกเช่นพวกเขาศิษย์พี่หวังกับศิษย์น้องหลิวแบบนั้นไม่”

“ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ ทั้งชาติ ธรรมดาสามัญ ก็ไม่มีความสนุกอะไรเช่นกัน”

ซินตงผิงรำพัน “แต่ว่า วันนี้กลับได้เข้าใจซึ้งถึงส่วนดีอยู่หลายข้อ ข้ามีความไม่พอใจ ยังไม่อยากตายเร็วเช่นนี้ หากสามารถเกิดใหม่ในนพยมโลกได้ เมื่อนั้นจะมาต่อสู้กับหยวนเจิ้งเฟิง กับบิดาของเจ้าอีก”

เยี่ยนจ้าวเกอไม่มีกะจิตกะใจจะฟังซินตงผิงพูดพล่าม ขณะนี้นอกจากเขาควบคุมมหาค่ายกลนภา ขังตายซินตงผิงกับหยวนเทียนไว้กับที่แล้วนั้น สมาธิทั้งหมดของชายหนุ่มล้วนจดจ่ออยู่บนคันธนูที่อยู่ในมือ

ด้วยการโจมตีขนาบจากการขับเคลื่อนมหาค่ายกลนภาของเยี่ยนจ้าวเกอ และเจตจำนงดาบของเยี่ยนตี๋ ในที่สุดทั้งสองคนก็ประคับประคองต่อไปไม่ไหว

ร่างของซินตงผิงถูกมหาค่ายกลนภาบดจนแหลกละเอียด!

หยวนเทียนก็ถูกดาบของเยี่ยนตี๋บั่นศีรษะ!

ทั้งสองถึงแม้จะสิ้นชีพ ทว่ากลับมีปราณสีดำหลายสายพลิกไปพลิกมา แผ่กระจายอยู่ในอากาศ ไม่ใช่หยุดอยู่ในอากาศของโลกแปดพิภพแต่อย่างใด หากคล้ายกับจะทะลุผ่านการขวางกั้นของเขตแดน มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ไม่อาจหาคำมาบรรยาย ไม่อาจเอ่ยออกมาได้

ปราณสีดำว่างเปล่าไม่ตอบสนองต่อพลัง แม้จะเป็นเจตจำนงดาบอันเหี้ยมโหดของเยี่ยนตี๋ และพลังจากการขับเคลื่อนมหาค่ายกลแดนมารของเยี่ยนจ้าวเกอ ก็หมดทางสัมผัสได้เช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายเหมือนกับอยู่กันคนละโลก

ภายในปราณดำปรากฏเห็นเงาร่างของซินตงผิงกับหยวนเทียน คนแรกสงบนิ่ง คนรองอาฆาตแค้น

ซินตงผิงอ้าปากพูด กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ทว่าสามารถแยกแยะจากรูปปากได้คร่าวๆ ใจความคือ ‘ยังมีโอกาสพบกันภายภาคหน้า’

เยี่ยนตี๋มองภาพฉากนี้ มุ่นหัวคิ้วแน่น ใบหน้าปรากฏรอยโทสะ

“ซินตงผิง เจ้าอยู่ในขั้นบรรลุธรรม หยวนเทียนเข้าสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าทั้งสองกลายเป็นมารโดยสมบูรณ์ สามารถเกิดใหม่ที่นพยมโลกได้หรือไม่ มีความหวังอยู่กี่ส่วน ข้ากระจ่างแจ้งแก่ใจดี”

ในที่สุดเยี่ยนจ้าวเกอก็ย้ายเส้นสายตาจากคันธนูในมือ เคลื่อนไปบนร่างของซินตงผิง

สีหน้าท่าทางเขาในตอนนี้ ห่อเหี่ยวเยียบเย็นราวกับหายนะบังเกิดท้องฟ้าร่วงหล่นก็ไม่ปาน ทว่าดวงตาคู่หนึ่งกลับคล้ายว่าเผาไหม้เพลิงสูงเสียดฟ้าไว้

“แต่เจ้าไม่รู้ชัด ว่าที่เจ้าเผชิญหน้าอยู่คืออะไร”

เยี่ยนจ้าวเกอออกเสียงเอื้อนเอ่ยทีละคำๆ แจ่มชัดอย่างยิ่ง “คันธนู นามว่าอาชาฟ้า อาวุธวิญญาณระดับกลางชิ้นหนึ่ง ไม่สำคัญแต่อย่างใด ไม่จำเป็นต้องใส่ใจก็ได้”

“ส่วนลูกธนูมีนามว่าทำลายมาร”

ซินตงผิงและหยวนเทียนตะลึงงัน

ครั้นเยี่ยนจ้าวเกอพูดจบ เขาก็คลายนิ้วมือ

แสงสีทองฉายวาบ ลูกธนูสีดำเลือนหายฉับพลันไม่พบเห็น!

ชั่วขณะก่อน คันศรอยู่บนคันธนูอาชาฟ้า

ชั่วขณะถัดมา คันศรเข้าเป้าที่ปราณสีดำนั่น ตรงเข้าที่ทรวงออกของซินตงผิงและหยวนเทียน!

ซินตงผิงและหยวนเทียนก้มหน้าลง มองดูหน้าอกตนเองแหวกออกเป็นรูเล็กๆ รูหนึ่งด้วยความงุนงง

จากนั้นรูเล็กก็แผ่ขยายไปรอบๆ ทั้งสี่ด้านไม่หยุด เปลี่ยนเป็นโพรงใหญ่

โพรงใหญ่ขยายต่อไปอีก

ร่างกายของทั้งสองปรากฏโพรงขึ้นมา โพรงนั้นแผ่ขยายออกไปด้านนอกตลอดเวลา ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด

ขนาดโพรงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กัดกินร่างกายของทั้งสองคนจนค่อยๆ หายไป ราวกับถูกโพรงบนร่างกลืนกินจากด้านในออกมาด้านนอก

จนสุดท้าย ร่างถูกดับสลายทั้งหมด กลายเป็นไม่มี

แม้แต่ปราณสีดำที่ห่อหุ้มพวกเขาไว้ ก็เหมือนว่าถูกทำให้บริสุทธิ์เช่นกัน

“เจ้า!” ซินตงผิงมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างยากจะปักใจเชื่อ

เยี่ยนจ้าวเกอสบตากับเขา กล่าวด้วยความเมินเฉย “เจ้าต้องการเป็นอมตะรึ?”

“ข้าส่งเจ้าให้อยู่ในห้วงนิทราชั่วกัลป์!”

………………………..