“ไม่ยอมหรือ” ม่อซิวเหยาราวกับได้ยินเรื่องน่าขันก็มิปาน เขามองใบหน้าอันงดงามที่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้นของไป๋ชิงหนิงอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้าว่าไม่ยอม ทำร้ายอาหลีให้บาดเจ็บ พวกเจ้า…สมควรตายให้หมด!” ประโยคสุดท้ายนี้เสียงของเขาแผ่วเบายิ่งนัก บรรดาสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ไม่ไกลไม่มีทางจะได้ยิน แต่กลับก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของไป๋ชิงหนิงจนหูนางแทบจะดับ
ทันใดนั้นเองไป๋ชิงหนิงรู้สึกว่านัยน์ตาของม่อซิวเหยาที่นางมองเห็นนั้นฉายแววสีแดงฉานสว่างโชติช่วงราวกับปีศาจร้าย จึงกรีดร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว ไป๋ฮูหยินที่อยู่ไม่ไกลเห็นดังนั้นก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องราวไม่ได้สวยงามดั่งที่ตัวนางคิดเอาไว้ จึงรีบโซซัดโซเซฝ่าเข้าไป “ท่านอ๋อง…หม่อมฉัน…”
เห็นม่อซิวเหยาไม่กล่าวคำใด เฟิ่งจือเหยาจึงเอ่ยปากอธิบายว่า “คุณหนูไป๋ทำร้ายพระชายาให้ได้รับความตกใจจนสลบไปไม่ฟื้น คุณชายสี่ก็ได้รับบาดเจ็บหนัก…” กล่าวเช่นนี้ไม่นับว่าเป็นการใส่ร้ายไป๋ชิงหนิง หากไม่ใช่เพราะนางคอยเกะกะองครักษ์แล้ว คงส่งตัวสวีชิงปั๋วออกไปได้เร็วกว่านี้ และทั้งคู่คงไม่ต้องได้รับบาดเจ็บเช่นนี้
“อะ…อะไรนะ” ไป๋ฮูหยินตกใจกล่าวเสียงสั่น ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่กล้าเชื่อว่าลูกสาวที่แสนดีฉลาดเฉลียวมาตลอดจะทำเรื่องที่นำภัยมาให้ตระกูลเช่นนี้ ไป๋ชิงหนิงก็รู้ดีว่ายามนี้ชีวิตของนางกำลังอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย จึงรีบจับไป๋ฮูหยินไว้แล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ลูกถูกใส่ร้าย ลูกไม่ได้ทำร้ายคุณชายสวีสี่ของจวนติ้งอ๋อง! ลูกถูกใส่ร้าย…”
“ท่านอ๋อง…” ไป๋ฮูหยินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก กล่าวเสียงสั่นว่า “ท่านอ๋อง กะ…เกรงว่านี่จะเป็นการเข้าใจผิดกัน ละ ลูกของหม่อมฉันไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้แน่นอนเพคะ ท่านอ๋องโปรดเห็นแก่ความจงรักภักดีของสกุลไป๋ ได้ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยเถิด” ม่อซิวเหยาที่หลับตาพักเหนื่อยพลันลืมตาขึ้น แววตาคมดุจใบมีดเฉียดผ่านร่างของไป๋ฮูหยินแล้วกล่าวว่า “ไป๋ฮูหยิน…กำลังข่มขู่ข้าหรือ”
“หม่อมฉันไม่บังอาจ ท่านอ๋องโปรดพิจารณาอย่างถี่ถ้วน!” ไป๋ฮูหยินตกใจจนตัวอ่อนยวบลงไปกองอยู่กับพื้นไม่กล้าพูดอะไรอีก ม่อซิวเหยามองไป๋ชิงหนิงด้วยสายตาเย็นชาทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ลากตัวออกไป ข้าไม่อยากเห็นนางอีก”
เฟิ่งจือเหยาแอบถอนใจเงียบๆ ในใจ ความจริงแล้วโทษของไป๋ชิงหนิงไม่ถึงตาย คงต้องโทษในความโชคร้ายของนางเสียแล้ว เขาโบกมือให้คนมาลากตัวนางออกไป ไป๋ชิงหนิงขัดขืนไม่หยุด แต่ไหนเลยจะสู้แรงบุรุษร่างใหญ่สองคนได้ นางถูกลากออกไปอย่างไม่ลังเล มีเพียงเสียงกรีดร้องของนางที่ดังลอยมาไกลๆ “ไม่! ข้าไม่อยากตาย! ท่านแม่…ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากตาย…”
เสียงกรีดร้องแหลมสูงที่ลอยมาตามลมค่อยๆ หยุดลง บรรดาสตรีสูงศักดิ์ในสวนล้วนสีหน้าซีดเผือดไร้สีสัน ตัวสั่นงันงกท่ามกลางลมหนาว
ไป๋ฮูหยินมองตามทิศทางที่แผ่นหลังของลูกสาวหายไปด้วยความตกใจ จนในที่สุดก็ร้องไห้เสียงดังออกมาอย่างอดไม่อยู่ ชั่วชีวิตของนางมีลูกสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น นางจึงตั้งความหวังไว้สูงมาตั้งแต่เล็ก ไป๋ชิงหนิงก็ไม่เคยทำให้นางผิดหวังเลยสักครา แต่ยามนี้กลับถูกติ้งอ๋องสั่งฆ่าไปเสียแล้ว จะให้นางรับได้ได้อย่างไร องครักษ์ทั้งสองเข้ามาจับแขนซ้ายขวาของไป๋ฮูหยินลากออกไปด้านนอก ท่านอ๋องอารมณ์ไม่ดี หากให้นางร้องห่มร้องไห้อยู่ตรงนี้ต่อไป อาจทำให้อารมณ์ของท่านอ๋องยิ่งไม่ดีมากขึ้นไปอีก ถึงเวลานั้นคนที่โชคร้ายคงไม่ใช่เพียงคนพวกนี้แล้ว
“ท่านอ๋อง” ซุนฮูหยินถือสมุดเล่มหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน แต่เมื่อเห็นศพนอนเรียงอยู่บนพื้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยน นางเดินไปหาม่อซิวเหยาตาไม่กระพริบ กล่าวเสียงเบาว่า “สิ่งที่ท่านอ๋องต้องการอยู่นี่แล้วเจ้าค่ะ” เฟิ่งจือเหยาอดจะมองสตรีตรงหน้าอย่างชื่นชมไม่ได้ ในฐานะสตรีของตระกูลสูงศักดิ์ถึงแม้จะสู้พระชายาติ้งอ๋องที่เข้าสู่สงครามแห่งราชวงศ์ไม่ได้ แต่การที่นางมีความกล้าและความมุ่งมั่นเช่นนี้ได้ก็นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว
ม่อซิวเหยารับสมุดมาเปิดดู สีหน้ายิ่งมืดครึ้มขึ้นไปอีก ครู่ต่อมาจึงปิดสมุดดังปั้กแล้วโยนใส่อกหลินหานที่อยู่ด้านข้าง กล่าวว่า “ไปเอาตัวคนตามรายชื่อในสมุดเล่มนี้มาให้ข้า” หลินหานรับสมุดไว้ เก็บเข้าอกเสื้อโดยไม่แม้แต่จะดูสักนิด กล่าวเสียงดังว่า “รับบัญชา” แล้วหมุนตัวกลับหายวับราวกับสายลม
วันนี้ในเมืองหลวงซีหลิงเกิดเหตุการณ์นองเลือดสาดกระเซ็นขึ้นในรอบห้าหกสิบปี ขนาดยามเมื่อครั้งเจิ้นหนานอ๋องชิงอำนาจปราบปรามขุนนางในราชสำนักในปีนั้นก็ยังไม่น่าเวทนาเท่าเหตุการณ์นี้ นอกประตูใหญ่ของสวนดอกไม้สกุลซุน ภายในเมืองหลวงนั้นพระญาติและเหล่าขุนนางชั้นสูงแทบจะทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เด็กหรือคนแก่ล้วนถูกลากมาที่ด้านนอกของสวน ตรงทางแยกเต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนอยู่ด้านในสามชั้นด้านนอกอีกสามชั้น และผู้คนเหล่านั้นทั้งหมดคือคนของสามตระกูลใหญ่ของซีหลิงที่จะถูกยึดทรัพย์และสังหาร สถานที่ลงทัณฑ์ก็คือบนถนนนอกสวนดอกไม้ เรื่องสำคัญเช่นนี้แม้แต่ฮ่องเต้ซีหลิงเองก็ยังตกพระทัยจนต้องรีบออกจากวังมา แต่ก็น่าเสียดายที่ถึงแม้องค์ฮ่องเต้ของซีหลิงจะเสด็จมาด้วยพระองค์เองแต่ก็ไม่อาจช่วยชีวิตคนเหล่านี้ไว้ได้ บนถนนด้านนอกสวนของสกุลซุนเลือดนองดั่งแม่น้ำ ทั่วทั้งถนนราวกับโดนย้อมไปด้วยคราบเลือดสีแดงฉาน ในวันนี้ผู้ที่ถูกประหารมีจวิ้นอ๋องหนึ่งพระองค์ องค์หญิงหนึ่งพระองค์ โหวเจวี๋ย[1]สองคน ขุนนางขั้นที่สามขึ้นไปอีกสี่คน ขุนนางขั้นที่ห้าลงมานั้นนับไม่ถ้วน และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะพระชายาถูกลอบสังหาร ทั่วทั้งใต้หล้าจึงพลันหวาดหวั่นพรั่นพรึงกันขึ้นทันที
คนรุ่นหลังได้บันทึกไว้ใน ‘จดหมายเหตุแห่งซีหลิง ฉบับฮ่องเต้องค์สุดท้าย’ ว่า เดือนเก้า พระชายาติ้งอ๋องถูกลอบสังหาร ณ เมืองหลวงแห่งซีหลิง ท่านอ๋องโกรธเกรี้ยวอย่างมาก เลือดนองท่วมเมือง เรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า ‘ภัยพิบัตินองเลือด ณ สวนดอกไม้สกุลซุน’
และใน ‘พงศาวดารแคว้นฉู่ บันทึกของติ้งอ๋อง ฉบับติ้งหวนอ๋อง’ ได้บันทึกไว้ว่า กลางเดือนเก้า พระชายาถูกลอบสังหาร ณ เมืองหลวงแห่งซีหลิง ท่านอ๋องทรงพิโรธ ประหารผู้ที่เกี่ยวข้องกับเจิ้นหนานอ๋องนับร้อย ขุนนางผู้มีอำนาจถูกประหารไปสามตระกูล ทั่วทั้งใต้หล้าต่างหวาดหวั่นพรั่นพรึง
และมีการวิจารณ์ในบันทึกของประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นทางการอย่าง ‘บันทึกพระชายาติ้งหวนอ๋อง’ ว่า ติ้งอ๋องสังหารตระกูลขุนนางของซีหลิงกว่าครึ่งเพื่อพระชายา เมืองหลวงแห่งซีหลิงเลือดนองดั่งแม่น้ำ วิญญาณโหยหวนกรีดร้อง ความรักอันซื่อสัตย์ที่ติ้งอ๋องทรงมีต่อพระชายาสั่นสะท้านไปทั่วหล้า ทรงใช้หัตถ์อันเด็ดเดี่ยวสังหารผู้คนนับไม่ถ้วนเพื่อพระชายา เยี่ยซื่อเรียกเหตุการณ์นี้ว่าหายนะธาราเลือด
อีกทั้งไม่ว่าเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้จะทำชื่อเสียงของติ้งอ๋องโหดเหี้ยมเพิ่มขึ้นอย่างไร บรรดาขุนนางชั้นสูงเหล่านั้นที่ถูกบังคับให้ดูการลงทัณฑ์ในครั้งนี้ต่างอกสั่นขวัญแขวนไปไม่รู้เท่าใด ซ้ำยังได้ยินมาอีกว่าพวกที่ขี้ขลาดตาขาวล้วนขวัญเสียกันถึงขีดสุด พอกลับไปก็พากันล้มป่วย มีบางคนผ่านไปไม่กี่วันก็ถึงขั้นสิ้นลมไปก็มี
แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับไม่ส่งผลกระทบต่อม่อซิวเหยาแม้แต่น้อย ตั้งแต่เยี่ยหลีสลบไป สีหน้าติ้งอ๋องก็ไม่เคยปรากฏสิ่งที่เรียกว่าความอ่อนโยนใดๆ ออกมาเลย ขนาดหัวเราะยังทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวยะเยือก แม้กระทั่งเรื่องที่เยี่ยหลีตั้งครรภ์ก็ยังไม่อาจทำให้ม่อซิวเหยารู้สึกปรีดาขึ้นมาได้ เมื่อยามที่เห็นติ้งอ๋องจ้องมองหน้าท้องที่ยังคงแบนราบของพระชายาด้วยแววตาหม่นหมองโดยไม่ได้ตั้งใจ เฟิ่งจือเหยาก็อดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้ แค่เพียงนึกย้อนไปถึงปีนั้นที่ท่านอ๋องก็มองซื่อจื่อน้อยอย่างขวางหูขวางตา แต่กระนั้นยามนี้ซื่อจื่อน้อยก็เติบโตมาอย่างแข็งแรงกำยำจนสามารถฟาดฟันกับท่านอ๋องได้แล้วมิใช่หรือ
“ท่านอ๋อง”
ภายในห้องอันเงียบงันและสวยงามนี้ มีเยี่ยหลีนอนอย่างนิ่งสงบอยู่บนเตียง ม่อซิวเหยานั่งอยู่ข้างเตียง เอนกายครึ่งหนึ่งอยู่บนเตียงมองหน้ายามหลับที่สงบนิ่งของเยี่ยหลีเงียบๆ นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยนอาลัยรักใคร่ พอได้ยินเสียงเฟิ่งจือเหยาจึงหยัดกายขึ้น กล่าวเสียงเข้มว่า “เข้ามาเถิด”
เฟิ่งจือเหยาเดินเข้ามาเห็นสตรีที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงและบุรุษผมขาวที่ยังคงเฝ้าอยู่ข้างเตียงก็ทอดถอนอยู่ในใจเบาๆ กล่างรายงานเสียงเข้มว่า “ท่านอ๋อง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับมือสังหารที่ซุนฮูหยินได้ตรวจสอบมานั้นล้วนถูกคุมตัวไว้ทั้งหมดแล้ว ต้องการจะ…” ขุนนางชั้นสูงที่ตกใจจนขวัญหายเหล่านั้นกลับไม่รู้ การเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณที่พวกเขาได้เห็นในวันนี้เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของธารน้ำแข็งเท่านั้น คนมากมายที่เหลือกำลังรอให้ม่อซิวเหยาตัดสินชี้ชะตาอยู่
[1] โหวเจวี๋ย ตำแหน่งเทียบเท่าพระยาของไทย