ท่านอ๋องโมโหโกรธา โลหิตหลั่งนองเจิ่งล้น เฟิ่งจือเหยาอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงคำสั่งสอนของท่านอาจารย์เมื่อครั้นวัยรุ่น แต่กลับไม่รู้ว่าพวกที่แอบวางแผนเรื่องนี้กันอย่างลับๆ ยามนี้จะเสียใจภายหลังหรือไม่
“ฆ่าให้หมด” ม่อซิวเหยากล่าวเสียงอ่อนโยน มือเรียวลูบดวงหน้างามของเยี่ยหลีแผ่วเบา แต่ความหมายของสิ่งที่กล่าวมานั้นกลับแฝงไว้ด้วยการนองเลือดและไอสังหารอย่างมหาศาล
เฟิ่งจือเหยากลับไม่ตกใจกับท่าทางเช่นนี้ ตรองดูครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ท่านอ๋อง…ท่านคิดว่าเรื่องนี้มีเจิ้นหนานอ๋องเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจริงๆ หรือ” ครานี้กล่าวได้ว่าได้ถอนรากถอนโคนคนของตำหนักเจิ้นหนานอ๋องที่ซ่อนอยู่ในซีหลิงไปทั้งหมด หนึ่งในนั้นได้รวมถึงตระกูลของจวนเจิ้นหนานอ๋องทั้งหมดด้วย แม้ว่าเจิ้นหนานอ๋องจะมีทายาทไม่มากนัก แต่ทว่าเหลยเถิงเฟิงกลับมีลูกหลานมากมาย ก่อนทหารตระกูลม่อจะเข้าเมืองมา บุตรชายสายหลักของเหลยเถิงเฟิงก็ถูกคนพาออกจากซีหลิงไปนานแล้ว แต่ตำหนักอ๋องในเมืองซีหลิงกลับยังมีบุตรชายบุตรสาวสายรองเหลืออยู่ หากจะกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของเจิ้นหนานอ๋อง ก็ใช่ว่าจะอธิบายไม่ได้ แต่หากเป็นฝีมือเจิ้นหนานอ๋องจริงๆ คนที่มานั้นคงอันตรายกว่าครั้งนี้แน่นอน ความจริงแล้วครานี้หากไม่ใช่เพราะพระชายากำลังมีครรภ์ นักฆ่าพวกนั้นคงแตะต้องนางไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ อีกทั้งก็เป็นไปไม่ได้ที่เหลยเจิ้นถิงจะไม่รู้ ว่าหากเยี่ยหลีถูกลอบฆ่าจนตาย เกรงว่าคงจะไม่จบด้วยการฆ่าคนเพียวไม่กี่คน เกรงว่าเมืองหลวงแห่งซีหลิงทั้งเมืองคงโดนฆ่าจนแม้แต่หมากับไก่ก็ยังไม่เหลือ
“ต่อให้ไม่ใช่เขา แต่ก็เป็นเพราะเขาที่สั่งสอนดูแลไม่ดี!” ม่อซิวเหยากล่าวเสียงเย็นเยียบ
เฟิ่งจือเหยาหมดอารมณ์จะเห็นใจเหลยเจิ้นถิงที่ถูกม่อซิวเหยาเอาความโกระไปลงที่เขา จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ไป๋ชิงหนิงแห่งสกุลไป๋นั่น ท่านอ๋องฆ่านางไปเช่นนี้ จะดีจริงๆ หรือ” ม่อซิวเหยามองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ฆ่าก็ฆ่าไปแล้ว มีประโยชน์อะไรให้พูดถึงอีก” เฟิ่งจือเหยาถอนใจอย่างจนใจ “ความหมายของข้าคือ ต่อจากนี้ท่านอ๋องจะทำเช่นไรกับสกุลไป๋ เกรงว่าหลังจากเหตุการณ์ครานี้สกุลไป๋คงจะขุ่นเคืองใจ ท่านอ๋องควรป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่า…” ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรสกุลไป๋ก็ยังเป็นตระกูลใหญ่ของซีหลิง ม่อซิวเหยาส่งเสียงขึ้นจมูกคราหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ตระกูลพระสนมพระชายาเช่นนี้ สกุลไป๋จะมีคนที่มีความสามารถถึงครึ่งหนึ่งหรือ ข้าไม่ต้องการพวกคนไร้ประโยชน์”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เฟิ่งจือเหยาพยักหน้ากล่าว
“สวีชิงปั๋วเป็นอย่างไรบ้าง” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วถาม หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสวีชิงปั๋ว ดูจากนิสัยของอาหลีแล้วจะต้องโทษตัวเองไปตลอดชีวิตเป็นแน่ ม่อซิวเหยาไม่ยินดีที่จะเห็นเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าอย่างไรสวีชิงปั๋วก็เป็นคนรับกระบี่เล่มนั้นแทนอาหลีไป หากกระบี่เล่มนั้นแทงโดนร่างของอาหลี…แค่คิดถึงความเป็นไปได้นี้ ไอสังหารบนร่างม่อซิวเหยาก็แผ่ออกมาไม่หยุด
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจว่าท่านอ๋องถามถึงอาการบาดเจ็บของคุณชายสวีสี่แล้วเหตุใดจึงปล่อยไอสังหารออกมาเช่นนี้ “หมอและหมอหลวงรวมถึงแพทย์ทหารของเราได้ไปดูอาการคุณชายสี่แล้ว ไม่บาดเจ็บถึงตาย เพียงแต่เสียเลือดไปมากยามนี้จึงยังไม่ฟื้น คงต้องใช้เวลาพักรักษาตัวไม่น้อยทีเดียว” จริงๆ แล้วที่ยังไม่ฟื้นเป็นเพราะหมอให้ยาระงับปวดไปไม่น้อย กระบี่แทงทะลุจากด้านหลัง อย่าว่าแต่บัณฑิตร่างกายอ่อนแออย่างสวีชิงปั๋วเลย ต่อให้เป็นคนมีวรยุทธอย่างพวกเขาก็คงจะสาหัสไม่ต่างกัน ดังนั้นควรพักผ่อนให้มาก หลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากไปสักพัก
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “สั่งลงไปว่าให้ดูแลให้ดี หากเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายสวีสี่ล่ะก็ อย่ามาโทษว่าข้าไร้ปรานีก็แล้วกัน”
เฟิ่งจือเหยาท่าทางเงียบขรึม ผ่านวันนี้ไปผู้ใดยังจะกล้าหน้าไหว้หลังหลอกต่อติ้งอ๋องอีก คงไม่ห่วงชีวิตแล้วกระมัง
“ท่านอ๋อง จั๋วจิ้งขอพบขอรับ” เสียงจั๋วจิ้งดังขึ้นนอกประตู ม่อซิวเหยากล่าวกับเฟิ่งจือเหยาว่า “เจ้าออกไปก่อนเถิด จั๋วจิ้งเข้ามา”
จั๋วจิ้งเดินสวนเฟิ่งจือเหยาเข้ามา “ท่านอ๋อง พระชายา…”
“ปลอดภัยดี” ม่อซิวเหยากล่าวเสียงเรียบ “เรื่องที่ให้เจ้าไปสืบเล่า” จั๋วจิ้งตอบอย่างนอบน้อม “รายชื่อที่ซุนฮุ่ยเหนียงรวบรวมให้นั้นเป็นความจริงขอรับ ผู้ที่แอบปลุกปั่นยั่วยุเหล่านั้นได้ออกจากเมืองไปแล้ว ข้าน้อยสั่งให้คนแอบตามไป ดูเหมือนพวกนั้นจะเป็นคนต้าฉู่ เพียงแต่รายงานล่าสุดของตำหนักกลับตรวจสอบฐานะไม่เจอว่าคือผู้ใด ยามนี้พวกมันกำลังมุ่งหน้าขึ้นเหนือไป คงจะเป็นเส้นทางสู่ฉู่จิงขอรับ”
ม่อซิวเหยาหลุบตาลง ไตร่ตรองครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ต้าฉู่…ม่อจิ่งหลีลงใต้ไปแล้วจะไปฉู่จิงเพื่อการใดอีก ไม่สิ…ยังมีผู้ที่มีชาวต้าฉู่จำนวนมากอยู่ในมืออีกคน เหรินฉีหนิง…หลินย่วน…” จั๋วจิ้งความคิดเร็วรี่ “ท่านอ๋องสงสัยว่าเป็นฝีมือของเป่ยจิ้งหรือ” ม่อซิวเหยายิ้มไม่ตอบคำ สั่งการเสียงเรียบว่า “ส่งคนตามเขาไป หากเป็นคนของเหรินฉีหนิงจริงๆ…”
จั๋วจิ้งรอคำสั่งจากม่อซิวเหยาอยู่เงียบๆ นานทีเดียวจึงได้ยินม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงกดต่ำ “ข้าจำได้ว่าเหรินฉีหนิงมีภรรยาสุดที่รักที่เป็นองค์หญิงของชนเผ่าทางเป่ยจิ้งกับบุตรธิดาอยู่หลายคนใช่หรือไม่”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” ในคราแรกเหรินฉีหนิงใช้ฐานะคนนอกเผ่ามารวบรวมเป่ยจิ้ง นั่นเป็นเพราะเขาต้องการจะแต่งงานกับธิดาเพียงคนเดียวของหัวหน้าเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในยามนั้นของเป่ยจิ้ง
“ฆ่าให้หมดเลยแล้วกัน” ม่อซิวเหยากล่าวเสียงเรียบ
“รับบัญชา”
จั๋วจิ้งบอกลาแล้วออกไป ภายในห้องจึงกลับมาเงียบงันอีกครั้ง ม่อซิวเหยามองใบหน้าอันงดงามของเยี่ยหลีที่กำลังดิ่งลึกสู่นิทราอย่างกังวล ก้มหน้าลงจุมพิตอ่อนโยนอย่างแผ่วเบาบนริมฝีปากนาง “อาหลี รีบฟื้นขึ้นมาทีดีหรือไม่ เจ้าคงไม่รู้…เห็นเจ้านอนอยู่ที่นี่เช่นนี้ ข้ากลัวเหลือเกิน…” หากเจ้ายังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ข้ากลัวว่าข้าจะควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ แล้วจะทำให้ทั้งเมืองซีหลิงกลายเป็นขุมนรก ข้ารู้…ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้น รีบฟื้นขึ้นมาเถิดนะ
ภายในพระราชวังซีหลิง ฮ่องเต้ซีหลิงทรุดองค์นั่งลงบนบัลลังก์มังกรด้วยสีพระพักตร์ที่ซีดเซียว ท่าทางราวกับหมดแรงไปทั่วทั้งวรกาย เหตุการณ์นอกสวนดอกไม้ในวันนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เหล่าขุนนางชั้นสูงของซีหลิงหวาดหวั่นพรั่นพรึง แม้แต่พระองค์ที่เป็นกษัตริย์ก็ยังอกสั่นขวัญหายไม่แพ้กัน พระองค์ทอดพระเนตรมองบุรุษที่ทั้งผมเผ้าและอาภรณ์ล้วนเป็นสีขาวผู้นั้นนั่งอยู่หน้าประตูมองคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้ามั่นคงแน่วแน่ ราวกับไม่ยินดียินร้ายใดๆ ทว่าแต่ละประโยคที่กล่าวออกมาจากปากเขานั้นกลับเชือดเฉือนฟาดฟันให้โลหิตหลั่ง เหมือนเทพเจ้าอันสูงส่งที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของมนุษย์ได้ตามต้องการ ที่นี่เคยเป็นดินแดนที่พระองค์ทรงโหยหามากที่สุด ในฐานะฮ่องเต้แล้ว พระองค์ตัดสินความเป็นความตายได้ตามประสงค์ แต่ยามนี้พระองค์กลับเริ่มสงสัยว่าพระองค์นั้นจะสามารถทำเช่นนั้นได้จริงๆ หรือ พระองค์จะสามารถสังหารขุนนางเกือบครึ่งโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนอย่างม่อซิวเหยาได้จริงหรือ
ฮ่องเต้ซีหลิงส่ายพระพักตร์อย่างอ่อนแรง พระองค์ทำไม่ได้ ไม่เพียงแต่พระองค์เอง ต่อให้เป็นเหลยเจิ้นถิงก็ทำไม่ได้ ต่อให้ทรงอำนาจล้นฟ้ากว่านี้ พวกเขาก็ทำแบบม่อซิวเหยาเช่นนั้นไม่ได้…เย็นชาไร้ความรู้สึก…
“ฝ่าบาท…” ขันทีด้านหน้ามองฮ่องเต้ซีหลิงด้วยความกังวลใจ ตั้งแต่เสด็จกลับมาจากนอกวัง ฝ่าบาทก็ท่าทางอกสั่นขวัญหาย แต่ก็ไม่ยอมให้เรียกหมอหลวงเข้ามา ทำเอาผู้ที่ติดตามพระองค์พากันเป็นห่วงกังวล แต่พอนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าแล้วก็รู้สึกว่าท่าทางของฝ่าบาทยามนี้ไม่ผิดแปลกอะไร ขนาดพวกเขาที่เห็นการฆ่าฟันมามากมายยามนี้แข้งขาก็ยังไม่หยุดสั่นเสียที
“องค์หญิงหลิงอวิ๋นเป็นเช่นไรบ้าง” ครู่ใหญ่ทีเดียวฮ่องเต้ซีหลิงจึงได้ตรัสถามออกมาเบาๆ แม้พระองค์จะไม่ค่อยสนิทกับพระธิดาองค์นี้มากนัก แต่ฮ่องเต้ก็ทรงมีทายาทไม่มาก ซึ่งองค์หญิงหลิงอวิ๋นนับว่าค่อนข้างโดดเด่นจากองค์อื่นๆ ไม่น้อยแล้ว ยามนี้เมื่อนางมาจากไปเช่นนี้แล้ว หากบอกว่าไม่ทรงเศร้าโศกเสียใจเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงแม้จะทุกข์ตรมมากกว่านี้ ในฐานะเสด็จพ่อ พระองค์กลับไม่มีความสามารถและความกล้าที่จะไปทวงคืนความยุติธรรมให้แก่นาง
ขันทีทูลตอบอย่างระวัง “ร่างขององค์หญิงได้ถูกส่งกลับไปยังตำหนักขององค์หญิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ กรมพิธีการกำลังหาวันมงคลเพื่อส่งองค์หญิงกลับสู่สุขคติ ฝ่าบาทโปรดทรงรักษาพระวรกายองค์เองด้วย”