ฮ่องเต้ซีหลิงยิ้มอย่างจนใจแล้วตรัสว่า “ช่างเถิด เทียบกับคนพวกนั้นแล้ว...นับว่านางจากไปอย่างสงบ สั่งการลงไปให้กรมพิธีการรีบจัดพิธีฝังศพแก่องค์หญิง พวกเราจะเดินทางไปเมืองอันก่อนกำหนด” ไม่ว่าเพราะความรู้สึกที่พระองค์ไม่อยากเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ หรือจะเพราะเกรงกลัวม่อซิวเหยากับพระชายาก็ตาม ฮ่องเต้แห่งซีหลิงไม่เหลือความอาลัยอาวรณ์ในเมืองหลวงที่อยู่ในสภาพนี้อีกแล้ว
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เมื่อครู่นอกวังส่งข่าวจากตำหนักเจิ้นหนานอ๋องมาว่าบุตรชายสายรองของรุ่ยจวิ้นอ๋องจำนวนหนึ่งเสียชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ตรองดูครู่หนึ่ง ขันทีรู้สึกว่าควรจะบอกข่าวดีนี้แก่ฝ่าบาทเสียหน่อย ฮ่องเต้ซีหลิงเบิกเนตรกว้าง “หา จริงหรือ”
“จริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ เรื่องครานี้เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับเจิ้นหนานอ๋อง ติ้งอ๋องโกรธเกรี้ยวจนฆ่าและยึดทรัพย์ตำหนักเจิ้นหนานอ๋องและตำหนักรุ่ยจวิ้นอ๋อง ทั้งตระกูล…ถูกฆ่าจนไม่เหลือหลอ…” กล่าวถึงตรงนี้ขันทีที่มีอายุผู้นั้นก็อดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้
ฮ่องเต้ซีหลิงตะลึงไปครู่หนึ่งจึงหัวเราะหึๆ ออกมาสองคำตรัสว่า “เหลยเจิ้นถิง...เกรงว่าความฉลาดของเขาจะมาได้เท่านี้แล้วกระมัง ช่างเถิด อย่างน้อย…อำนาจของเหลยเจิ้นถิงก็ถูกม่อซิวเหยาทำลายลงจนเหลือไม่มากแล้ว พวกเรารีบออกจากซีหลิงไปยังเมืองอันกันเถิด สั่งการลงไป อย่าได้ยั่วยุดาวหายนะดวงนี้ให้พิโรธขึ้นมาอีก”
“กระหม่อมรับบัญชา”
เยี่ยหลีฟื้นขึ้นมาก็เป็นเวลาหลังจากนั้นสามวันแล้ว แม้ว่าเวลาสามวันจะไม่นับว่ายาวนานอะไร แต่การจัดการเรื่องราวของติ้งอ๋องนั้นดีเยี่ยมมาโดยตลอด ดังนั้นในสามวันนี้อำนาจที่ยังหลงเหลืออยู่ทั้งนอกและในเมืองหลวงล้วนถูกฉินเฟิง เฟิ่งจือเหยาและคนอื่นๆ เก็บกวาดจนหมดจด ส่วนกิจการของสามสี่ตระกูลที่สูญสลายหรือศีรษะกี่คนที่หล่นลงพื้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ประชาชนปกติธรรมดาจะมารับรู้ได้ ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็มีคนไม่น้อยที่รับรู้ได้ว่าคนคุ้นหน้าคุ้นตาในเมืองหลวงแห่งนี้ถูกเก็บกวาดจนเรียบราบภายในคืนเดียวไปแล้ว ในยุคที่วุ่นวายปั่นป่วนนี้ แค่การจะมีชีวิตอย่างสงบก็นับว่ายากยิ่งแล้ว หากมีความสงสัยในเรื่องใดก็ต้องแอบสงสัยอยู่ในใจอย่างเงียบๆ เท่านั้น
“พี่สี่…พี่สี่!” เยี่ยหลีที่จมอยู่ในนิทราลืมตาขึ้นโดยพลัน นางยื่นมือไปกำข้อมือใครคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้าไว้แน่น ผู้ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงจึงตกใจเล็กน้อย “ป้าสะใภ้ใหญ่…”
ผู้ที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็คือฮูหยินใหญ่สกุลสวี ในมือยังถือผ้าอุ่นๆ กำลังจะเช็ดเหงื่อให้นางอยู่ นึกไม่ถึงว่าจะถูกเยี่ยหลีจับไว้อย่างแรงจึงตกใจเข้า “เยี่ยเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว” เมื่อเห็นว่านางฟื้นแล้ว สวีฮูหยินก็ดีใจยิ่ง ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตาปรากฏรอยยิ้มโล่งใจ
นางรีบมาซีหลิงที่ไกลนับพันลี้นี้เพื่อลูกชาย นอกจากคราแรกที่เดินทางจากอวิ๋นโจวไปถึงเมืองหลีแล้ว นี่นับเป็นครั้งแรกที่ฮูหยินใหญ่สกุลสวีจากบ้านมาไกลขนาดนี้ ลูกชายและหลานสาวต่างสลบไสลอยู่บนเตียง หากเฟิ่งจือเหยาที่มาต้อนรับไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนไว้ก่อนแล้ว เกรงว่าสวีฮูหยินก็คงได้ตกใจจนเป็นลมเป็นแล้งไปอีกคนแน่แล้ว
“ป้าสะใภ้ใหญ่…” เพิ่งจะฟื้นเยี่ยหลีจึงรู้สึกมึนงงสับสนในหัว พอนึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่ตนจะสลบไปก็พลันถลึงตัวขึ้น “ป้าสะใภ้ใหญ่ พี่สี่…” สวีฮูหยินรีบจับนางไว้แล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นอะไร พี่สี่ของเจ้าปลอดภัยดี เด็กคนนี้นี่เหตุใดจึงไม่ระวังเช่นนี้…”
“ขออภัยเจ้าค่ะท่านป้าสะใภ้ พี่สี่ทำเพื่อข้าถึงได้…” นึกไปถึงตอนที่พี่สี่ทะยานมาขวางหน้านางไว้ ซ้ำเห็นกระบี่ที่ปักทะลุอกพี่สี่สีหน้าของเยี่ยหลีก็ค่อยๆ ซีดเผือดลง พี่สี่ที่เป็นบัณฑิตร่างกายอ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรงมากมาย ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ เยี่ยหลีไม่กล้านึกจริงๆ ว่าเหตุการณ์ในตอนท้ายนั้นจะเป็นเช่นไร
นึกถึงลูกชายที่ยังคงนอนบนเตียงขยับไม่ได้แล้ว สวีฮูหยินก็ขอบตาแดงก่ำขึ้นมา เห็นความหนาของผ้าพันแผลที่พันอยู่บนร่างลูกชายและใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดแล้ว สวีฮูหยินที่เป็นแม่ไหนเลยจะไม่เจ็บปวดใจ แต่เรื่องราวเช่นนี้จะไปโทษเยี่ยหลีก็ไม่ถูก อุปนิสัยใจคอของลูกชายเป็นอย่างไร คนเป็นแม่อย่างนางมีหรือจะไม่รู้ ต่อให้ไม่ใช่เยี่ยหลี ในบรรดาพวกเขาพี่น้องผู้ใดที่กำลังเจอเรื่องเช่นนี้ สวีชิงปั๋วก็ย่อมเอาตัวออกหน้าไปขวางไว้อยู่ดี หากลูกชายไม่ไปรับกระบี่เล่มนั้นแทนนั่นจึงเรียกว่าผิดปกติ สวีฮูหยินยกมือตบหลังมือเยี่ยหลีเบาๆ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เด็กโง่ พี่สี่ของเจ้าปลอดภัยแล้ว จะร้องไห้ทำไมอีก ป้าว่าเจ้าน่ะ เด็กอย่างเจ้าไม่ใช่ว่าเคยเรียนวิชาแพทย์กับท่านหมอหลินมาหรือ เหตุใดร่างกายตัวเองไม่ปกติเช่นนี้นจึงไม่รู้ได้”
เยี่ยหลีตกใจ สวีฮูหยินอมยิ้มพลางส่ายหน้ากล่าวว่า “เด็กโง่ เจ้าตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว เจ้ายังเคยคลอดลูกมาแล้วคนหนึ่ง เหตุใดจึงไม่สังเกตเลยเล่า”
ขณะนั้นเยี่ยหลีตะลึงงัน ขนาดสวีฮูหยินยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้นาง นางก็ยังไม่ได้เรียกสติกลับคืนมาไม่ได้ ครู่ต่อมาจึงก้มหน้าลงยกมือขึ้นลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเอง จากนั้นจึงใช้มือซ้ายจับชีพจรมืออีกข้างดู กล่าวอย่างตื่นตกใจว่า “ขะ…ข้าจับจุดไม่เจอ ละ…ลูกเป็นอะไรหรือไม่” เยี่ยหลีแม้จะเคยเรียนวิชาแพทย์จากท่านหมอหลินมาก่อน แต่ส่วนใหญ่เนื้อหาล้วนเกี่ยวกับยาและพิษต่างๆ แต่ในด้านการแพทย์นั้นกลับไม่ใช่ศาสตร์ที่นางเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ยิ่งไปกว่านั้นจิตใจของเยี่ยหลียามนี้กำลังตื่นตระหนก ดังเช่นม่อซิวเหยาเมื่อยามตื่นตระหนกก็จับชีพจรเยี่ยหลีไม่เจอ เรื่องการตรวจวิเคราะห์ชีพจรนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
สวีฮูหยินอมยิ้มกล่าวปลอบว่า “ปลอดภัยดี ลูกเจ้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่เจ้าควรระวังให้มากหน่อย ต่อไปนี้ไม่ได้มีเจ้าตัวคนเดียวแล้วนะ”
เยี่ยหลีก้มหน้ามองหน้าท้องตัวเองอย่างตื่นตะลึง ครั้งนี้เป็นนางที่ประมาทไปจริงๆ แม้จะมีประสบการณ์มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ครั้งนี้นอกจากจะอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แล้ว ลูกกลับสงบเรียบร้อยมาโดยตลอด ไม่เคยทำให้นางเกิดปัญหาใดกับร่างกายขึ้นเลย และในทุกๆ เดือนนางมีรอบเดือนเดือนละสองวันเท่านั้น เพราะคราแรกที่คลอดม่อตัวน้อยได้สูญเสียเลือดไปมาก แม้ว่าจะบำรุงร่างกายอย่างระมัดระวังแล้วแต่ก็ยังมาไม่ตรงในบางครั้ง ดังนั้นนางจึงคิดว่าเพราะดินและน้ำของซีหลิงจึงทำให้รอบเดือนคลาดเคลื่อน อีกอย่างหนึ่ง เพราะหลายปีมานี้ไม่มีสัญญาณใดๆ เลย เยี่ยหลีจึงเกือบจะชินจนไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ไปเลย
“เอาล่ะ เจ้าฟื้นแล้วก็ดี ข้ายังไม่ได้ให้คนไปบอกติ้งอ๋องเลย” สวีฮูหยินยิ้มเอ่ย
“อาหลี!” ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรไป เสียงของม่อซิวเหยาก็ดังลอยเข้ามาจากนอกประตู พอเห็นเงาสีขาวทะยานเข้ามาในห้อง สวีฮูหยินก็ตกใจ คงจะมีคนไปรายงานแล้วเขาสะสางงานเสร็จจึงได้รีบมาเช่นนี้
“ซิวเหยา…” เยี่ยหลีช้อนตามองบุรุษผมขาวเบื้องหน้า แม้ภายนอกจะดูดีไม่มีที่ติ แต่เยี่ยหลีก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดของเขา เงาร่างสีขาวขยับไหว เยี่ยหลีก็ถูกดึงเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกที่เย็นเล็กน้อย ม่อซิวเหยาซบหน้าลงบนไหล่นาง สูดหายใจดมกลิ่นหอมอันคุ้นเคยเข้าปอด น้ำเสียงแหบต่ำกล่าวว่า “อาหลี…เจ้าฟื้นเสียที…”
เยี่ยหลีในใจพลันเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ยื่นมือไปโอบรอบเอวที่ผอมลงของเขา กล่าวเสียงเบาว่า “ขอโทษ ทำให้เจ้าเป็นห่วงเสียแล้ว”
ไม่ไกลจากนั้นนัก สวีฮูหยินมองดูสามีภรรยาตรงหน้า ยิ้มอย่างปลื้มใจแล้วเลี่ยงออกไป เพื่อหลีกทางให้สองสามีภรรยาได้พูดคุยกัน