บทที่ 78 สารถี[รีไรท์]

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 78 สารถี[รีไรท์]

หลิงตู้ฉิงแจ้งกับคนในเรือนว่าเขาจะออกไปข้างนอก จากนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปยังผาดาวตกทันที

เขาค่อย ๆ เดินไปยังผาดาวตกที่อยู่บริเวณประตูทิศเหนือของเมืองฟินิกซ์ ซึ่งมีระยะห่างจากเรือนของเขาประมาณ 20 กิโล

เมื่อเขาได้มาถึงผาดาวตก ท้องฟ้านั้นเริ่มมืดลงเรียบร้อย

เสี่ยวเยว่เฟิงในตอนนี้ได้นั่งอยู่บนยอดผา นางกำลังเฝ้ามองหลิงตู้ฉิงที่กำลังเดินขึ้นมาหานาง

“ข้าต้องขอโทษด้วยที่ปล่อยให้เจ้ารอเสียนาน” หลิงตู้ฉิงเมื่อขึ้นมาถึงยอดผาแล้วจึงเริ่มพูดกับเสี่ยวเยว่เฟิง “เจ้าต้องการพบข้ารอบนี้ แสดงว่าเจ้าพร้อมที่จะให้คำตอบกับข้าแล้วใช่ไหม?”

เสี่ยวเยว่เฟิงส่ายหัวจากนั้นจึงตอบกลับ “ข้ายังมีบางอย่างที่คาใจต้องการถามท่าน หลังจากข้าได้รับคำตอบแล้วข้าถึงจะสามารถตัดสินใจได้”

หลิงตู้ฉิงเอ่ยถาม “บอกข้ามา เจ้าอยากรู้อะไร?”

เสี่ยวเยว่เฟิงมองไปยังหลิงตู้ฉิงจากนั้นจึงเอ่ยตอบ “กลุ่มเสื้อคลุมโลหิตของข้ามีศัตรูอยู่มากมาย หากข้าตกลงติดตามท่าน มันจะนำปัญหามาให้ท่าน ท่านไม่กลัวเลยงั้นเหรอ?”

หลิงตู้ฉิงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าเองในตอนนี้ก็มีปัญหาอยู่เยอะเช่นกัน มันคงจะไม่ยุ่งยากขึ้นเท่าไหร่หรอกหากจะรวมปัญหาของเจ้าเข้าไปด้วย และอีกอย่างความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ ข้าไม่คิดว่าจะมีใครในทวีปเทียนหยวนทำอันตรายเจ้าได้เลย ข้าไม่เข้าใจว่าปัญหาอะไรที่เจ้ายังกังวลอยู่”

เสี่ยวเยว่เฟิงส่ายหัว “กลุ่มเสื้อคลุมโลหิตของเราไม่ได้มีเพียงในทวีปเทียนหยวนเท่านั้น พวกเรายังมีสาขาอื่น ๆ ในทวีปต่าง ๆ สิ่งที่ท่านพูดมาก็จริง ไม่มีใครในทวีปนี้ทำร้ายข้าได้ แต่ถ้าหากข่าวการปรากฎตัวของข้าที่นี่แพร่กระจายออกไป เหล่าศัตรูของข้าที่อยู่ในทวีปอื่นจะตามมาสร้างปัญหาที่นี่ทันที”

หลิงตู้ฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงพูดว่า “หากเจ้าติดตามข้า ข้าจะปกป้องเจ้าจากผู้เชี่ยวชาญที่เจ้าไม่สามารถรับมือได้ แต่สำหรับศัตรูที่เจ้ารับมือได้เจ้าต้องจัดการพวกมันด้วยตัวเอง และในช่วงเวลาที่เจ้าติดตามข้า ข้าจะให้คำชี้แนะด้านการบ่มเพาะแก่เจ้า”

เมื่อมองไปยังท่าทางของหลิงตู้ฉิงที่ไม่ได้กังวลอะไร เสี่ยวเยว่เฟิงรู้สึกขัดข้องใจ นางอยากจะถามเขาว่า ‘เจ้าคิดว่าไร้เทียมทานบนโลกนี้นักหรือไง ไม่ใช่เจ้าคนเดียวสักหน่อยที่บ่มเพาะเป็น’

แต่เนื่องจากที่นางเห็นความพิสดารของค่ายกลที่อยู่ในเรือนหลิง นางจึงข่มคำพูดไว้ไม่เอ่ยอะไรออกไป

“ที่ทวีปเทียนหยวน หัวหน้ากลุ่มเสื้อคลุมโลหิตนั้นคือข้า” เสี่ยงเยว่เฟิงเริ่มอธิบาย “ตัวข้าสามารถติดตามท่านได้ แต่นี่ไม่รวมถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตในทวีปอื่น ข้าไม่สามารถก้าวก่ายการตัดสินใจของพวกเขาได้”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “คนที่ข้าต้องการมีเพียงเจ้าคนเดียว สำหรับคนอื่น ๆ ข้าไม่ได้สนใจ หากพวกของเขาต้องการมาติดตามข้าด้วย ข้าคงต้องดูก่อนว่าข้าถูกใจพวกเขาหรือไม่”

เสี่ยวเยว่เฟิงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แท้จริงแล้วข้าไม่ใช่คนของโลกใบนี้ แต่ข้ามีพันธะบางอย่างที่ทำให้ข้าต้องมาที่นี่ ข้าเกรงว่าหากต้องติดตามท่านจริง ๆ ท่านจะแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหว”

หลิงตู้ฉิงยิ้ม “เจ้าพูดตรงไปตรงมาดี แต่ถ้าเจ้าไม่มั่นใจในความสามารถของข้า เจ้าคงจะไม่มาหาข้าเร็วขนาดนี้ ข้าคิดว่าเจ้าคงได้ตรวจสอบเรือนของข้าไปตั้งแต่ตอนที่เจ้าบินอยู่เหนือเรือนหลิงในวันนั้นแล้วใช่ไหม?”

เสี่ยวเยว่เฟิงกัดริมฝีปากแล้วลดศีรษะลง นางเงียบไปชั่วขณะก่อนจะมองหลิงตู้ฉิงแล้วพูดว่า “หากข้ามีพันธะอยู่กับยอดเขาหมื่นเซียน ท่านจะยังตกลงรับข้าอยู่อีกงั้นหรือ?”

“ข้าแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคิดมาก” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “สำหรับข้ายอดเขาหมื่นเซียนนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาเลย เอาล่ะ ข้าคิดว่าข้าอธิบายมามากพอแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เจ้าควรจะตัดสินใจ แต่ข้าขอบอกไว้ก่อน การเป็นสารถีของข้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย”

“ข้าจะต้องเป็นสารถีให้ท่านเท่านั้นเหรอ?” เสี่ยวเยว่เฟิงถามด้วยความขัดข้อง

“เช่นนั้น?” หลิงตู้ฉิงถามกลับ

“ข้าคิดว่าข้าเป็นภรรยาให้ท่านได้!” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดอย่างตรงไปตรงมา

“ไม่ เจ้าเป็นไม่ได้!” หลิงตู้ฉิงส่ายหัวทันที แต่ไม่ได้บอกเหตุผลที่เขาปฏิเสธ

เสี่ยวเยว่เฟิงเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “สารถีก็สารถี! แต่ข้ามีคำขอสุดท้าย ข้าต้องการทดสอบพลังของท่าน ข้าอยากรู้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของท่านก่อน และท่านห้ามยืมอำนาจของค่ายกลที่อยู่ในเรือนของท่านมาใช้งานรวมถึงเพลงดาบที่ท่านเคยใช้ก่อนหน้านี้ ท่านควรจะรู้ตัวดีว่าระดับการบ่มเพาะของท่านต่ำเกินไป หากไม่มีอาวุธวิเศษ เพลงดาบของท่านไม่สามารถทำอันตรายข้าได้แน่นอน”

“ข้าเข้าใจ” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อันที่จริงข้าได้เตรียมตัวมาสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าเล็กน้อยเช่นกัน แต่ในเมื่อเจ้าตั้งใจจะยอมมาเป็นสารถีให้ข้า ดังนั้นข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า ข้าจะให้เจ้าเห็นของบางอย่าง เมื่อเจ้าเห็นแล้ว หากเจ้ายังมีสติปัญญาอยู่บ้าง เจ้าจะเข้าใจเองว่าเจ้าไม่มีทางต่อกรกับข้าได้ แต่ถ้าเจ้ายังดื้อดึงอยากจะให้ข้าทุบตีเจ้าหลังจากเห็นของสิ่งนั้นแล้ว ข้าคงต้องพิจารณาการเป็นสารถีของเจ้าใหม่”

หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงได้หยิบแส้หางม้าหลิงจู้ออกมาจากด้านหลังศีรษะ และยื่นมันให้กับเสี่ยวเยว่เฟิง

เมื่อเสี่ยวเยว่เฟิงได้รับแส้หางม้าไป นางเพ่งมองมันด้วยสีหน้าซับซ้อน “สมบัติระดับราชวงศ์?”

หลิงตู้ฉิงถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “อันที่จริงข้ารีบสร้างมันขึ้นมาก่อนที่มันควรจะถูกสร้างขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อรับมือกับเจ้า ไม่เช่นนั้นมันควรจะเป็นสมบัติที่อยู่ในระดับสวรรค์แทน แต่สมบัติชิ้นนี้ยังสามารถพัฒนาระดับขึ้นได้อีกในอนาคต”

เสี่ยวเยว่เฟิงมองแส้หางม้าอยู่นาน จากนั้นจึงส่งคืนหลิงตู้ฉิงและพูดอย่างเคารพ “เช่นนั้นนับจากนี้ข้าจะเป็นสารถีให้ท่าน ข้าหวังว่าท่านจะให้คำชี้แนะแก่ข้าในอนาคต”

หลิงตู้ฉิงยื่นมือไปรับแส้หางม้าหลิงจู้กลับมาเก็บไปยังหลังศีรษะของเขาตามเดิม จากนั้นจึงพูดกับเสี่ยวเยว่เฟิงต่อ “หากเจ้าเป็นสารถีให้ข้าได้ครบร้อยปี ข้าจะช่วยผสานร่างที่แท้จริงให้กับเจ้าเพื่อเป็นรางวัลสำหรับการรับใช้ข้า เอาล่ะ เจ้าลงชื่อในสัญญาของข้าซะ หากเจ้าตกลง”

เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้า จากนั้นก็ทำการลงชื่อในสัญญาที่หลิงตู้ฉิงร่างไว้ในอากาศ “ขอบคุณมาก นายท่าน”

หลิงตู้ฉิงมองเสี่ยวเยว่เฟิงด้วยความชื่นชม “เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว เจ้ากลับเรือนไปกับข้าได้”

เมื่อเสี่ยวเยว่เฟิงเห็นว่าหลิงตู้ฉิงเตรียมเดินออกจากที่นี่ นางรั้งเขาไว้แล้วพูดว่า “นายท่าน ข้ายังกลับไปกับท่านไม่ได้ ตอนแรกที่ข้ามาที่เมืองฟีนิกซ์ ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะมาติดตามท่าน ข้ายังไม่ได้จัดการธุระของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตให้เสร็จดี และอีกอย่างข้าเห็นว่าท่านยังไม่มีรถม้า ขอเวลาข้าไปจัดเตรียมรถม้าให้ท่านด้วยแล้วกัน หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยข้าจะกลับไปหาท่านที่เรือน”

“เอาอย่างนั้นก็ได้” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ

“ขอเวลาข้าสะสางทุกอย่างสักสองถึงสามวัน ข้าจะไปหาท่านแน่นอน ข้าขอตัวก่อนนายท่าน” เสี่ยวเยว่เฟิงโค้งคำนับให้หลิงตู้ฉิง จากนั้นนางจึงค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนอากาศ

เมื่อร่างของเสี่ยวเยว่เฟิงลับหายไป หลิงตู้ฉิงก็เผยรอยยิ้มแฝงความนัยออกมา เขาหมุนตัวกลับและเริ่มเดินลงหน้าผาไป

คืนนี้สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดคือ เขาไม่คาดคิดว่าเสี่ยวเยว่เฟิงจะมีความเกี่ยวข้องกับยอดเขาหมื่นเซียน

ในที่สุดเขาก็ได้ยินชื่อที่เขาคุ้นเคย…

เมื่อหลิงตู้ฉิงกลับมาถึงเรือน เวลาได้ล่วงเลยมาถึงเวลาเที่ยงคืนกว่า เด็ก ๆ ทุกคนต่างเข้านอนกันเรียบร้อย ยกเว้นแต่มี่ไลที่มานั่งรอหลิงตู้ฉิงในห้องนอนห้องของเขา

เมื่อหลิงตู้ฉิงกลับไปถึงห้อง เขาเปิดประตูออกก็เห็นมี่ไลนั่งอยู่ด้านใน

เมื่อมี่ไลเห็นหลิงตู้ฉิงก็พูดทันที “นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว…”

“ทำไมเจ้ายังไม่ไปนอนอีก?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น

มี่ไลพูดด้วยความเป็นห่วง “ข้าเห็นนายท่านยังไม่กลับเสียที ด้วยความเป็นห่วงข้าจึงนั่งรอท่านกลับมา ท่านไม่ได้ต่อสู้กับเสื้อคลุมโลหิตนั่นใช่ไหม?”

“ไม่ ข้าไม่ได้สู้กับนาง” หลิงตู้ฉิงตอบ

“เยี่ยมไปเลย!” มี่ไลพูดอย่างมีความสุข “ข้าได้ยินว่าผู้นำกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตเป็นคนที่โหดเหี้ยมและที่สำคัญ ระดับบ่มเพาะของนางยังสูงมาก ดีแล้วที่นายท่านไม่ได้ต่อสู้กับนาง…ท่านต้องการอาบน้ำหรือไม่ ข้าจะได้ไปเตรียมอ่างให้”

“ไม่เป็นไร ร่างกายข้าสะอาดอยู่แล้ว ข้าจะเข้านอนเลย” หลังจากหลิงตู้ฉิงพูดจบเขาก็ล้มตัวลงนอนทันที มี่ไลมองหลิงตู้ฉิงที่นอนอยู่บนเตียง นางจึงทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ เขาอย่างเขินอาย

คืนนี้มี่ไลวางแผนไว้แล้วว่าจะไม่กลับไปนอนที่ห้องของนาง นางตั้งใจแล้วว่าจะต้องเป็นหนึ่งในผู้หญิงของหลิงตู้ฉิงให้ได้เพราะฉะนั้นนางจึงต้องพยายามหาทุกช่วงโอกาสที่จะอยู่ใกล้ชิดกับเขาให้ได้แม้ว่าจะเป็นตอนนอน

ทางด้านหลิงตู้ฉิงที่ไม่ประสีประสานั้นก็ยอมให้นางนอนด้วยโดยไม่คิดอะไร

มี่ไลที่นอนอยู่ข้าง ๆ หลิงตู้ฉิงกระซิบข้างหูของเขา “นายท่านทำไมเราถึงไม่นอนร่วมห้องเดียวกัน…”

หลิงตู้ฉิงเหล่ตามองมี่ไลด้วยความงุนงง “ไม่ใช่ว่าตอนนี้เจ้านอนห้องเดียวกับข้าอยู่เหรอ?”

“นายท่าน…ไม่ใช่…ข้าไม่ได้หมายความถึงอย่างนั้น…” มี่ไลอายเกินกว่าจะอธิบายให้หลิงตู้ฉิงเข้าใจ

“แล้วเจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลิงตู้ฉิงถามด้วยความประหลาดใจ

“อ๋อ ใช่ นี่ของสิ่งนี้ข้าจะมอบให้เจ้าไว้ดูแลมัน” หลังจากพูดจบหลิงตู้ฉิงที่เพิ่งนึกถึงอะไรบางอย่างได้ ลุกขึ้นนั่งและดึงแส้หางม้าหลิงจู้จากหลังศีรษะยื่นไปให้กับมี่ไล

มี่ไลมองดูแส้หางม้าที่หลิงตู้ฉิงมอบให้ด้วยความงุนงง นางไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงเอาของแบบนี้มาให้นางทำไม

“แส้หางม้านี้สร้างจากรากไผ่เซียนสวรรค์ที่เจ้าเคยหล่อเลี้ยงมันมา ข้าจะมอบมันให้อยู่ในความดูแลของเจ้า เจ้าต้องหล่อเลี้ยงมันด้วยฝนฤดูใบไม้ผลิเหมือนกับที่เจ้าเคยทำกับต้นไผ่สวรรค์ แต่ตอนนี้เจ้าไม่ต้องหักโหมหล่อเลี้ยงมันทั้งวันทั้งคืนเหมือนที่เจ้าเคยทำ แค่เพียงหล่อเลี้ยงมันทุกวันเมื่อมีเวลาว่างก็พอ แต่การหล่อเลี้ยงจะไม่ช่วยให้มันเติบใหญ่ขึ้นอีกแต่จะส่งผลให้มันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจนยกระดับไปขั้นสมบัติถัดไป” หลิงตู้ฉิงอธิบายการดูแลมันอย่างยืดยาวจากนั้นจึงล้มตัวลงนอนต่อ

เมื่อมี่ไลเข้าใจแล้วนางจึงตอบรับทันที “ข้าเข้าใจแล้ว นายท่าน”

จากนั้นนางจึงเก็บแส้หางม้าไว้ข้าง ๆ ตัวนาง จากนั้นนางกลับไปนอนซุกอยู่ข้าง ๆ หลิงตู้ฉิงต่อ

เช้าวันรุ่งขึ้น

มี่ไลตื่นมาด้วยความรู้สึกแปลก ๆ นางรู้สึกว่ามีใครมาแตะที่หลังนางเบา ๆ นางคิดว่าเป็นหลิงตู้ฉิง นางจึงลองยื่นมือไปคว้าตัวเขาแต่กลับไม่เจออะไร

เมื่อคว้าไปแล้วไม่เจอหลิงตู้ฉิงนางก็ตื่นขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจ เป็นไปได้ไหมว่ามีคนเข้ามาในห้องของหลิงตู้ฉิง เห็นรูปร่างของนางและลวนลามนาง?

นางหวาดกลัวและพบว่าหลิงตู้ฉิงได้ออกไปข้างนอกแล้วและไม่มีใครอยู่ในห้องนี้นอกจากนาง

หลังจากนางหาอยู่นานว่าพอจะมีอะไรในห้องนี้ที่พอจะทำให้นางรู้สึกที่หลังได้แบบความรู้สึกก่อนที่นางจะตื่นไหม

หาไปสักพักก็เจอสิ่งที่พอจะเป็นไปได้ นั่นคือแส้หางม้าที่วางอยู่ข้างนางตอนนอน

“เป็นมันนี่เอง บ้าจริง ๆ ข้าตกใจเกือบตายแน่ะ” มี่ไลอุทานพลางเอามือทาบอก

เมื่อเห็นว่าเช้าแล้วนางจึงรีบสวมเสื้อคลุมเตรียมตัวออกจากห้อง ในระหว่างที่นางกำลังสวมเสื้อคลุมนางสังเกตเห็นขนของแส้หางม้าสั่นไหวทั้ง ๆ ที่ห้องนี้ไม่มีลมพัดแม้แต่น้อย

“หยุดนะ เจ้าห้ามขยับ เจ้าทำให้ข้ากลัวแทบตายไปแล้วนะเมื่อกี้!” มี่ไลตะโกน

หลังจากได้ยินนางตะโกนแส้หางม้าจึงเริ่มขยับเคลื่อนไหวอีกครั้งแต่รอบนี้กลายเป็นการขยับหมุนไปรอบ ๆ เป็นวงกลม คล้ายกับว่ามันกำลังสื่อว่ามันรู้สึกผิดไปแล้ว

เมื่อเห็นเช่นนั้น มี่ไลจึงถามมันด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด “นี่เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดงั้นเหรอ?”

เมื่อหลิงจู้หรือแส้หางม้าได้ยินเช่นนั้น หางม้าของมันก็เคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเพื่อเป็นการตอบสนอง

“เจ้าเป็นบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย!” มี่ไลถาม ในขณะเดียวกันนางก็ได้ลองใช้ฝนฤดูใบไม้ผลิโปรยลงบนหลิงจู้ ทำให้ขนของแส้หางม้าเคลื่อนที่ไปมาอย่างมีความสุข