บทที่ 79 แผนสังหาร[รีไรท์]
ในตอนนี้แม้ว่านางจะโง่แค่ไหนก็เข้าใจว่าแส้หางม้านี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
“นายท่านปล่อยให้ข้าเก็บสมบัติล้ำค่าอย่างนี้จริงหรือ? ดูเหมือนว่านายท่านจะเห็นความสำคัญของข้าอยู่ในใจเขาเช่นกันสินะ”
มี่ไลกอดหลิงจู้อย่างมีความสุข และใช้ฝนฤดูใบไม้ผลิกับหลิงจู้ด้วยอารมณ์เบิกบาน
เมื่อเสร็จจากการหล่อเลี้ยงหลิงจู้ นางจึงเดินออกมายังลานกลางเรือนและเมื่อเห็นสภาพการณ์ในลาน นางก็รู้สึกละอายใจ
นางมาที่ตระกูลหลิงเพื่อเป็นบ่าวรับใช้และถึงแม้ว่าในอนาคตนางอาจจะได้เป็นผู้หญิงของหลิงตู้ฉิงแต่นางก็ไม่ควรทำตัวตื่นสายเช่นนี้
และตอนนี้นางเป็นคนที่ตื่นขึ้นมาเป็นคนสุดท้ายในเรือนหลิงในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังฟังการบรรยายชั้นเรียนของถังชี่หยุน
บทเรียนของถังชี่หยุนในวันนี้เนื้อหาในบทเรียนนั้นแฝงไปด้วยพลังอำนาจเช่นเดียวกับการสอนครั้งแรกที่นางสอน
สิ่งที่นางสอนในวันนี้คือกฎการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่
“ฤดูใบไม้ผลิถือกำเนิด ฤดูร้อนยาวนาน ฤดูใบไม้ร่วงเก็บเกี่ยวและฤดูหนาวซ่อนตัว นี่คือวัฏจักรของการกำเนิดใหม่” ถังชี่หยุนพูดช้า ๆ “ในฤดูใบไม้ผลิทุกอย่างจะกลับมามีชีวิตตามหลักของเต๋าที่ยิ่งใหญ่…”
ด้วยอำนาจบทสอนของถังชี่หยุน บรรยากาศในลานกลางเรือนตอนนี้คล้ายราวกับว่ามีสายฝนโปรยปรายลงมาไม่หยุดหย่อน
มี่ไลคุ้นเคยกับกลิ่นอายแบบนี้เป็นอย่างดี นี่เป็นเพราะกลิ่นอายของฝนเช่นนี้คล้ายกับวิชาฝนฤดูใบไม้ผลิที่หลิงตู้ฉิงสอนให้
“ในช่วงกลางฤดูร้อนกลิ่นอายของการเติบโตจะพุ่งถึงจุดสูงสุด สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะเติบโตขึ้น…”
เมื่อถังชี่หยุนเริ่มเอ่ยถึงบทฤดูร้อน บรรยากาศกลางลานก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้งจากเมื่อครู่ฤดูฝนตอนนี้กลายเป็นบรรยากาศในลานเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
ถังชี่หยุนร่ายต่อ “นี่เป็นกฎฤดูของโลก เช่นเดียวกับทุกสิ่งในโลกที่ล้วนมีจุดรุ่งเรืองสุดขีดจนกลายเป็นเสื่อมถอยจนสลายมลายหายไป…” เมื่อบรรยายถึงจุดนี้ จากบรรยากาศฤดูร้อนที่ครอบคลุมกลางลานกลับกลายเป็นความร้อนเริ่มลดลงเรื่อย ๆ “และกลิ่นอายฤดูใบไม้ร่วงคล้ายกำลังจะมาถึง…”
ทุกคนรู้สึกราวกับว่ามีใบไม้ที่เหี่ยวเฉาและเหลืองแห้งลอยร่วงหล่นลงมาในลาน ราวกับว่าฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้วจริง ๆ
แต่น่าเสียดายที่บรรยากาศนี้หยุดลงทันทีที่ถังชี่หยุนจู่ ๆ นางกระอักเป็นเลือดออกมาและขาพับล้มลงกับพื้น
แต่ก่อนที่ร่างนางจะสัมผัสพื้น หลิงตู้ฉิงได้ปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ นางพร้อมประคองนางไว้ “เฮ่อ…เจ้าประมาทเกินไปแล้ว ด้วยระดับพลังของเจ้าเพียงเท่านี้เจ้าไม่ควรสอนบทเรียนที่เกินตัวเจ้าให้ยาวเกินไป ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องเผชิญกับผลสะท้อนของพลังแห่งกฎที่ดำรงอยู่บนโลก” หลิงตู้ฉิงพึมพำให้นางได้ยิน จากนั้นเขาจึงเอื้อมแขนเพื่อที่จะอุ้มร่างของถังชี่หยุนกลับไปยังห้องของนาง
ถังชี่หยุนที่ตระหนักว่าผลการสะท้อนกลับของพลังแห่งกฎไม่ได้ทำให้นางบาดเจ็บอะไรมากมาย นางจึงส่ายหัวไปยังหลิงตู้ฉิงและพยายามฝืนตัวเองให้ยืนตรงเพื่อเดินออกไปด้วยตนเอง
“ท่านพ่อ ครูถังนางเป็นอะไรรึเปล่า?” เด็ก ๆ ถามกันจอแจ
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกแค่บาดเจ็บเล็กน้อย” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เอาล่ะ พวกเจ้าแยกย้ายกันไปฝึกฝนตามปกติได้แล้ว พวกเจ้าตอนนี้ยังไม่ต้องเป็นห่วงครูถัง และชั้นเรียนของครูถังช่วงนี้ให้งดไปก่อน พ่อจะรอดูอาการของครูถังสัก 2 วัน”
ภายใต้คำสั่งของหลิงตู้ฉิงเด็กคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันออกไป
แม้ว่าพวกเขาจะเรียนไม่จบในวันนี้ แต่พวกเขาก็ยังมีภารกิจของตัวเองที่จำเป็นต้องทำต่อ
เมื่อเทียบกับเด็ก ๆ บทเรียนในวันนี้เหมือนจะมีประโยชน์กับมี่ไลมากที่สุด
แม้ว่านางจะตื่นสายและไม่ได้ฟังบทเรียนของถังชี่หยุนตั้งแต่ต้น แต่นางก็มาทันตอนเริ่มบทเรียนเกี่ยวกับกฎการเปลี่ยนแปลงในสี่ฤดูกาล
นางพยายามนึกถึงความรู้สึกที่ได้ฟังบทเรียนเมื่อครู่ที่เกี่ยวกับกฎการเปลี่ยนแปลงของฤดูต่าง ๆ นางสามารถสัมผัสได้ถึงความลึกล้ำของบทเรียนในกฎของฤดูกาลเหล่านั้น แต่นางยังไม่สามารถบรรลุถึงแก่นแท้ของมันได้
ตอนนี้นางจึงพยายามอย่างหนักเรียกความทรงจำในช่วงเวลาที่นางได้ฟังบทเรียนมาทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก
คนในเรือนหลิงเมื่อเห็นมี่ไลกำลังอยู่ในสภาวะเช่นนี้จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวน
พวกเขาทุกคนล้วนเข้าใจว่ามี่ไลกำลังจะยกระดับความเข้าใจของตัวเองได้ขึ้นอีกระดับหนึ่งแน่นอน
เมื่อหลิงตู้ฉิงเห็นมี่ไลกำลังเข้าสู่สภาวะตระหนักรู้ เขาจึงสร้างม่านกำแพงป้องกันเสียงไว้คลุมรอบตัวนาง เมื่อสร้างม่านกำแพงเสร็จเขาจึงหันกลับไปถามกงหยูเกี่ยวกับหลิงยู่ชาน
“ผลการประลองของยู่ชานเมื่อสองวันที่ผ่านมาเป็นอย่างไร?” หลิงตู้ฉิงถาม
กงหยูหัวเราะและพูดว่า “นายท่าน ผลการประลองของนายน้อยที่ผ่านมา ด้วยคำแนะนำของท่าน นายน้อยสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างราบรื่นในรอบที่ผ่านมาทั้งหมด เสร็จจากการคัดเลือกแล้วการประลองที่แท้จริงของเทศกาลบูชาเพลิงจะเริ่มในอีกไม่กี่วัน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าจากนั้นจึงหันไปสั่งหลิงยู่ชาน “สำหรับวันทั้งหมดที่เหลือก่อนงานประลองจะเริ่ม เจ้าต้องฝึกกับซ่งเหวินเถาทุกวันและให้เขาช่วยฝึกทักษะของเจ้าให้เฉียบคมยิ่งขึ้น!”
หลิงตู้ฉิงรู้สึกว่าช่วงนี้หลิงยู่ชานได้รับคำชมเชยมากมายเกินไป
ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องปรามหลิงยู่ชานให้เข้าใจว่าการมีความมั่นใจเป็นเรื่องดี แต่การมีความมั่นใจมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี!
ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงวางแผนไว้ว่าเขาจะให้ซ่งเหวินเถาแสดงให้หลิงยู่ชานเห็นถึงความโหดร้ายของโลกแห่งความเป็นจริง
หลังจากที่หลิงยู่ชานรับคำสั่งของเขาอย่างแข็งขัน หลิงตู้ฉิงจึงได้เดินจากไปปล่อยลูกของเขาฝึกฝนต่อ
ตัดมาทางฝั่งของสถาบันหงส์เพลิง ในที่สุดผลการคัดเลือกก็ออกมา
นอกจากหวงหลิงซานและหยุนเฟยหาวที่เจิ้นป่าเจ่าให้ความสำคัญมากที่สุดในตอนแรก ตอนนี้ยังมีเด็กคนหนึ่งชื่อ ซูเหรินอี้ ที่ได้รับการคัดเลือก
ซูเหรินอี้นั้นถือว่าเป็นม้ามืดนอกสายตาอย่างแท้จริง ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะสามารถผ่านเข้ารอบมาได้
นั่นเป็นเพราะซูเหรินอี้มีเพียงรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลาง อย่างไรก็ตาม ซูเหรินอี้อาศัยความมุมานะในการฝึกฝนอย่างหนักจนบ่มเพาะไปได้ถึงขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 5 แต่ในด้านความสามารถการต่อสู้ เขาสามารถต่อกรได้กับเด็กที่อยู่ระดับ 6 ได้อย่างสูสีและยังสามารถทำให้เด็กคนอื่นที่มีรากฐานจิตวิญญาณสูงกว่าเขาตกรอบไปด้วยอีกต่างหาก
ดังนั้นผู้ที่ได้เป็นตัวแทนของสถาบันหงส์เพลิงนั้นได้แก่ หวงหลิงซาน หยุนเฟยหาวและซูเหรินอี้
เมื่อสามคนนี้ถูกเลือก เจิ้นป่าเจ่าก็ได้รับรายงานนี้เช่นกัน
เขาดูรายชื่อและสั่งกับจี้ชิงหยวน “ส่งคำเชิญไปหาพ่อทั้งสามของพวกเขา ข้าอยากจะเชิญพวกเขามาคุยกับข้า”
เขาไม่มีอะไรจะคุยกับเด็กทั้งสามที่อายุยังไม่ถึง 10 ขวบ ดังนั้นเจิ้นป่าเจ่าต้องพูดคุยกับผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้นเพื่อหารือเรื่องหลิงยู่ชาน
“นายน้อยข้าจะจัดการทันที!” จี้ชิงหยวนพยักหน้า
2 วันต่อมา เจิ้นป่าเจ่าและหวงตู้กู่ได้นัดพบกันที่ภัตตาคารเหมยหยวน
“นายน้อยเจิ้น ข้าขอทราบได้ไหมว่าท่านเชิญข้ามาที่นี่ท่านมีธุระอะไร?” หวงตู้กู่พูดอย่างสุภาพกับเจิ้นป่าเจ่า
นอกจากตัวตนของเจิ้นป่าเจ่า ในฐานะผู้จัดการของสถาบันหงส์เพลิงแล้ว เจิ้นป่าเจ่า ก็ยังเป็นลูกชายของเจิ้นฟูเห่า ซึ่งเป็นผู้บัญชาการของกองทัพทมิฬ หวงตู้กู่จำเป็นต้องให้เกียรติกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหน้าเขา
เจิ้นป่าเจ่ายิ้มและพูดว่า “วันนี้ข้าได้เชิญท่านออกมาเพื่อทำความรู้จักให้สนิทสนมมากขึ้น ท่านกับข้า เราต่างเป็นชาวเมืองฟีนิกซ์ แต่ข้านั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบออกไปไหนข้าจึงไม่ค่อยจะรู้จักใครมากนัก แต่เพื่อการร่วมงานในอนาคตของเรา ข้าจำเป็นจะต้องผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านไว้ก่อน”
หวงตู้กู่เมื่อได้ยินคำพูดอันอ้อมค้อมยืดยาวเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยคิดว่า ‘ท่านกับข้าเราไม่เคยรู้จักกัน แล้วท่านจะมาสนิทสนมกับข้าเพื่ออะไร? และความสัมพันธ์ที่ว่านั้นเป็นแบบไหน?’
แม้ว่าหวงตู้กู่จะคิดอะไรมากมายอยู่ในหัว แต่เขาก็ยังคงหัวเราะและพูดว่า “นายน้อยเจิ้น ท่านพูดถูก! ในเมื่อเราเป็นคนเมืองฟินิกซ์เหมือนกัน เช่นนั้นก็นับได้ว่าเราก็คล้ายกับเป็นพี่น้องกันอยู่แล้ว! หากมีปัญหาอะไรที่พอจะช่วยกันได้ เราก็ควรที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างดีที่สุด!”
หวงตู้กู่รู้ว่าเจิ้นป่าเจ่าต้องมีเรื่องจะคุยกับเขา แต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เขาจึงบอกใบ้ให้เจิ้นป่าเจ่าพูดอะไรบางอย่าง
เจิ้นป่าเจ่าหัวเราะและพูดว่า “ท่านหวงพูดถูก! ข้าจำได้ว่าท่านเป็นเสมียนในเมืองฟีนิกซ์มาหลายปีแล้วใช่ไหม ความสามารถของท่านหวงเป็นอย่างไรข้ารู้ดี ท่านมีความสามารถที่หาได้ยาก ขาดก็เพียงแต่โอกาสที่ดีเท่านั้น”
“ท่านหวงอาจเคยได้ยินข่าวลือมากมายว่าตระกูลของข้านั้นมีผู้หนุนหลังเป็นคนสำคัญของอาณาจักร และตอนนี้ข้าสามารถบอกท่านได้ว่าบุคคลที่หนุนหลังตระกูลข้าอยู่นั้นคือองค์ชายรอง”
“และตอนนี้องค์ชายรองต้องการคนที่จะดูแลเรื่องธุรกิจบางอย่างให้เขา ข้ารู้สึกว่าตำแหน่งนี้เหมาะสมกับท่านหวงมาก นอกจากนั้นข้าได้ยินมาว่าลูกสาวของท่านหวงเป็นอัจฉริยะในการบ่มเพาะ ถ้านางได้รับความสนใจจากองค์ชายรองมันอาจจะเกิดเรื่องที่น่าเหลือเชื่อขึ้นก็ได้”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ชายรองมีลูกชายที่มีอายุเพียง 10 ขวบในปีนี้ ซึ่งก็ไม่ได้ห่างจากลูกสาวของท่านมากนัก หากท่านหวงสามารถใกล้ชิดกับองค์ชายรอง ลูกสาวของท่านอาจมีโอกาสได้แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์เชียวนะ”
หัวใจของหวงตู้กู่เริ่มเต้นอย่างรุนแรง เขารู้สึกตื่นเต้นกับคำพูดของเจิ้นป่าเจ่า อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าของฟรีไม่มีในโลก
เนื่องจากเจิ้นป่าเจ่าได้อธิบายถึงประโยชน์มากมายให้กับเขา แต่ว่าค่าตอบแทนของพวกมันล่ะ เขาต้องตอบแทนอะไรไปบ้าง?
หวงตู้กู่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้เจิ้นป่าเจ่า แล้วพูดว่า “ลูกสาวของข้าจะโชคดีแบบนั้นได้อย่างไร ข้าขอถาม ทำไมนายน้อยเจิ้นถึงยกเรื่องนี้มาพูดกับข้า?”
เจิ้นป่าเจ่ายิ้มและพูดว่า “มันก็ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่ต้องการให้ลูกสาวของท่านช่วยอะไรข้าบางอย่าง!”
เมื่อเจิ้นป่าเจ่าเห็นว่าหวงตู้กู่รู้สึกให้ความสนใจ น้ำเสียงและคำพูดของเขาก็เริ่มเป็นกันเองมากขึ้น
“ช่วยแบบไหน?” หวงตู้กู่ถามอย่างสงสัย
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นงานง่าย ๆ” รอยยิ้มของเจิ้นป่าเจ่าค่อย ๆ จางหายไป เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าเชื่อว่าท่านต้องเคยได้ยินว่าน้องชายของข้าถูกหลิงตู้ฉิงฆ่า! แต่มันมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ส่งผลให้ในตอนนี้ข้าจึงยังไม่สามารถกำจัดหลิงตู้ฉิงได้ แต่ตอนนี้ข้ามีโอกาสระบายความแค้นแล้ว ลูกชายของหลิงตู้ฉิงจะเข้าร่วมงานประลองเทศกาลบูชาเพลิง พ่อลูกคู่นี้สมควรตายเป็นอย่างมาก”
“ดังนั้นข้าจึงอยากขอให้ลูกสาวของท่านช่วยจัดการหลิงยู่ชานที่เป็นลูกของหลิงตู้ฉิงบนเวทีเทศกาลบูชาเพลิง!”
“นอกจากนี้ท่านไม่ต้องกังวลความปลอดภัยของลูกท่าน ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบหลิงยู่ชานแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ที่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 3 ส่วนลูกสาวของท่านอยู่ระดับ 7 ด้วยช่องว่างที่มากขนาดนี้นางต้องมีโอกาสที่จะจัดการเขาได้อย่างแน่นอน ตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเต็มใจช่วยข้าไหม หากท่านเต็มใจช่วยข้า ข้ารับรองได้ว่าในอนาคตท่านจะมีฐานะได้อยู่เหนือผู้คนมากมายและได้รับการชื่นชมจากองค์ชายรองอีกด้วย”
หวงตู้กู่ขมวดคิ้วขณะที่เขาเริ่มคำนวณผลประโยชน์ของข้อตกลงนี้
อันที่จริง ตัวเขาเองยังขุ่นเคืองกับการกระทำของหลิงตู้ฉิงและหลิงยู่ชานในครั้งล่าสุดที่สถาบันหงส์เพลิง ดังนั้นดูเหมือนว่าข้อตกลงนี้จะคุ้มค่ามาก
หลังจากคิดอยู่นานเขาก็พูดกับเจิ้นป่าเจ่าด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็คิดว่าทั้งพ่อทั้งลูกนั้นน่ารำคาญ ข้าจะสั่งให้ลูกสาวของข้ากำจัดหลิงยู่ชานบนเวที!”
“ข้าขอบคุณพี่หวงที่ยินดีช่วยเหลือข้า!” เจิ้นป่าเจ่าหัวเราะและพูด “อย่างไรก็ตามเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด ข้ามีโอสถคุณภาพอยู่จำนวนหนึ่งให้ท่านนำกลับไปให้ลูกสาวของท่าน สิ่งนี้จะช่วยให้นางเพิ่มระดับบ่มเพาะของนางได้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หากหลิงยู่ชานต้องต่อสู้กับลูกท่านที่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 8 หลิงยู่ชานจะต้องตายอย่างแน่นอน”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” หวงตู้กู่หัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นนายน้อยเจิ้นข้าขอตัวก่อน!”
“ไปเถอะ!” เจิ้นป่าเจ่าหัวเราะ หลังจากหวงตู้กู่จากไป ปากของเจิ้นป่าเจ่าก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เย็นชา