ตอนที่ 369 ความสามารถพิเศษของพี่สี่จ้าว

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

ตอนที่ 369 ความสามารถพิเศษของพี่สี่จ้าว

ตอนที่ 369 ความสามารถพิเศษของพี่สี่จ้าว

“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว” พี่สี่จ้าวตอบ

“ตอนแรกกะว่าจะเรียกเสี่ยวหม่ามาด้วย แต่เขายังปลีกตัวออกมาไม่ได้ เอาไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะคะ ถึงยังไงพี่สี่ก็ยังอยู่ที่นี่อีกสักพักอยู่แล้ว” โจวหมิ่นกล่าว

ตอนนี้เสี่ยวหม่ากำลังยุ่งอยู่กับการซ้อมเดินบนแคทวอล์ค เขาย้ายออกจากโรงงานเสื้อผ้าไปพักอาศัยยังห้องพักที่ใกล้กับที่ทำงานมากที่สุดแล้ว

 

ถ้าไม่พูดถึงเสี่ยวหม่า พี่สี่จ้าวก็ลืมไปแล้ว “เสี่ยวหม่าเป็นยังไงบ้าง?”

เย่หมิงเป่ยยิ้ม “ถ้าพี่ไปเจอเสี่ยวหม่าตอนนี้ คาดว่าคงจำเขาไม่ได้แล้วล่ะ!”

พี่สี่จ้าวประหลาดใจ “เขาเป็นยังไงเหรอ?”

พี่สี่จ้าวเคยเจอเสี่ยวหม่าสองสามครั้ง แต่เขาก็เอาแต่กิน ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้านของหลี่เฉียจื่อ คนในหมู่บ้านต่างก็ไม่มีใครชอบเขา พี่สี่จ้าวกลับไม่ได้รู้สึกอะไร ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้มากินข้าวที่บ้านตัวเองสักหน่อย

“ตอนนี้เขา…จริงสิ ผมมีรูปของเขาด้วย เดี๋ยวเอามาให้พี่ดู!” เย่หมิงเป่ยลุกขึ้นเดินไปรื้อนิตยสารกองหนึ่งอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากเจอเล่มหนึ่งก็พลิกหนังสือไปสองสามหน้า แล้วยื่นให้พี่สี่จ้าว “ดูสิ นี่แหละเขา”

พี่สี่จ้าวเห็นแล้วก็ถึงกับตกตะลึง บนกระดาษมีผู้ชายร่างผอมสูงคนหนึ่งยืนเชิดหน้าด้วยท่าทางทรงพลังและกำลังมองมาด้วยสายตาเย็นชา บนร่างกายสวมใส่ชุดแฟนซี ทั้งเท้าและแผ่นอกเปลือยเปล่า บนคอมีสร้อยหนึ่งเส้น นี่มัน…การแต่งตัวอะไรกันเนี่ย? รู้สึกแอบขัดตาอยู่เหมือนกัน

 

“นี่…คือเสี่ยวหม่าเหรอ?” พี่สี่จ้าวพยายามเพ่งมอง ทว่ากลับไม่เห็นเสี่ยวหม่าคนเดิมที่เขาเคยเห็น

“ใช่แล้ว ไม่งั้นผมจะพูดไปทำไมล่ะว่า ถ้าพี่เห็นเขาก็คงจำไม่ได้” เย่หมิงเป่ยตอบ

 

โจวหมิ่นที่นั่งอยู่อีกฝั่งพูดว่า “ที่คุณให้พี่สี่ดูเป็นรูปถ่ายแฟชั่นสินะ คุณเอารูปที่เป็นภาพชนบทไม่ได้อยู่ในกระแสหลักดูสิ พี่สี่ก็น่าจำเขาได้แหละ”

“นี่ถ้าคุณไม่บอกผมคงลืมไปแล้ว!” เย่หมิงเป่ยลุกขึ้นไปหยิบนิตยสารมาอีกหนึ่งเล่ม พลิกไปพลิกมาก็เจอหน้าหนึ่ง และยื่นให้พี่สี่จ้าว

ทันทีที่พี่สี่จ้าวเห็น…หา ทำไมถึงเอาผ้าห่มมาคลุมตัวล่ะ!

 

ภาพนี้ยังมีความคล้ายกับเสี่ยวหม่า ทว่าไม่ค่อยเหมือนกับตอนที่เขายังอยู่ในบ้านเกิดเลย เส้นผมยุ่งเหยิง ด้านหลังมีทุ่งข้าวสาลีหนึ่งผืน และใช่…เสื้อผ้าของเขาก็ขาดวิ่น ไม่ได้ดูดีเหมือนกับเสื้อผ้าตอนที่อยู่ที่บ้าน ทำให้พี่สี่จ้าวไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเพราะเหตุใดชายหนุ่มในสภาพแบบนี้ถึงมาอยู่บนหนังสือได้

“ภาพนี้ไม่เหมือนกับตอนที่เขาอยู่บ้านเลยนะ” พี่สี่จ้าวยื่นนิตยสารคืนให้เย่หมิงเป่ย อดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้งว่า “ทำไมเสื้อผ้าที่เขาใส่ถึงสภาพแย่ขนาดนี้ล่ะ?”

 

เย่หมิงเป่ยชะงัก ก่อนจะหัวเราะร่าออกมา “พี่สี่ พี่อย่าดูถูกเสื้อผ้าตัวนี้เชียวนะ พี่รู้หรือเปล่าว่าขายได้ตัวละเท่าไร?”

พี่สี่จ้าวประหลาดใจ “ขายเป็นเงินได้ด้วยเหรอ?”

“ดูพี่สี่พูดเข้าสิ ไม่เอามาขายแล้วจะทำให้ทำอะไรล่ะ” เย่หมิงเป่ยตอบ

คุณแม่เย่เดินถือซุปเข้ามาหนึ่งถ้วย “พี่สี่ของลูกเขย เธอคงไม่รู้สินะ เสื้อขาด ๆ ตัวนี้ราคาห้าร้อยกว่าหยวนเลยนะ แถมยังมีไม่พอขายด้วย!”

พี่สี่จ้าวตกตะลึงจนตะเกียบเกือบหลุดออกจากมือ เขารีบหยิบนิตยสารเล่มนั้นกลับมาดูอย่างละเอียดอีกครั้ง พูดตะกุกตะกักว่า “แค่…เสื้อตัวนี้…ขายได้ห้าร้อยกว่าหยวนเลยเหรอ?”

 

คุณแม่เย่วางซุปลงบนโต๊ะ นั่งลงพลางกล่าวว่า “ก็ใช่น่ะสิ! ป้าว่านะ นี่คงเป็นเพราะมีเงินแต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปอวดที่ไหนล่ะมั้ง!”

 

“แม่ ดูแม่พูดเข้าสิ เค้าเรียกว่าแฟชั่น…มันคือกระแส” เย่หมิงเป่ยกล่าว

ป้าแม่บ้านยกอาหารเข้ามาพร้อมกับกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “วัยรุ่นสมัยนี้ชอบอะไรแบบนี้นะ แต่ป้าก็ยังเข้าไม่ถึงอยู่ดี”

 

พี่สี่จ้าวพูดคล้อยตาม “ผมเองก็เข้าไม่ถึงเหมือนกัน เอาผ้าห่มมาคลุม แถมยังลากยาวขนาดนี้อีก ทำอะไรเนี่ย กวาดขยะเหรอ?”

 

โจวหมิ่นหัวเราะ “พี่สี่ นี่เขาเรียกว่าของประดับฉากค่ะ เอาไว้ใช้ตอนถ่ายรูป คนที่ซื้อก็จะเอามาใช้เป็นเครื่องแต่งกาย”

 

เห็นโจวหมิ่นพูดแบบนี้ พี่สี่จ้าวจึงรู้สึกไม่ดีที่จะพูดว่ามันไม่ดี “จริงเหรอ ว่าแล้วเชียว ที่แท้ก็เอามาใช้ประดับฉากนี่เอง”

 

โจวหมิ่นยิ้ม “พี่สี่ งานของเสี่ยวหม่าคือการนำเสนอเสื้อผ้าเหล่านี้ เขาเรียกกันว่า ‘นายแบบ’ นี่เป็นภาพหลังจากที่เขาฝึกฝนค่ะ”

 

“ดูต่างจากก่อนหน้านี้นะเนี่ย รูปนี้ยังแอบคล้ายกับก่อนหน้านี้ ส่วนรูปนั้นดูไม่ออกเลยจริง ๆ” พี่สี่จ้าวพูดด้วยอารมณ์ความรู้สึก

“อันที่จริงเขาเองก็อยากรักษารูปลักษณ์เดิมเอาไว้ แต่ทำแบบนั้นไม่ได้” โจวหมิ่นถอนหายใจ

 

ความต้องการของหล่อนค่อนข้างสูง เธอชอบเสี่ยวหม่าในชุดโบราณที่เย่ฉูฉู่วาดไว้ และคิดว่าสามารถใช้นำเสนอเสื้อผ้าผู้ชายแบบคลาสสิกได้ แต่หลังจากได้เห็นเสี่ยวหม่า หล่อนกลับรู้สึกว่ารูปลักษณ์ของคนในชนบทตอนนั้นสามารถทำกำไรได้ เพียงแต่เนื้อหาและลูกเล่นแปลกใหม่อะไรพวกนี้อยู่ได้แค่ชั่วขณะหนึ่ง หากคิดจะอยู่ให้นานก็ต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่อยู่ตลอด ซึ่งต้องใช้ความเป็นมืออาชีพและต้องอบรมนายแบบด้วย ด้วยเหตุนี้ภาพลักษณ์เดิมของเขาจึงถูกลบทิ้งไป หล่อนหวังว่าเสี่ยวหม่าจะแสดงออกมาได้ทั้งด้านน่ารักบ้องแบ๊วและหล่อเท่ดุดัน แต่น่าเสียดายที่เสี่ยวหม่าทำไม่ได้ ฝึกไปฝึกมา เขาก็ยังออกมาเป็นนายแบบเฉพาะทาง ไม่ใช่นายแบบตามมาตรฐาน

 

จุดนี้อย่าว่าแต่พี่สี่จ้าวที่ไม่เข้าใจเลย แม้แต่เย่หมิงเป่ยก็ไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มกินข้าวไปพลางพูดคุยไปพลาง พี่สี่จ้าวคุยไม่เก่ง ส่วนใหญ่จึงนั่งกินอาหาร แต่เรื่องชุดตัวที่เสี่ยวหม่าสวมใส่สามารถขายได้ในราคาห้าร้อยกว่าหยวนนี้กลับกระตุ้นเขาเป็นอย่างมาก

หลังจากกินข้าวเสร็จ เย่หมิงเป่ยก็พาพี่สี่จ้าวกลับมาส่งที่โรงงานเสื้อผ้า และถือโอกาสนำกล่องกระดาษใส่เครื่องประดับมาไว้ที่โรงงานเสื้อผ้าด้วย

เมื่อมาถึงโรงงานเสื้อผ้า พี่สี่จ้าวก็ช่วยแยกประเภทของเครื่องประดับ มีเครื่องประดับบางส่วนที่เป็นประเภทถักทอ ทำจากเชือกหลากสีหรือไม่ก็ตอกไม้ไผ่

“ของพวกนี้ขายได้เท่าไรเหรอ?” พี่สี่จ้าวถาม

“ของพวกนี้ไม่ได้เอาไว้ขาย เอามาจับคู่กับเสื้อผ้าน่ะ” เย่หมิงเป่ยจดบันทึกไปพลางพูดคุยไปพลาง

 

“แล้วตอนที่ซื้อมาราคาเท่าไร?” พี่สี่จ้าวครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถาม

  

“เป็นเพราะสั่งทำ ราคาก็เลยแพงนิดหน่อย อันนึงก็ 4-5 เหมาแล้ว”

“ของเล็ก ๆ แค่นี้ ราคาตั้ง 4-5 เหมา!” พี่สี่จ้าวรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก

“ก็ใช่น่ะสิ พี่สี่ เป็นเพราะสั่งทำ ของพวกนี้เลยไม่มีขายตามท้องตลาด” เย่หมิงเป่ยอธิบาย

พี่สี่จ้าวหยิบของที่เป็นแบบถักสานขึ้นมาพลิกดูสองสามรอบ กล่าวว่า “ของชิ้นนี้ทำง่ายจะตายไป มันก็เหมือนกับตะกร้าสานนั่นแหละ! ตะกร้าอันหนึ่งราคาไม่เท่าไรเอง ของเล็ก ๆ แค่นี้ขายตั้งหลายเหมา หลอกลวงกันชัด ๆ!”

โจวหมิ่นเดินเข้ามาได้ยินพอดี จึงรีบถามว่า “พี่สี่ พี่บอกว่าของพวกนี้ทำได้ง่าย ๆ เหรอคะ พี่สานเป็นด้วยเหรอ?”

พี่สี่จ้าวเห็นโจวหมิ่นก็สำรวมขึ้นมาในทันที “ของพวกนี้ทำไม่ยากหรอก ไม่ได้ต่างอะไรกับตะกร้าสาน ฉันเองก็น่าจะสานออกมาได้”

โจวหมิ่นรู้สึกสนใจขึ้นมา “พี่สี่ ถ้าใช้เชือกพี่สานได้ไหม?”

“เชือกยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่เลย ง่ายกว่าตอกไม้ไผ่อีก”

 

“จริงเหรอ? งั้นดีเลย ฉันจะไปหยิบเชือกมาให้ พี่ลองสานให้ฉันดูหน่อย!” โจวหมิ่นเดินไปหยิบเชือกห้าสีออกมาให้พี่สี่จ้าวหนึ่งกล่อง

 

เย่หมิงเป่ยหันมองโจวหมิ่น ดูเหมือนว่าเขาเองก็เริ่มจะเข้าใจความหมายของโจวหมิ่นแล้ว

งานจักสานเป็นจุดแข็งของพี่สี่จ้าว ตอนที่หยิบเชือกขึ้นมา พี่สี่จ้าวก็ดูคล้ายกับเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง ทั้งยังมีสายตามั่นใจในตนเองด้วย

“เธออยากให้สานอะไรล่ะ?”

  

“อะไรก็ได้” โจวหมิ่นตอบ

 

นิ้วที่ทั้งหยาบกร้านและแข็งแรงทว่ายืดหยุ่นและรวดเร็วเป็นพิเศษของพี่สี่จ้าวจัดการกับเชือกสีเหล่านั้น เขาสานเชือกไปมา ไม่นานนักเงื่อนหรูอี้(1)ที่เป็นตัวอักษร ‘福(โชค)’ ขนาดเล็กอันหนึ่งก็กลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

“พระเจ้า! พี่สี่ พี่มีฝีมือด้านนี้ด้วยเหรอเนี่ย!” โจวหมิ่นหยิบเงื่อนหรูอี้ที่เป็นตัวอักษร ‘福’ ชิ้นเล็ก ๆ นั้นขึ้นมาพร้อมกับอุทานด้วยความตกตะลึง

“ฝีมืออะไรกันล่ะ คนในชนบทก็ทำได้กันทั้งนั้นแหละ” พี่สี่จ้าวกลับมาอยู่ในท่าทีสำรวมอีกครั้ง

“พี่สี่ งานถักเชือกของพี่ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ!”

 

โจวหมิ่นหยิบเงื่อนหรูอี้ขนาดเท่าฝ่ามือเด็กมาพลิกดูทั้งหน้าและหลัง ยิ่งดูก็ยิ่งตกตะลึง นี่ถือการถักเชือกห้าสี พี่สี่จ้าวจัดเรียงสีของเชือกให้ไล่ระดับสี นอกจากนี้การไล่สีของเงื่อนหรูอี้ในตัวอักษร ‘福’ ก็ตรงกันข้ามด้วย ดู ๆ ไปแล้วถือว่ามีจุดเด่นทางด้านงานฝีมือเป็นอย่างมาก

………………………………………………………………………………………………………………………..

การถักเชือกเป็นปมรูปร่างต่างๆ ของจีน มักใช้ประดับในพิธีมงคลหรือเป็นเครื่องรางนำโชค

สารจากผู้แปล

พี่สี่จ้าวมีความสามารถด้านนี้นี่เอง ถือว่าการหลงทางในเมืองหลวงครั้งนี้เป็นการค้นหาตัวเองด้วยนะคะเนี่ย

ไหหม่า(海馬)