ตอนที่ 370 คนเรียนหนังสือมีวิธีขายที่ไม่เหมือนใคร

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

ตอนที่ 370 คนเรียนหนังสือมีวิธีขายที่ไม่เหมือนใคร

ตอนที่ 370 คนเรียนหนังสือมีวิธีขายที่ไม่เหมือนใคร

“พี่สี่ ทำไมพี่ถึงใช้สีแบบนี้ล่ะคะ?” โจวหมิ่นเอ่ยถาม

พี่สี่จ้าวแอบประหม่า “ฉันว่าแบบนี้น่าจะดูดีกว่าหน่อยน่ะ?”

โจวหมิ่นกล่าวชม “พี่สี่ พี่เก่งมากเลย ฉันรู้แล้วว่าพี่ทำอะไรได้!”

คิดไม่ถึงเลยว่าพี่สี่จ้าวจะมีความสามารถในการจับคู่สีขนาดนี้ ที่สำคัญคือเขามีความสามารถในการนำเสนอผลงานออกมาด้วย!

“พี่สี่ พี่ดูอันนี้นะว่าพี่สามารถถักออกมาได้ไหม” โจวหมิ่นหยิบเครื่องประดับชิ้นเล็ก ๆ ออกมาอีกสามสี่ชิ้น

พี่สี่จ้าวมองเพียงครู่เดียว “อันนี้ก็ง่ายมาก”

โจวหมิ่นถึงกับดีใจ “งั้นพี่ถักแบบที่ซับซ้อนกว่านี้อีกนิดนึงได้ไหม? แต่ขอแบบที่ดูดีด้วยนะ”

พี่สี่จ้าวครุ่นคิดและตอบมาว่า “ฉันขอลองดูแล้วกันนะ” จากนั้นจึงหยิบเชือกมาเริ่มถัก

โจวหมิ่นนั่งดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเธออยากรู้ว่ามีสูตรอะไรหรือไม่ แต่หลังจากนั่งดูอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังมองไม่ออก เธอไม่ได้มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก แม้แต่งานครอสติสในชาติที่แล้วเธอก็ยังทำออกมาไม่ได้ ประเด็นคือเธอไม่ได้มีความอดทนขนาดนั้น

พี่สี่จ้าวใช้เวลาไม่นานก็ถักออกมาจนเสร็จ ผลงานดูดีกว่าที่เธอสั่งทำเสียอีก

“พี่สี่ ถ้ารู้ว่าพี่ทำงานพวกนี้เป็นตั้งแต่แรก ฉันคงไม่ต้องเสียเงินเปล่าแบบนี้หรอก พี่ถักออกมาได้สวยมากเลย!” โจวหมิ่นเรียงงานถักของพี่สี่จ้าวไว้บนโต๊ะพลางเดาะลิ้นกล่าวชื่นชม

พี่สี่จ้าวพอจะมองออกว่าโจวหมิ่นรู้สึกพึงพอใจมากจริง ๆ เขาเองก็มีความสุขมากเช่นกัน จึงเอ่ยถามไปว่า “ของพวกนี้ขายได้เหรอ?”

“พี่สี่ ต้องขายได้อยู่แล้ว” เย่หมิงเป่ยผู้ชายที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านงานศิลปะกลับรู้สึกได้ว่าพี่สี่จ้าวถักออกมาได้ดีจริง ๆ กล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “ไม่เพียงแค่ขายได้นะ แถมยังขายได้ในราคาที่สูงมากด้วย!”

พี่สี่จ้าวตาลุกวาว เกิดความกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันใด “จริงเหรอ แล้วขายได้เท่าไรเหรอ ได้เยอะเท่ากับที่เสี่ยวหม่าได้หรือเปล่า?”

ตั้งแต่ได้เห็นภาพของเสี่ยวหม่าที่ถูกตีพิมพ์ลงบนนิตยสาร และรู้ว่าเสื้อที่เขาสวมใส่ขายได้ในราคาห้าร้อยกว่าหยวน พี่สี่จ้าวก็ไม่สามารถทำตัวนิ่งสงบได้อีกต่อไป เป็นคนชนบทเหมือนกัน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เสี่ยวหม่าทำได้แต่เขากลับทำไม่ได้ ต่อให้ได้น้อยกว่าครึ่งหนึ่งก็ยังดี

เมื่อเห็นสายตารอคอยของพี่สี่จ้าว เย่หมิงเป่ยจึงรีบหันไปมองโจวหมิ่น การขายของประเภทนี้เขาไม่ได้มีความรู้ แต่ในสายตาของพี่สี่จ้าว ของเหล่านี้จะขายได้เท่าไรไม่ได้อยู่ที่เย่หมิงเป่ย แต่อยู่ที่ภรรยาของเขาต่างหากล่ะ

คิดไม่ถึงเลยว่าพี่ชายสามของภรรยาเจ้าหกจะกลัวภรรยาขนาดนี้ พี่สี่จ้าวครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

โจวหมิ่นตอบ “พี่สี่ จะขายได้เท่าไรตอนนี้ยังบอกไม่ได้หรอก ฉันขอลองหน่อย ลองดูว่าจะขายยังไง”

พี่สี่จ้าวคิดว่าของเหล่านี้จะวางขายบนเคาน์เตอร์หรือไม่ก็วางแผงลอยขายเหมือนกับที่ตลาดนัดในชนบท จึงกล่าวว่า “ฉันไม่มีอะไรต้องทำอยู่แล้ว เดี๋ยวฉันเฝ้าแผงลอยเอง ขายได้เท่าไรก็เท่านั้นแหละ พวกเธอไม่ต้องออกแรงหรอก”

โจวหมิ่นชะงัก ก่อนกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “พี่สี่ พี่ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องมีคนเฝ้าหรอกค่ะ”

“ไม่ต้องมีคนเฝ้า?” พี่สี่จ้าวไม่เข้าใจ

“พี่สี่ หลังจากนี้เดี๋ยวพี่ก็จะเข้าใจเอง” เย่หมิงเป่ยเองก็ไม่ได้อธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างแจ่มชัด

พี่สี่จ้าวเห็นโจวหมิ่นหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายของที่เขาถักไว้ ถ่ายจนทำให้เขาแอบรู้สึกไม่สบายใจ รำพึงในใจว่า ‘กำลังทำอะไรเนี่ย?’

หลังจากโจวหมิ่นถ่ายภาพเสร็จแล้ว หล่อนจึงนำของที่เขาถักไปเก็บไว้ในกล่องและนำกลับไป ก่อนกลับยังฝากให้เขาถักเพิ่มขึ้นอีกหน่อยด้วย

เมื่อโจวหมิ่นกลับไป พี่สี่จ้าวก็รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างมาก ระหว่างที่ถักก็ถามเย่หมิงเป่ยไปพลาง ๆ “ภรรยาของนายเอาของไปขายเหรอ?”

“เปล่า ไปสั่งทำกล่องของขวัญน่ะ” เย่หมิงเป่ยตอบ

“สั่งทำกล่องของขวัญ?” พี่สี่จ้าวยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่

เย่หมิงเป่ยกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “พี่สี่ จะขายของก็ต้องมีบรรจุุภัณฑ์ด้วยนะ ยิ่งบรรจุุภัณฑ์ดีเท่าไรก็ยิ่งขายดีเท่านั้น เสื้อผ้าทำแบบนี้ ของที่พี่ถักออกมาก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน”

“บรรจุุภัณฑ์?” พี่สี่จ้าวเริ่มเข้าใจแล้ว “ก็คือเอาของใส่เข้าไปในกล่องเพื่อขายออกไปใช่ไหม?”

“ใช่ บรรจุภัณฑ์ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะ ยังมีการโปรโมทบนนิตยสารด้วย ผมคิดว่าน่าจะโปรโมทในงานแฟชั่นวีคนั่นแหละ แบบนี้จะช่วยให้ขายดียิ่งขึ้น” เย่หมิงเป่ยครุ่นคิดพลางกล่าว

พี่สี่จ้าวไม่เข้าใจ ที่บอกว่าใส่กล่องเพื่อขายเขายังพอเข้าใจ แต่บนนิตยสารอะไรนั่นล่ะ? เหมือนกับเสี่ยวหม่าน่ะเหรอ? ของที่เขาถักออกมาก็ขึ้นนิตยสารได้ด้วย? ไหนจะการโปรโมทอะไรนั่นอีก

“การโปรโมทก็คือ…” เย่หมิงเป่ยพยายามนึกถึงคำอธิบายที่ทำให้พี่สี่จ้าวเข้าใจได้ “ก็คือการคิดหาวิธีเพื่อให้ทุกคนมาซื้อนั่นแหละ”

“อ๋อ แบบนี้เรียกว่าการโปรโมทเหรอเนี่ย” พี่สี่จ้าวเข้าใจได้ในทันที รีบพูดขึ้นว่า “คนเรียนหนังสือมีวิธีขายที่ไม่เหมือนใครจริงๆ”

เย่หมิงเป่ยแย้มยิ้ม

เขาเดาไว้ไม่ผิด โจวหมิ่นตัดสินใจที่จะโปรโมทออกไปเช่นนี้จริง ๆ เดิมทีหล่อนคิดไว้ว่าจะสั่งทำเครื่องประดับเพื่อนำมาตกแต่งเครื่องแต่งกาย จากนั้นค่อยรอดูความนิยมจากผู้ชม หากได้รับความสนใจก็สามารถขายออกไปแบบแยกชิ้นได้ แต่ถ้าไม่ได้รับความสนใจก็ไม่เป็นไร คิดไม่ถึงเลยว่าพี่สี่จ้าวจะทำออกมาได้สวยกว่าที่สั่งทำเสียอีก ทั้งยังมีฝีมือเป็นเอกลักษณ์ด้วย จึงเกิดความคิดกล้าหาญว่าจะนำงานฝีมือของชาวบ้านออกไปขายโดยผสมผสานเข้ากับเครื่องประดับคลาสสิกที่มีอยู่ แน่นอน สิ่งนี้จำเป็นต้องอาศัยความสามารถในการคัดเลือกด้วย อย่ามองว่าหล่อนไม่มีความสามารถในงานหัตถกรรม ถึงอย่างไรหล่อนก็ยังมีความสามารถในการคัดกรองสินค้า

กล่องของขวัญต้องเหมาะสมกับรูปแบบของผลงาน ผลงานต้องใกล้เคียงกับธีมในแฟชั่นวีค ที่สำคัญคือต้องมีบรรจุภัณฑ์ที่ดีด้วย!

บรรจุภัณฑ์นี้ไม่เพียงแค่ถ่ายลงบนนิตยสาร แต่ยังมีการจัดวางในตู้โชว์สินค้าและการเขียนโฆษณาเพื่อแนะนำสินค้า ทั้งหมดนี้ก็เพื่อดึงดูดผู้ซื้อ ทำให้พวกเขารู้สึกทรมานใจและรู้สึกราวกับเป็นความเสียหายครั้งใหญ่หากไม่ตัดสินใจซื้อ

โจวหมิ่นเป็นคนมีประสบการณ์ ย่อมเข้าใจถึงความคิดของผู้ซื้อ ดังนั้นหล่อนจึงทำทุกอย่างได้อย่างมั่นใจ

หลังจากนั้นโจวหมิ่นก็เริ่มนำภาพเครื่องประดับส่วนหนึ่งที่เย่ฉูฉู่วาดไว้มาให้พี่สี่จ้าวดู บอกให้พี่สี่จ้าวประดิษฐ์ออกมา ไม่เพียงแต่เชือกหลากสี แต่ยังต้องใช้วัสดุอย่างอื่นด้วย พี่สี่จ้าวเอ่ยถามถึงของก่อนหน้านี้ของเขาว่าขายออกหรือไม่เพราะอดใจไม่ไหว โจวหมิ่นตอบกลับมาว่าไม่ต้องรีบร้อน สิ่งนี้ทำให้พี่สี่จ้าวถึงกับหมดคำพูด เขาต้องรีบร้อนอยู่แล้ว สรุปว่าขายออกไปได้เท่าไรก็ควรจะบอกกันสักหน่อย คนต้องกินต้องใช้ แต่เขาก็รู้สึกไม่ดีที่จะพูดออกไป

“พี่สี่ พี่ทำใจให้สบายเถอะ การหาเงินมีหลากหลายรูปแบบ ของของพี่ไม่เหมือนกับคนอื่นนะ” เย่หมิงเป่ยปลอบใจ

พี่สี่จ้าวก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดเหมือนหรือไม่เหมือน แต่ก็ทำเพียงแค่แสดงออกไปว่าเข้าใจแล้ว

ในที่สุดเขาก็ได้เจอกับเสี่ยวหม่า

ตั้งแต่พี่สี่จ้าวไปที่บ้านพักของเย่หมิงเป่ยครั้งแรก เขาก็ไม่ได้ไปที่นั่นอีกเลยเพราะไม่ค่อยสะดวก สู้อยู่ที่โรงงานเสื้อผ้ายังจะดีกว่า สถานที่แห่งนี้มีขนาดใหญ่ อีกอย่างตอนนี้เขาก็กำลังยุ่งอยู่กับงานหัตถกรรม ยุ่งมากด้วย ดังนั้นครั้งนี้เสี่ยวหม่าจึงมาหาเขาที่โรงงานเสื้อผ้า

แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้สนิทกันและไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน แต่คนหนึ่งคือคนที่จ้าวเหวินเทาแนะนำงานให้ ส่วนอีกคนเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของจ้าวเหวินเทา การได้มาเจอกันในเมืองที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ย่อมทำให้รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก นี่คงเหมือนที่เขาพูดกันว่า ‘เจอคนบ้านเดียวกัน พบพลันน้ำตาคลอ’ สินะ

“พี่สี่ ผมได้ยินมานานแล้วว่าพี่มาที่นี่ แต่ผมฝึกอยู่ตลอดก็เลยไม่มีเวลาแวะมา วันนี้ได้หยุดพัก ผมก็เลยรีบแวะมาที่นี่” เสี่ยวหม่านั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับยกขายาว ๆ ของเขาวางพาดบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งโดยไม่สนใจภาพลักษณ์

พี่สี่จ้าวกวาดตามองเสี่ยวหม่าครู่หนึ่ง เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนกับตอนที่อยู่บนนิตยสาร ใบหน้าของเสี่ยวหม่าดูอ่อนล้า เส้นผมก็ค่อนข้างยาวและดูยุ่งเหยิง เขาสวมเสื้อสเวตเตอร์ เสื้อคลุมสีเหลืองและกางเกง ให้ความรู้สึกสกปรกนิดหน่อยด้วย

เสี่ยวหม่าสวมกางเกงยีน และพี่สี่จ้าวรู้สึกได้ว่ากางเกงตัวนี้ดูสกปรกนิดหน่อยแล้ว

หลังจากกวาดตาสำรวจเสร็จ พี่สี่จ้าวจึงตอบว่า “ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่านายยุ่ง ฉันได้เห็นภาพของนายบนนิตยสารแล้ว เสื้อผ้าที่นายใส่กับที่อยู่ในรูปนั้นไม่เหมือนกันเลยนะ”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เขาเรียกว่าทำการตลาดค่ะ ต้องอาศัยการสร้างสตอรี่สร้างคอนเทนต์ให้น่าสนใจ

ไหหม่า(海馬)