บนยอดตึกสูงในเมืองหลิงเฉิง ซูเฟิงกำลังวิ่งหอบ เขาปาดเหงื่อบนหน้าออกและนั่งลงพักข้างชูฮัน “ผมไม่ไหวแล้ว ผมเหนื่อยมากที่ต้องวิ่งตามท่านไปทั่วเมืองแต่ท่านกลับมานั่งดื่มเบียร์อยู่แบบนี้เนี่ยนะ?”

 

ชูฮันส่งขวดเบียร์ให้ “สักอึกมั้ย?”

 

“ก็ดีครับท่าน” ซูเฟิงรับมาดื่ม “และท่านบอกว่าสถานการณ์มันคล้ายๆกัน นี่ท่านกำลังหาร่องรอยของซุปเปอร์ซอมบี้โดยใช้เบาะแสจากทีมที่เราส่งกระจายไปทั่วเมืองจริงๆงั้นเหรอ บางกลุ่มเละเทะไม่ก็ขาดสติแทบเป็นบ้า โดยเฉพาะกลุ่มที่สองพวกเขาพุ่งตัวอย่างรวดเร็วไปหาร้านอาหารโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่มันก็ยังมีกลุ่มแรกที่คาดว่าน่าจะเดินทางมาถึงที่นี้ในวันพรุ่งนี้โดยที่ตลอดทางคงเต็มไปด้วยสุสานเลือด!”

 

“นายน่าจะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” ชูฮันพยักหน้า “ใช่มั้ย?”

 

“ใช่ ผมเหนื่อยมาก ทุกคนในทีมของท่านมีความสามารถที่น่าประหลาดใจซ่อนอยู่กันทั้งนั้น ผมคิดเกี่ยวกับตัวผมเองมาตลอดทาง” ซูเฟิงอดไม่ได้ที่จะพูดความคิดของตัวเองขึ้นมา “แต่ทีมที่สามกำลังเผชิญปัญหาใหญ่อยู่”

 

ชูฮันเหลือบตามอง “นายรู้ได้ยังไง?”

 

“มันเป็นกลุ่มแรกเลยที่มีคนทรยศเกิดขึ้นและคนที่ทรยศคนนั้นก็ตายไปแล้วด้วยฝีมือของเหล่ยเซอ มันเป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างสามฝ่ายและพวกเขาไม่ลังเลเลยสักนิดในการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น” ซูเฟิงพูดอย่างช้าๆพร้อมกับนิ่วหน้าไปด้วย “ประเด็นคือมันมีคนแปลกหน้าสองคนปรากฏตัวขึ้น แสดงว่าในเมืองนี้มีคนอื่นอยู่อีกนอกจากพวกเรา? ผมสอดส่องดูจากที่ไกลๆก็เลยไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา แต่คนแรกที่ปรากฏตัวขึ้นดูเหมือนว่ากำลังตามหาซุปเปอร์ซอมบี้อยู่”

 

ชูฮันกระพริบตา “บอกมาตามตรง นายได้ติดต่อกับพวกเขาหรือเปล่า?”

 

หลิงเฉิงเป็นเหมือนขนมปังที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนผู้คนและชูฮันก็ตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ดี ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มจะดำเนินไปตามทิศทางอย่างในชาติก่อน การปฏิบัติต่อซอมบี้ของมนุษย์ไม่ได้เหมือนแรกเริ่มที่ผู้คนเอาแต่วิ่งหนีอีกต่อไปแล้ว กลับกันมนุษย์เลือกที่จะเผชิญหน้า การวิจัยขององค์กรหลากหลายที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อตามหาซอมบี้ได้ผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก ถึงแม้มันจะไม่ได้มีอำนาจมากมายเทียบเท่าสถาบันของซาวชุนฮุย แต่องค์กรที่พยายามค้นคว้าข้อมูลวิจัยทั้งหลายก็ไม่ควรถูกมองข้าม

 

มนุษยชาติเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีศักยภาพมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อัตราการเพิ่มจำนวนชีวิตกำลังประสบปัญหายากลำบากอยู่ และซุปเปอร์ซอมบี้ที่เป็นทิศทางในการวิจัยใหม่ ตอนนี้ผู้คนยังไม่รู้ข้อมูลและนิยามของซุปเปอร์ซอมบี้แต่พวกเขามักจะพบเจอมันในฝูงซอมบี้ที่มีซอมบี้รวมอยู่มากกว่า 500,000 ตัว มันจะมีตัวที่แตกต่างจากตัวอื่นปรากฏอยู่เสมอ

 

ความแตกต่างเช่นนี้จะดึงดูดเหล่าคนระดับปรมาจารย์มากมายมาเพื่อจัดการกับซุปเปอร์ซอมบี้ บางทีอาจเป็นการทวงคืนผลประโยชน?ของพวกสถาบันวิจัยทั้งหลาย หรือบางทีเพื่อฆ่าและเอาคริสตัลล้ำค่าที่อยู่ในหัวมันมา

 

โดยไม่คำนึงถึงจุดประสงค์ เหล่านักล่าเองก็ต้องใช้ระยะเวลาจำนวนมากเช่นกันเพื่อไล่ตามล่าซุปเปอร์ซอมบี้

 

อย่างไรก็ตามในกรณีของชูฮันที่รู้เรื่องทุกอย่างอยู่แล้ว เขารู้ว่าการศึกษาซอมบี้นั้นเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง มันเป็นการสิ้นเปลืองเวลาทิ้งเปล่าๆ การมีอยู่ของซอมบี้นั้นมีไว้เพื่อฆ่า สำหรับมนุษยชาติประโยชน์เพียงอย่างเดียวเกี่ยวกับพวกซอมบี้ก็คือคริสตัลเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมนุษย์จำนวนมากและทรัพยากรทางด้านการเงินเพื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับคริสตัลที่ได้มาจากซอมบี้

 

ชูฮันไม่มีความสามารถทางนี้และเขาไม่มีพรสวรรค์ทางด้านการวิจัยนี้เลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยเขี้ยวหมาป่าขึ้นมาที่ค่ายและเขาก็ได้กำหนดแนวทางในการวิจัยอย่างชัดเจนขึ้นมาเพื่อส่งต่อมันให้กับผู้เชี่ยวชาญต่อไป

 

อย่างเช่นนักเคมีวิทยา…เจียงโจวอีกทั้งเขายังเป็นนักชีววิทยาไปในตัว และนักวิทยาศาสตร์อีกมากมายที่เขาจะค่อยๆตามหาไปทีละคน เส้นทางนี้มันยังอีกยาวไกล!

 

“ไม่ได้ติดต่อครับ” ซูเฟิงไม่รู้ถึงความคิดของชูฮันแต่เขาตอบตามจริง “ผู้ชายคนแรกที่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ากลุ่มที่สามมีพละกำลังสูงมากจนทีมที่สามไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย ผมอยากจะเข้าไปช่วยพวกเขาแต่แล้วจู่ๆก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นซะก่อน และในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังโต้เถียงและจะลงมือต่อสู้กัน ทีมที่สามก็ใช้โอกาสนั้นหนีออกมาโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้”

 

“นายมั่นใจว่านายปลอดภัย ไม่มีใครเห็นนาย?” ชูฮันกระพริบตาและเอ่ยถาม

 

“ผมมั่นใจว่าไม่น่ามีใครตามความเร็วผมได้ทัน ถ้าไม่ใช่เพราะผมยืนอยู่บนชั้นหกที่มีความสูงจนมองเห็นภาพกว้างโดยรอบ ผมมั่นใจว่าผมคงไม่มีทางหาพวกเขาเจอ” ซูเฟิงเถียงกลับ “แต่กลุ่มที่สามแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ชูเซี่ยและคนอีกเจ็ดคนไปที่ถนนร้านค้าอาหารเพื่อขอความช่วยเหลือจากเฉินช่าวเย่ ส่วนอีกคนที่แยกออกไปนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นพรสวรรค์ เขาซ่อนตัวอยู่ ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล”

 

“พรสวรรค์?” ชูฮันกระพริบตา มันเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิด

 

“ใช่ พรสวรรค์ แค่มองดูผมก็รู้ได้ทันที!” ซูเฟิงเอามือตบเข้าที่หน้าอกอย่างมั่นใจ “ดูเหมือนว่าจะเป็นประเภทซ่อนเร้นที่สามารถหลีกเลี่ยงซอมบี้ได้”

 

นั่นมันเหมือนกับจางโบฮั่นและเฟิงจื่อจือเลยนี่นา? ชูฮันกระพริบตา

 

“เรื่องนี้ผมไม่รู้แต่ผู้ชายทั้งสองที่มีความสามารถระดับสูงต่อสู้กันจนร้านค้านั่นพังยับเยิน แต่ท่านรู้มั้ย?” ซูเฟิงเริ่มใช้น้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ “หนึ่งในนั่นดูเหมือนกับเจียงหลิงโหลวมาก เป็นไปได้มั้ยที่จะเป็นญาติกัน? ผมมาขออนุญาตจากท่าน ใบหน้านั่นของชายทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ผมฆ่าเขาได้มั้ย? วิวัฒนาการระยะ 5 คนนั้น… “

 

“ฟู่~” เบียร์ในปากชูฮันพ่นกระจายออกมาด้วยความตกใจ “เหมือนหลิงโหลว? แล้วชื่อของอีกฝ่ายคืออะไร?”

 

ซูเฟิงปาดน้ำเบียร์ออกจากหน้าและตอบกลับ “ผมไม่ได้ยิน”

 

ชูฮันผลักซูเฟิงเบาๆ “ไปดูอีกครั้ง เร็ว!”

 

ซูเฟิงแทบเป็นลม “งานผมล้นมือแล้ว สิบหกกลุ่ม สถานการณ์ความปลอดภัยของพวกเขาทั้งหมดขึ้นอยู่กับการสังเกตการณ์ของผม ท่านไปดูเองดีกว่ามั้ย?”

 

“ไม่ใช่หน้าที่ฉัน หรือนายไม่แข็งแรงพอจะทำ?” ชูฮันยิ้มและพูด “นายรีบกลับไปดู ถ้ามีอะไรก็ผิวปากเสียงกระต่ายเรียก ฉันจะรีบไปทันที”

 

ซูเฟิงอยากจะบอกชูฮันว่ากระต่ายไม่ส่งเสียง แต่เขาก็ยังเลือกที่จะหมุนตัวและออกวิ่งไปตามที่ชูฮันสั่งอยู่ดี

 

ชูฮันไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะขี้เกียจเหมือนเดิมอีกต่อไป เขายกมือขึ้นลูบคางพลางเริ่มขบคิดในหัวไปด้วย หลิงโหลวดูน่าจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต และนามสกุล เจียง นั่นเป็นนามสกุลที่มีชื่อเสียงในชาติที่แล้ว แต่ชื่อที่เฉพาะนั้นเขายังไม่รู้ เขารู้ว่าพี่น้องเจียงมีชื่อเสียงมากมาย ประกอบกับที่หลิงโหลวเป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 6…

 

“ขออนุญาตครับท่าน?” หลิวยู่ติงที่กำลังหัวหมุนกับการจดบันทึกลงในสมุดจดเอ่ยขึ้น “ผมชื่อหลิวยู่ติง ตำแหน่งพลตรี ผมขอถาม…ท่านตื่นเต้นงั้นเหรอครับ ทำไม?”

 

“นายเบลอเหรอไง?” หน้าผากของชูฮันกระตุกทันที “เวลาคุยกับแบบส่วนตัวนายไม่จำเป็นต้องพูดแบบนี้ อย่าถามอะไรมาก ทำงานของนายไป อันดับแรกคิดถึงบทลงโทษของกลุ่มที่ทำภารกิจล้มเหลว จำไว้ว่าต้องฉลาด”

 

“โอ๊ะ” หลิวยู่ติงสะดุ้งเล็กน้อยและเริ่มเขียนลงไปในสมุดจด หัวข้อบนกระดาษที่เขากำลังเขียนต่อไปมันจะกลายเป็นฝันร้ายสำหรับสมาชิกของกองกำลังเขี้ยวหมาป่าในอีกสองสามปีข้างหน้า…กฏระเบียบของกองกำลังเขี้ยวหมาป่า

 

หลิวยู่ติงเองก็จะกลายเป็นวายร้ายที่ไม่มีเพื่อนพ้อง เขาจะกลายเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเขี้ยวหมาป่าของค่ายเขี้ยวหมาป่า ซึ่งต่อมาจะมีฉายาว่าผู้การทหารเหี้ยมโหด และตอนนี้แววของหลิวยู่ติงก็เริ่มค่อยๆออกลายให้เห็นแล้ว