เล่มที่ 12 เล่มที่ 12 ตอนที่ 346 สัตว์เทพหายไปแล้ว

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ทันใดนั้น เมฆดำที่ปกคลุมท้องฟ้าเริ่มสลายออก แสงจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้าพลันส่องสว่างอีกครั้ง

“โฮก โฮก… ” เสียงของสัตว์เทพกิเลนดังขึ้นภายในถ้ำ

เสียงร้องของสัตว์เทพกิเลนครั้งนี้ไม่ได้ดุร้ายรุนแรงเหมือนก่อนหน้า ทว่ามีความรู้สึกอ่อนโยนและยอมจำนน

เยี่ยโยวเหยาที่กลายเป็นปีศาจกระหายเลือดราวกับรู้สึกได้ เขาหันศีรษะมองไปทางเสียงของสัตว์เทพกิเลนที่ดังขึ้น พลันรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นซูจิ่นซีนั่งอยู่บนหลังสัตว์เทพกิเลนที่กำลังก้าวเดินออกมายังลานกว้างด้านในถ้ำ

สัตว์เทพกิเลนตัวสูงใหญ่และทรงพลัง ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยแสงสีน้ำเงินเย็น แม้ซูจิ่นซีจะตัวเล็ก ทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง แต่กลับไม่ปรากฏความอ่อนแอแม้แต่น้อย

รัศมีจากสัตว์เทพกิเลน ส่องประกายให้ใบหน้าของนางสว่างไสวดั่งหยกขาวละเอียด แววตาที่แข็งแกร่ง แผ่นหลังตั้งตรง สีหน้าภาคภูมิใจ แสดงให้เห็นว่านางเป็นเจ้านายของสัตว์เทพกิเลนอย่างแท้จริง ทั้งยังเป็นราชินี

เมื่อเหล่าสมุนไพรกินคนเห็นเหตุการณ์นี้ ความชั่วร้ายในตัวพวกมันพลันสลายหายไปในทันที ทุกตัวต่างพากันวิ่งหนีออกจากถ้ำอย่างตื่นตระหนก

เวลานี้ในถ้ำเหลือเพียงเยี่ยโยวเหยาผู้เดียว

สัตว์เทพกิเลนพาซูจิ่นซีที่นั่งอยู่บนหลังเหาะไปยังข้างกายเยี่ยโยวเหยา สัตว์เทพกิเลนหมอบลงบนพื้นเพื่อให้ซูจิ่นซีลงจากตัวมันได้โดยง่าย

เมื่อซูจิ่นซีเห็นสภาพของเยี่ยโยวเหยา ภายในใจพลันตกตะลึง นางรีบเดินเข้าไปหาทันที “เยี่ยโยวเหยา เป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ”

ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาที่เคยเป็นสีแดงค่อยๆ จางหายไป กลับคืนเป็นสีดำขลับดังเดิม ตอนนี้ความสุขในใจที่หายไปได้กลับคืนมาแล้ว

ทว่าการต่อสู้กับสมุนไพรกินคนเป็นเวลานาน ทำให้เขาหมดแรง เดิมทีร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บภายในอยู่แล้ว เมื่อซูจิ่นซีทำให้เขาฟื้นคืนสติ ร่างกายที่ใช้พลังไปจนถึงขีดสุด จึงโอนเอนไปทางซูจิ่นซี เขาใช้มือบีบไปที่หัวไหล่ของซูจิ่นซี

“ซูจิ่นซี ข้าไม่ยอมให้เจ้าเป็นอันใด! ”

ซูจิ่นซีตกใจ รีบประคองเยี่ยโยวเหยา

“เยี่ยโยวเหยา ท่านวางใจ หม่อมฉันไม่เป็นอันใด! ”

หลังสิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็ราวกับคลายความกังวลใจลงและหมดสติไปในทันที

อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีรู้ดีว่าเยี่ยโยวเหยาเป็นคนที่ไม่ปล่อยวางและระแวดระวังอยู่เสมอ ยิ่งอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ ทว่าตอนนี้เขาเหน็ดเหนื่อยเกินไป ทั้งร่างกายยังไร้เรี่ยวแรง

“สัตว์เทพกิเลน! ”

ซูจิ่นซีหันไปตะโกนเรียกสัตว์เทพกิเลนที่อยู่ข้างหลัง สัตว์เทพกิเลนค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างเชื่อฟังและหมอบอยู่ข้างกายซูจิ่นซี ซูจิ่นซีรีบประคองเยี่ยโยวเหยาขึ้นไปบนหลังสัตว์เทพกิเลน

จากนั้นนางจึงเดินนำหน้าโดยมีสัตว์เทพกิเลนเดินตามหลัง เจ้านายหนึ่งคนและสัตว์เทพหนึ่งตัว พาเยี่ยโยวเหยาในสภาพหมดสติ เดินออกจากถ้ำทีละก้าวอย่างสง่างาม

ตอนที่ซูจิ่นซีเดินออกจากถ้ำนั้น ไม่เพียงเหล่าสมุนไพรกินคนที่พากันหวาดกลัวเท่านั้น แม้แต่แสงจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้ายังลดความสว่างลงเล็กน้อย

แววตาของซูจิ่นซีสงบเยือกเย็น นางเดินมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงอย่างแผ่วเบา เหล่าสมุนไพรกินคนจำนวนมากราวกับรับรู้ได้ถึงภัยอันตราย พวกมันคิดกระโดดหนี ทว่าไม่ทันการณ์เสียแล้ว

สมุนไพรกินคนทั้งหมดพลันหายไปในชั่วพริบตา ไม่เพียงแต่สมุนไพรกินคนเท่านั้น กระทั่งพื้นที่รกร้างว่างเปล่าที่ปลูกสมุนไพรในแดนต้องห้ามของสกุลจงทั้งหมดก็หายไปเช่นกัน

แท้จริงแล้วพวกมันไม่ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าถูกซูจิ่นซีเก็บไว้ในระบบถอนพิษ

ถูกต้อง!

ในที่สุดระบบถอนพิษก็เพิ่มระดับแล้ว

ภายในถ้ำ นางบังเอิญทำให้สัตว์เทพกิเลนจำนนได้โดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนที่สัตว์เทพกิเลนยอมจำนนนั้น ระบบถอนพิษได้ดูดซับเลือดของสัตว์เทพกิเลนเข้าไปโดยบังเอิญ ทำให้ระบบถอนพิษเพิ่มระดับขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น เข้าสู่ขั้นที่สอง

ครั้งก่อนตอนที่ระบบถอนพิษอยู่ในระดับขั้นที่หนึ่ง แม้ความเร็วในการทำงานจะมากกว่าในตอนแรก ทั้งยังสามารถวิเคราะห์ปริมาณและส่วนประกอบของสารพิษออกมาได้ ทว่ากลับไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บสมุนไพรในระบบถอนพิษได้

ตลอดมา ซูจิ่นซีใช้งานระบบถอนพิษเพียงขั้นต้นเท่านั้น เหล่าผู้อาวุโสของสำนักถังเหมินได้ใส่ยาสมุนไพรไว้ด้านใน การใช้งานมีข้อจำกัดอย่างมาก หลายต่อหลายครั้งที่มียาสมุนไพรไม่ครบถ้วน ทำให้ซูจิ่นซีตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก

ครั้งนี้ดีมาก ระบบถอนพิษเพิ่มระดับไปถึงขั้นที่สอง ซูจิ่นซีสามารถเพิ่มยาสมุนไพรได้เอง นางจัดเก็บยาสมุนไพรเหล่านั้นไว้ข้างในได้ตามใจชอบ ต่อไปไม่ต้องกังวลว่ายาสมุนไพรจะขาดแคลนอีกแล้ว

หลังจากที่ระบบถอนพิษเพิ่มระดับ ซูจิ่นซีค้นพบเพียงความสามารถนี้เพียงอย่างเดียว ส่วนความสามารถที่เหลือ คงต้องรอให้มันพัฒนาเสียก่อน

“โฮก! ”

สัตว์เทพกิเลนคำรามเสียงต่ำ เหมือนกำลังแจ้งเตือนอันใดแก่ซูจิ่นซี

แม้ซูจิ่นซีจะไม่เข้าใจภาษาของสัตว์เทพกิเลน ทว่ายังเข้าใจความหมายโดยรวม เหมือนมันกำลังเตือนว่าเข้าใกล้อันตราย

ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังลังเล สัตว์เทพกิเลนก็เดินมายังข้างกายของนางและหมอบลง

ซูจิ่นซีรู้ได้ทันที นางขึ้นไปบนหลังสัตว์เทพกิเลนอีกครั้ง

สัตว์เทพกิเลนพาซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยามุ่งหน้าลงภูเขาไปด้วยความเร็วดั่งสายลม

จนกระทั่งมาถึงตีนเขา ซูจิ่นซีเพิ่งพบว่าอันตรายที่ว่านั้นคือสิ่งใด

ตั้งแต่เสียงคำรามของสัตว์เทพกิเลน จนถึงการทำให้ยาสมุนไพรทั้งหมดหายไป ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คนของสกุลจงย่อมล่วงรู้อย่างแน่นอน

ผู้นำสกุลจงทั้งสองสำนักต้องสั่งให้คนรีบมายังแดนต้องห้ามเป็นแน่ ทว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่พวกเขาสามารถเข้ามาในแดนต้องห้ามได้ ดังนั้นแม้จะรู้สึกถึงความผิดปกติของแดนต้องห้าม กลับทำได้เพียงเฝ้ามองแดนต้องห้ามเท่านั้น

ซูจิ่นซีมองไปยังคนสกุลจงที่อยู่ไกลๆ พลางฉีกชิ้นส่วนเสื้อผ้าขึ้นมาปกปิดใบหน้าตนเอง

หลังจากนั้นนางก็โน้มตัวลงกอดคอสัตว์เทพกิเลน ใช้แขนเสื้อกว้างใหญ่ปิดบังใบหน้าของเยี่ยโยวเหยา

ความเร็วในการเคลื่อนที่ของสัตว์เทพกิเลนยังคงรวดเร็วดั่งสายลม ทำให้เกิดฝุ่นละอองคละคลุ้ง

คนสกุลจงจึงเห็นเพียงกลุ่มก้อนหมอกสีดำตกลงมาจากด้านบนของภูเขา มุ่งหน้ามาทางพวกเขา แต่กลับมองไม่ชัดว่าเป็นสิ่งใด

“นั่นคือสิ่งใด? ”

“คือสิ่งใด? ”

……

ขณะที่สัตว์เทพกิเลนเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ในที่สุด… ผู้นำสกุลทั้งสองสำนักที่เคยเห็นรูปวาดสัตว์เทพกิเลนของสกุลจงก็นึกขึ้นได้

“แย่แล้ว… นั่นคือสัตว์เทพกิเลน สัตว์เทพกิเลนพิโรธแล้ว รีบ… รีบหลบเร็ว! ”

หลังสิ้นเสียงพูด ทุกคนต่างพากันวิ่งหนีอลหม่านด้วยความตื่นตระหนก กระทั่งผู้นำสกุลทั้งสองยังแอบอยู่ด้านหลังก้อนหิน ไม่กล้ายื่นหน้าออกไปมองแม้แต่น้อย

เมื่อเป็นเช่นนั้น สัตว์เทพกิเลนจึงพาซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาออกจากแดนต้องห้ามของสกุลจงได้อย่างราบรื่น

หลังออกจากแดนต้องห้ามสกุลจงจนมาถึงสถานที่ปลอดภัยแล้ว ซูจิ่นซีก็ประคองเยี่ยโยวเหยาลงมาจากหลังของสัตว์เทพกิเลน

หัวหน้าองครักษ์เงาที่เฝ้าอยู่ด้านนอกแดนต้องห้ามของสกุลจงพลันปรากฏตัวขึ้นจากความมืด ข้างกายยังมีองครักษ์อีกสองนายเหาะเหินลงมา “พระชายา ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”

“อืม! ” ซูจิ่นซีพยักหน้าด้วยท่าทางเคร่งเครียด “สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก โชคดีที่ข้าใช้ยาระงับอาการเอาไว้ หากรีบกลับแคว้นจงหนิงในตอนนี้อาจส่งผลร้ายต่ออาการบาดเจ็บของท่านอ๋อง ใกล้ๆ นี้มีสถานที่เงียบสงบบ้างหรือไม่ ข้าจะทำการรักษาอาการบาดเจ็บของท่านอ๋องก่อน”

“มีขอรับ ที่เมืองอวี๋โจวมีตำหนักของท่านอ๋องอยู่แห่งหนึ่ง”

“ไม่ควรล่าช้า พวกเรารีบไปกันเถิด”

องครักษ์เงาขับรถม้าเข้ามา ซูจิ่นซีประคองเยี่ยโยวเหยาขึ้นรถม้าและพุ่งทะยานออกไป

ในค่ำคืนที่มืดสนิท องครักษ์เงาจำนวนหนึ่งที่หลบอยู่ด้านนอกต่างมองไปทางรถม้าที่ขับออกไปด้วยความสงสัย เมื่อครู่นี้พวกเขาเห็นชัดๆ ว่า มีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพาท่านอ๋องกับพระชายาออกมา ทว่าจู่ๆ สัตว์ประหลาดตัวนั้นกลับหายไป

หายไปไหนแล้ว?

หรือพวกเขาตาฝาดไปเอง?