แดนนิรมิตเทพ บทที่ 537
ทางเดินเข้าไปนั้นมีเครื่องใช้ที่แตกหักกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น และมีซากศพแห้งนอนอยู่บนพื้นหิน

ชายแซ่หูกล่าวด้วยความเสียใจว่า “ดูเหมือนว่าสุสานแห่งนี้ ถูกโจรปล้นสุสานมาปล้นของไปแล้ว รูที่พวกเราลงมาน่าเป็นรูที่พวกโจรปล้นสุสานขุดเอาไว้”

ศ.เฉินหยิบเครื่องใช้ที่แตกอยู่บนพื้นด้วยความระมัดระวัง และกล่าวด้วยความเสียดายว่า “ดูจากรูปทรงของเครื่องใช้เหล่านี้แล้ว คาดว่าน่าจะมีประวัติอย่างน้อยหนึ่งพันปีขึ้นไป น่าเสียดายจริง ๆ เฮ้อ!”

ดอกเตอร์ห่าวที่อยู่ข้างหลังด่าด้วยความโมโห “ฮึ่ม ต้องโทษโจรปล้นสุสานพวกนั้น! พวกเขาเป็นคนบาปของประวัติศาสตร์!”

ชายแซ่หูและชายแซ่หวางต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย

“นี่เป็นเพียงบริเวณรอบ ๆ สุสานเท่านั้น พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ บางทีอาจจะเจออะไรบางอย่าง!” ชายแซ่หูแนะนำ

“ตกลง น้องหูพูดถูก พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ” ศ.เฉินเห็นด้วย เมื่อเผชิญหน้ากับสุสานโบราณแล้ว นักวิจัยเก่าเหล่านี้ ที่ทำการวิจัยโบราณคดีมาตลอดชีวิต ไม่สามารถระงับความอยากรู้ของตนเองได้

และในสุสานเริ่มปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนังจำนวนมาก ศ.เฉินใช้ไฟฉายส่องและศึกษาด้วยความระมัดระวัง

“นี่น่าเป็นสุสานขององค์ชายแคว้นกูซื่อซึ่งเป็นหนึ่งในสามสิบหกแคว้นตะวันตก ส่วนภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้บันทึกชีวิตขององค์ชายเอาไว้”

ระหว่างทาง ศ.เฉินแนะนำให้ทุกคนรู้จัก

“ดูภาพนี้สิ นี่คือภาพที่องค์ชายชนะสงครามกลับมา ส่วนภาพนี่คืองานแต่งงานขององค์ชาย……..”

เดินจนกระทั่งถึงภาพสุดท้าย ศ.เฉินตกตะลึงและสับสนเล็กน้อย “ภาพนี้หมายความว่าอย่างไร?”

ส่วนล่างของภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้นั่งอยู่บนบัลลังก์ มีกลุ่มคนหมอบอยู่ตรงเท้า ในนั้นมีองค์ชายรวมอยู่ด้วย

การแสดงออกทางสีหน้าของผู้หญิงคนนี้ละเอียดอ่อนมาก โดยเฉพาะดวงตาดวงที่สามที่อยู่บนหน้าผาก มองแล้วรู้สึกแปลกมาก

ส่วนบนของจิตรกรรมฝาผนัง เป็นภาพผู้หญิงสวมชุดสีขาว ผมยาวคลุมไหล่และสวมหน้ากาก เหยียบเมฆห้าสีไว้ใต้ฝ่าเท้า สองมือถือกระบี่ยาวเอาไว้

สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดคือเห็นชัดเจนว่าการแต่งกายของผู้หญิงคนนี้เป็นชุดผู้หญิงหัวเซี่ยโบราณ และภาพของผู้หญิงคนนี้ครอบคลุมครึ่งหนึ่งของภาพจิตรกรรมฝาผนัง และยังเป็นครึ่งบนที่สำคัญที่สุด

จากภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้เห็นได้ชัดว่าสถานะของผู้หญิงคนนี้สูงศักดิ์ที่สุด

ศ.เฉินขมวดคิ้วแล้วคิดไตร่ตรอง “ครึ่งล่างของจิตรกรรมฝาผนังน่าจะเป็นเรื่องราวของทูตพิเศษจากแคว้นต่าง ๆ ที่มาเข้าเฝ้าราชินี และราชินีองค์นี้มีดวงตาสามดวง แต่ผู้หญิงชุดขาวถือกระบี่ที่อยู่ครึ่งบนของภาพวาดคือใคร? ทำไมภาพของเธอคนเดียวถึงได้ครอบครองภาพจิตรกรรมฝาผนังไปครึ่งหนึ่ง?”

“ราชินีสามตาเหรอ? ราชินีองค์นี้เป็นปีศาจ?” เสี่ยวหยุนสมาชิกหญิงในทีมอุทานออกมา

ศ.เฉินส่ายศีรษะ “ราชินีองค์นี้น่าจะเป็นราชินีจิงเจวี๋ยที่พวกเรากำลังตามหา”

ดอกเตอร์ห่าวที่อยู่ด้านหลังกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ว่ากันว่าราชินีจิงเจวี๋ยมีดวงตาสามดวง สามารถสื่อสารกับยมโลกได้ หรือว่าตำนานเล่าขานจะเป็นเรื่องจริง?”

ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกหวาดผวา หรือว่าเมืองโบราณจิงเจวี๋ยที่พวกเขากำลังตามหาเป็นแคว้นปีศาจ?

สุดท้ายศ.เฉินอธิบายให้ทุกคนฟังว่า “ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะถ้าคนสมัยโบราณเลื่อมใสอะไรบางอย่างจนถึงขีดสุด พวกเขามักจะเทิดทูนเสมือนเป็นเทพ ราชินีจิงเจวี๋ยเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมและรู้จักใช้คนที่มีความสามารถ ดังนั้นคนรุ่นหลังจึงเทิดทูนเธอเสมือนเป็นเทพ”

ทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ไปกันเถอะ พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ หวังว่าสุสานขององค์ชายกูซื่อจะยังไม่ถูกทำลาย” ศ.เฉินกล่าว

สุสานแห่งนี้ถูกโจรเข้ามาปล้นแล้ว เกือบจะถูกทำลายทั้งหมด โลงศพขององค์ชายกูซื่อถูกเปิดออก และไม่มีอะไรที่มีค่าหลงเหลืออีก

ศ.เฉินและคนอื่น ๆ ออกจากสุสานด้วยความเสียดาย จากนั้นพวกเขาเติมน้ำใส่กระติก แล้วเดินตามแผนที่ต่อไป

หลังจากเดินทางไปได้สองวัน ก็ยังไม่มีร่องรอยซากโบราณของเมืองโบราณจิงเจวี๋ย