958 มนุษย์แก้ว
วันเดียวกันนั้นเครื่องก็ลงจอดที่ปักกิ่ง
อากาศในปักกิ่งไม่ได้สดใสเท่าไหร่ทั้งยังมีเมฆมากและมลพิษทางอากาศ
ที่ทางออกของผู้โดยสารในสนามบินมีหญิงสาวร่างบางในเสื้อโค้ทสีเทาและกางเกงขายาวดวงตาของเธองดงามราวกับภาพวาดเธอเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆเท่านั้นแต่เธอกลับเปล่งประกายโดดเด่นที่สุดในบริเวณนี้ทุกคนที่เดินผ่านเธอไม่ว่าจะเป็นผู้ชายผู้หญิงคนแก่ หรือเด็กต่างก็ต้องหันมองเธอไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งแววตาของพวกเขามีทั้งความปรารถนาความชื่นชมและความอิจฉาแต่สายตาของเธอกลับจับจ้องไปที่ทางออกแค่จุดเดียวเท่านั้นเธอกําลังรอคอยใครบางคนเป็นคนที่เธอรัก
“เชียนเชิง” เมื่อเธอเห็นคนรักรอยยิ้มหวานก็กระจายอยู่บนหน้าในเวลานี้คล้ายกับมีดอกไม้เบ่งบานอยู่รอบตัวเธอ
“เสี่ยวซวี” หวังเย้ารีบเดินเข้าไปมาหาเธอและกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน“นี่มันบ้าอะไรกัน?”
“ผู้ชายคนนั้นไม่เห็นจะดูดีที่ตรงไหนเลย!”
“โอ้ ดอกโบตั๋นดอกนี้กลับไปอยู่ในขี้วัวสวรรค์ช่างไร้ตาจริงๆ!”
“เสี่ยวหลี่ ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เป็นอะไรไปกันหมดแล้ว?”
“เธอมาคนเดียวเหรอ?”หวังเข้าไม่เห็นชูเหลียนอยู่ด้วยกันกับเธอ
“ใช่ค่ะ ฉันมาคนเดียวไปกันเถอะค่ะ”ซูเสี่ยวซวีกอดแขนของหวังเย้าอย่างมีความสุข“รอเดี๋ยวนะผมขอดูก่อนใช่จริงๆด้วยเธอสวยขึ้นอีกแล้ว”หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้มซูเสี่ยวซวีเพียงแค่ยิ้มตอบเขาเท่านั้น
จุ๊บ หวังเย้าจูบแก้มของเธอ ใบหน้าของเธอเริ่มขึ้นสี
“พวกเขากล้ามาแสดงความรักกันตรงนี้เลยงั้นเหรอ!ไม่อายบ้างรึยังไง?”
“พิลึกคนจริงๆ!”
ทั้งสองพากันเดินกระหนุงกระหนิงออกไปจากสนามบินซูเสี่ยวซวีขับรถพาหวังเย้าไปที่บ้านของเธอ
ตระกูลซูเตรียมมื้อค่ำาเพื่อต้อนรับหวังเย้าเป็นการพิเศษแต่ซูเซี่ยงฮวาไม่ได้อยู่ที่บ้านด้วยเชฟ
ที่รับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ทําอาหารชานตงเขาให้ความสําคัญกับหวังเย้าเป็นพิเศษ
ในระหว่างมื้ออาหาร ซงรุ่ยปิงพูดคุยเรื่องครอบครัวกับหวังเย้าเช่น เรื่องสุขภาพของพ่อแม่เขาเรื่องงานและอื่นๆความจริงแล้วพวกเขาไม่มีหัวข้ออะไรให้สนทนากันมากนัก
หลังมื้อค่ำ หวังเย้ากับซูเสี่ยวซวีก็อยู่ตัวติดกันพวกเขาพูดคุยกันอยู่นานหวังเข้าไปที่พักบ้านหลังน้อยเขาไม่ได้นอนค้างอยู่ที่บ้านตระกูลซู ถึงซงรุ่ยปิงจะเป็นฝ่ายเชิญให้เขาอยู่แต่เขาก็ใส่ใจ
เรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆหลายอย่าง เพราะถึงยังไงเขาก็ยังไม่ใช่ลูกเขยของคนตระกูลนี้“เชียนเชิง”เฉินหยิงได้เตรียมห้องพักไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้วเธอดีใจมากที่ได้เห็นหวังเย้า“ต้องมารบกวนอีกแล้วนะครับ”เขาพูด
“ไม่รบกวนเลยค่ะ”เฉินหญิงพูด
เช้าวันต่อมา หวังเย้าตื่นแต่เช้า สองพี่น้อง เฉินหยิงกับเฉินโจวกลับตื่นเช้ายิ่งกว่าเขาพวกเขากําลังฝึกอยู่ที่ลานบ้านแต่อากาศในปักกิ่งไม่ได้ดีมากนักมลพิษมีอยู่รอบตัวเมื่อพวกเขาสูดหายใจเข้าไป พวกเขาก็จะรู้สึกราวกับมีสิ่งแปลกปลอมขนาดเล็กจิ๋วเข้าไปในลําคอและปอดของตัวเองมันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดเมื่อเทียบกับเนินเขาหนานชานแล้วมันต่างจากที่นี่ราวฟ้ากับเหว“เชียนเชิง ได้เวลากินข้าวแล้วค่ะ”เฉินหยิงเตรียมอาหารเช้าเสร็จโดยใช้เวลาไม่นานนัก “อืมฝีมือหาอาหารของคุณดีขึ้นอีกแล้วนะครับ”หวังเย้าชมเธอด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุณค่ะ”
หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จเขาก็ไปที่บ้านตระกูลซู หวังเย้ากับซูเสี่ยวซวีไปเที่ยวรอบปักกิ่งโดยไร้จุดหมายแค่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้วก่อนหน้านี้เขาเคยไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆในปักกิ่งมาหลายที่แล้ว
พวกเขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยพวกเขาไม่รู้ว่าเดินกันมานานแค่ไหนแล้วแต่ไม่นานก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้วพวกเขาจึงเข้าไปนั่งในร้านอาหารข้างทางและสั่งอาหารมาสองสามจาน
“อืม รสชาติไม่เลวเลย!” หลังจากกัดอาหารเข้าไปคําหนึ่งหวังเย้าก็เอ่ยปากชม
“จริงเหรอคะ?”ซูเสี่ยวซวีไม่ค่อยได้กินข้าวนอกบ้านบ่อย“เราดื่มกันสักหน่อยดีไหม?”
“ดีค่ะ” ทั้งสองสั่งเหล้าขวดเล็กมาขวดหนึ่ง
พวกเขากินดื่มและพูดคุยกันไปด้วย
ขณะเดียวกัน ที่บ้านตระกูลซู
“พี่จ้าว ทําไมถึงแวะมาที่นี่ได้ล่ะคะ?”ซงรุ่ยปิงทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
หญิงวัยกลางคนที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีแต่หน้าตากลับดูไม่สดใสนักต่างจากซงรุ่ยปิงที่
สดชื่นและกระปรี้ประเปร่าอยู่ตลอดเวลา
“ที่ฉันมาหาเธอก็เพราะมีเรื่องน่ะจ๊ะ”
“เข้ามาก่อนสิคะแล้วมีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
“เธอรู้เรื่องอาการป่วยของเสี่ยวรุ่ยใช่ไหม?”
“ฉันรู้ค่ะ เขาไปรักษาตัวที่เมืองนอกไม่ใช่เหรอคะ?แล้วเขาดีขึ้นรึยัง?”ซงรุ่ยปิงถามแต่เธอพอจะเดาคําตอบได้จากการที่อีกฝ่ายมาหาเธอถึงที่นี่
“ไม่เลยเขายังป่วยเหมือนเดิม”
“แย่เลยนะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ฉันขอพูดตรงๆเลยนะ”เธอพูด“ฉันได้ยินมาว่าแฟนของเสี่ยวซวีเป็นหมอที่เก่งมากอาการป่วยของผู้เฒ่าตระกูลถั่วผู้เฒ่าตระกูลหวู และเสี่ยวซวีต่างก็ได้เขาเป็นคนรักษาเธอพอจะช่วยคุยกับเขาและขอให้เขารักษาเสี่ยวรุ่ยหน่อยได้ไหม?”
นี่เป็นค่าขอร้องของอีกฝ่าย
เมื่อมีแขกมาเยือน ซงรุ่ยปิงก็รู้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มันไม่เช้าหรือสายจนเกินไปจุด
ประสงค์หลักของการมานั้นเกี่ยวข้องกับลูกเขยในอนาคตของเธอ
“ได้สิคะถ้าเขามาเมื่อไหร่ฉันจะลองคุยกับเขาให้”
“ดี ฉันจะรอฟังข่าวจากเธอนะ”เธอพูดด้วยรอยยิ้ม
หวังเย้ากับซูเสี่ยวซวีกลับมาถึงบ้านกันก่อนค่ำแต่พวกเขากลับอยากอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้
“เสี่ยวเย้า ฉันขอพูดอะไรด้วยหน่อยสิจ๊ะ”
“พูดมาได้เลยครับ คุณน้า”
ซงรุยปิงบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนกลางวันกับเขา
“เขาอายุเท่าไหร่ครับ?แล้วป่วยเป็นโรคอะไร?”
“ปีนี้เขาอายุได้ 15 ปี” ซงรุ่ยปิงพูด“เขาป่วยด้วยโรคกระดูกเปราะตั้งแต่กําเนิดมันเป็นโรคที่ทําให้เขาได้รับบาดเจ็บได้ง่ายถ้าเขาล้ม กระดูกของเขาก็อาจจะหักได้พวกเขายังเรียกคนที่ป่วยด้วยโรคนี้ว่า มนุษย์แก้ว”
“เป็นโรคนี้นี่เอง”
หวังเย้ารู้จักโรคนี้ที่เป็นโรคที่มีมาตั้งแต่กําเนิดพูดกันว่าเด็กจะเป็นตั้งแต่คลอดออกมาจากท้องแม่ในหลายๆโรคโรคที่มีมาแต่กําเนิดถือเป็นโรคที่รักษาได้ยากที่สุดเพราะต้นกําเนิดของมันอยู่ในร่างกายของผู้ป่วยเอง
“เสี่ยวเย้า ถ้าเธออยากรักษาเธอก็รักษาได้เลย”ซงรุ่ยปิงพูด“แต่ถ้าเธอไม่อยากเธอก็ไม่ต้องทํา เธอไม่จําเป็นต้องรู้สึกผิดเลย”
“ครอบครัวของพวกเขาเป็นยังไงครับ?”
ซงจุ้ยปิงนิ่งไปจากนั้นเธอก็ยิ้มและพูดว่า“ครอบครัวของพวกเขาถือว่าเป็นคนดีใช้ได้จ๊ะ”“ตระกูลเหอนั้นค่อนข้างเข้มงวด
“ได้ครับ ผมจะรักษาพรุ่งนี้ผมจะรอพวกเขาที่บ้านหลังเล็กนะครับ”
“ได้จ๊ะ เป็นอันตกลงตามนี้นะ” ซงรุ่ยปิงพูดด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาต่างก็เป็นตระกูลที่มีอํานาจถ้าพวกเขามาที่บ้านของอีกตระกูลหนึ่งนั่นก็หมายความว่าพวกเขาหมดหนทางแล้วจริงๆเธอคิดหวังว่าเธอจะช่วยพวกเขาได้ความกรุณานี้จะทําให้พวกเขาจดจําใส่ใจและตอบแทนกลับคืนมาถึงตอนนี้ตระกูลซูจะมีอํานาจ แต่ในอนาคตพวกเขาอาจจะพบเจอกับปัญหาได้ดังนั้นพวกเขาจําเป็นต้องผูกมิตรให้มากและสร้างศัตรูให้น้อย
วันต่อมา หญิงวัยกลางคนมาที่บ้านพักของหวังเย้าพร้อมกับลูกชายของเธอ
เขานั่งอยู่บนรถเข็นเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับการกระทบกระเทือนสีหน้าของเด็กชายดูไม่ดีนักปัญหาอยู่ที่แววตาของเขา มันดูไร้ชีวิตชีวาและมืดมนบางทีเขาอาจจะหมดหวังในชีวิตแล้วก็ได้
“คุณป้า”
“เสี่ยวซวี โอ้โหไม่เห็นหน้าแค่ไม่กี่ปีตอนนี้สวยขึ้นเยอะเลยนะจ๊ะ” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง
“สวัสดีครับ”
“นี่เป็นลูกชายของฉันค่ะเหอรุ่ยเสี่ยวรุ่ยทําไมไม่ทักทายทุกคนล่ะจ๊ะ?” เธอก้มลงไปตบไหล่ลูกชาย