กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 652
“มีหรือ ข้าไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย”

“ดูเหมือนเมื่อครู่นี้จะมีกลิ่นเลือดสดๆ แต่แปลกที่ตอนนี้ไม่มีแล้ว หรือว่าประสาทการรับกลิ่นของข้าจะมีปัญหา”

กู้ชูหน่วนก้มลงมองและเห็นว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ดูดเลือดตามร่างกายของพวกนางจนหมด เพราะแบบนี้เองจึงหลอกพวกเขาได้

ชายสวมหน้ากากพยายามดมกลิ่น แต่นอกจากกลิ่นเลือดที่กัดกร่อนก็ไม่มีกลิ่นเลือดสดใหม่ที่ไหนอีก ทว่าพวกเขายังมีสีหน้าเคร่งขรึมและเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“หรือว่าจะมาจากตัวของลั่วอิ่ง ทั้งหอวิญญาณทมิฬมีแค่เขาเท่านั้นมีเลือดสด”

“ลั่วอิ่งทรยศนายท่านและถูกลงโทษอยู่ในนรกขุมที่สิบแปด นรกขุมที่สิบแปดอยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก กลิ่นจะลอยมาถึงนี่ได้อย่างไร”

“หรือว่าเมื่อครู่เจ้าได้กลิ่นผิดไปเอง”

“นั่น…” ชายสวมหน้ากากไม่กล้าฟันธง

“ที่นี่คือสำนักใหญ่ของหอวิญญาณทมิฬ มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาและมีค่ายกลอยู่ทุกหนแห่ง นอกจากนี้ที่นี่ยังอยู่ห่างไกลจากผู้คน คนธรรมดาไม่มีทางหาพบแน่”

“บางทีข้าอาจจะแยกกลิ่นผิดไปเอง”

ชายสวมหน้ากากทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นจึงลากชายผู้นั้นออกไปเหมือนลากสัตว์เดียรัจฉาน ทิ้งไว้เพียงคราบเลือดและหนอนแมลงน่ารังเกียจเอาไว้ตามทาง

กู้ชูหน่วนจ้องมองเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อย่างสงสัย ไม่รู้ว่ามันหลบค่ายกลและทหารยามเหล่านั้นมาได้อย่างไร

นางพุ่งความสนใจไปที่คำพูดที่ชายสวมหน้ากากพูดถึงลั่วอิ่ง

ลั่วอิ่งถูกลงโทษอยู่ในนรกขุมที่สิบแปดงั้นหรือ

พูดอีกอย่างก็คือ ผู้ที่เป็นนายอยู่เบื้องหลังหอวิญญาณทมิฬคือชายชรายอดฝีมือระดับหกที่เพิ่งทำร้ายพวกนางจนสาหัส?

“ไปกันเถอะ”

ซั่งกวนฉู่มีสีหน้าเคร่งขรึม เขาจูงกู้ชูหน่วนให้วิ่งออกไปพลางขอให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พาพวกเขาออกไปให้เร็วที่สุด

“ฟ่อๆ…”

“ข้ายังไม่ได้กินหมูย่างเลยนะ”

กู้ชูหน่วนไม่ใช่คนไร้สมอง การที่ซั่งกวนฉู่ดูเครียดขนาดนี้ แสดงว่าที่นี่ต้องอันตรายมาก

กู้ชูหน่วนดุมัน “กินหมูย่างอะไรของเจ้า อีกเดี๋ยวเจ้าจะกลายเป็นงูย่างแน่ถ้าไม่รีบไปจากที่นี่”

“แต่ว่า…”

“นี่คือคำสั่ง”

“เป็นงูของท่านช่างน่าสงสารยิ่งนัก ไม่ได้กินไม่ได้ดื่ม ทั้งยังต้องทำงานหนักทุกวี่ทุกวัน”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์บ่นพลางกลายร่างเป็นงูยักษ์ จากนั้นจึงบรรทุกกู้ชูหน่วนกับซั่งกวนฉู่บินออกไปอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่พวกเขาออกมาจากปากถ้ำ ประตูถ้ำก็ปิดลงเสียงดังสนั่น ลูกศรอาบยาพิษจำนวนนับไม่ถ้วนถูกยิงออกมาหวังจะปลิดชีวิตพวกเขา

นอกจากลูกศรอาบยาพิษ ยังมีมือสังหารชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งไล่ตามออกมา

แต่ไม่ว่าพวกนั้นจะเร็วแค่ไหน ก็ยังเร็วสู้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไม่ได้

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ส่งเสียงฟ่อๆ อย่างหวาดกลัว

“อันตรายยิ่งนัก เกือบจะกลายเป็นงูย่างของคนอื่นเสียแล้ว”

“คนพวกนี้ระวังตัวมากจริงๆ ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับหอวิญญาณทมิฬหรือไม่” กู้ชูหน่วนหันไปถามซั่งกวนฉู่

ซั่งกวนฉู่เอ่ยเรียบๆ ว่า “องค์กรมือสังหารอันดับหนึ่งในใต้หล้า ขอเพียงมีเงิน จะให้สังหารหรือปล้นสะดมใครที่ไหนพวกนั้นทำได้หมด พวกนั้นลงมืออย่างโหดเหี้ยมป่าเถื่อน ลงมือทีหนึ่งคือฆ่าล้างตระกูล กองกำลังไม่น้อยเคยพยายามปราบปรามพวกนั้น แต่พวกเขากลับบาดเจ็บล้มตายกลับมา แม้แต่สำนักใหญ่ก็ไม่มีใครเคยหาพบ”

“นั่นก็คือ ที่พวกนั้นตามสังหารข้าก็เพราะมีคนจ่ายเงินจ้างพวกนั้นด้วยราคาสูงลิ่วงั้นหรือ” กู้ชูหน่วนพูดลูบคาง

ซั่งกวนฉู่อดยิ้มไม่ได้

จ้างด้วยราคาสูงลิ่ว?

นางประเมินค่าตัวเองต่ำเกินไปแล้ว

การที่ยอดฝีมือระดับหกลงมือด้วยตัวเองเช่นนี้ คนธรรมดาต้องจ่ายด้วยเงินมากแค่ไหนจึงจะทำได้

เกรงว่าหอวิญญาณทมิฬคงคิดจะกำจัดนางด้วยตัวเอง

เพียงแต่…

“ท่านไปทำอะไรให้หอวิญญาณทมิฬไม่พอใจงั้นหรือ”

กู้ชูหน่วนยักไหล่ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร อยู่เฉยๆ ก็ถูกตามฆ่าเสียแล้ว”

ตอนนี้ร่องรอยรั่วไหลออกไปแล้ว จะเข้าไปสืบอีกครั้งก็ทำไม่ได้

นอกจากนี้ยังไม่รู้ว่าลั่วอิ่งเป็นอย่างไรบ้าง

“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ พุ่งไปทางนั้นด้วยกำลังทั้งหมด”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เบ้ปากและกลอกตาใส่กู้ชูหน่วน

“หมูย่างก็ไม่ได้กิน เรี่ยวแรงไม่เหลือหลอแบบนี้ทุ่มกำลังทั้งหมดไม่ได้หรอก”

“แต่ที่ด้านหลังมียอดฝีมือระดับหกอย่างน้อยหนึ่งคนไล่ตามเจ้าอยู่ ถ้าอยากกลายเป็นงูย่างนัก เจ้าค่อยๆ ไปก็ได้”

“ระดับหก”

“อื้ม”

กู้ชูหน่วนประสานมือไว้หลังศีรษะราวกับกำลังชื่นชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยเปื่อย แต่ความจริงนางกำลังบันทึกภาพภูมิประเทศทั้งหมดไว้ในความทรงจำ

คำพูดประโยคนี้ค่อนข้างร้ายแรง ทันใดนั้นเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็เร่งความเร็วขึ้นเพราะรู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่กำลังตามพวกมันมาติดๆ

ใบหน้าที่งดงามปานเทพบุตรของซั่งกวนฉู่เคร่งขรึมขึ้น “ใกล้เข้ามาแล้ว ต้องเร็วยิ่งกว่านี้”

“นายท่าน ข้าเวียนหัวเสียแล้ว หาทางออกไม่เจอเลย”

“ไม่ใช่ว่าเจ้าหาทางไม่เจอ แต่ที่นี่มีค่ายกล ให้ข้าดูก่อนว่าจะทำลายอย่างไร”

ฝ่ามือของกู้ชูหน่วนเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ดวงตาที่สดใสแฝงไปด้วยความกังวลใจ ราวกับว่านางอยากจะทำลายค่ายกลให้ได้ในเวลาอันสั้นที่สุด ทว่ายังหาต้นตอไม่เจอเลยสักนิด ค่ายกลนี้ไม่ใช่ค่ายกลธรรมดา

“ข้าทำลายค่ายกลเอง ท่านถอยไปก่อน”

“ค่ายกลนี้มีบางอย่างแปลกๆ ท่านทำลายได้หรือ”

“ต้องลองดู”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซั่งกวนฉู่จึงรู้สึกคุ้นเคยกับค่ายกลนี้ ราวกับว่าค่ายกลนี้มีเงาอะไรบางอย่างที่เหมือนกับค่ายกลป้องกันภูเขาของเผ่าเพลิงฟ้า

“ได้ งั้นท่านรีบลงมือเถิด”

กลิ่นอายที่แข็งแกร่งเกือบจะกดทับพวกเขาจนหายใจไม่ออก

พวกเขาคุ้นเคยกับกลิ่นอายนี้ดี มันคือกลิ่นอายของชายชราชุดดำ ทว่านอกจากจากเขา ยังมีกลิ่นอายอีกมากที่แข็งแกร่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชายชราชุดดำผู้นั้น

เมื่อถูกไล่ตามจนทันเช่นนี้ ด้วยพลังที่มีอยู่ พวกเขาจะหนีรอดไปได้อย่างไร

ซั่งกวนฉู่นั่งอยู่บนหลังงู ไม่ว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จะโคลงเคลงขนาดไหนเขาก็ยังนั่งไม่ไหวติงราวกับหินผา

เขาพึมพำออกมาว่า “ไปทางซ้ายสิบเมตร จากนั้นตรงไปทางขวาห้าสิบเมตร เลี้ยวซ้าย หยุด จากนั้นตรงไปอีกสองร้อยเมตร”

กู้ชูหน่วนเหลือบมองเส้นผมสีดำที่พลิ้วไหวของซั่งกวนฉู่ผู้ดูบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน จากนั้นจึงคว้าขวดผงยาพิษออกมาจากวงแหวนอวกาศ ยกมือขวาขึ้นอย่างผ่าเผยและโปรยยาพิษทั้งหมดลงไป

หลังจากนั้นไม่นานจึงหยิบอาวุธลับพิเศษที่เหลืออยู่น้อยนิดออกมาแล้ววางซุ่มโจมตีไว้ในจุดที่ลับตา

ด้วยคำแนะนำของอาจารย์ซั่งกวน ในที่สุดเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็เลิกมึนงงและพุ่งหนีไปไกลหลายลี้

มีเสียงตะโกนอย่างโกรธจัดดังมาจากทางด้านหลัง ซึ่งคาดว่าพวกนั้นน่าจะถูกแผนลอบโจมตีของกู้ชูหน่วน

ในที่สุดพลังอันแข็งแกร่งก็ไม่มีอิทธิพลกับพวกนางอีกต่อไป

ทว่าสถานการณ์วิกฤติยังไม่จบลง มีกลุ่มมือสังหารโจมตีมาจากทางด้านหน้าอย่างกะทันหัน หวังจะปลิดชีวิตด้วยการโจมตีในครั้งแรก

คนเหล่านี้ไม่มีกลิ่นอายของความเป็นมนุษย์ เป็นเหมือนวิญญาณที่ตายไปแล้วและรู้จักแค่การโจมตี

ถ้าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หยุดสู้กับมือสังหารเหล่านี้ ยอดฝีมือที่อยู่ด้านหลังจะต้องตามมาฆ่าพวกเขาอย่างแน่นอน

กู้ชูหน่วนทำได้เพียงฝืนรวบรวมพลังปราณ กำดาบอ่อนไว้แน่น เตรียมพร้อมรับการสู้ที่ดุเดือด

ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงฉินอันไพเราะรื่นหูก็ดังฝ่าอากาศขึ้นมา ดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ

เสียงฉินอันใสบริสุทธิ์และน่ากริ่งเกรงทำให้จิตใจที่กลัดกลุ้มผ่อนคลายลง ทันใดแสงอรุณแห่งความหวังก็ผุดขึ้นมาในใจ

เมื่อเสียงฉินกวาดกังวาน พลังอันแข็งแกร่งก็พาดผ่านไปยังมือสังหารชุดดำและกั้นขวางพวกเขาไว้

หัวหน้ามือสังหารสองคนถูกเสียงของฉินเจาะทะลุ ร่างกายแตกสลายกลายเป็นละอองเลือดคาที่

แต๊งๆๆ

เสียงฉินพลิ้วไหวดั่งสายน้ำ ทุกท่วงทำนองงดงามไพเราะราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวของความกล้าหาญที่แสนอ่อนโยน

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้วและจ้องซั่งกวนฉู่

ซั่งกวนฉู่นั่งอยู่บนหลังงูโดยมีฉินหิมะวางอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ ดวงตาของเขาหลุบลงครึ่งหนึ่งราวกับกำลังจมดิ่งอยู่ในเสียงฉินของตนเอง นิ้วขาวเรียวทั้งสิบที่วางอยู่บนฉินหิมะบรรเลงเพลงเป็นท่วงทำนองที่งดงาม

สายลมอ่อนๆ พัดโชยเส้นผมสีดำนิลของเขาปลิวไสว ละทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง

อาภรณ์สีขาวพลิ้วไหวราวกับจะพัดพาเขาให้ลอยกลับสรวงสวรรค์ได้ทุกเมื่อ

งดงาม…

ภาพตรงหน้างดงามเกินไป โดยเฉพาะรูปลักษณ์ที่งามล้ำจนไร้ที่ติของเขา ขับให้ใบหน้าที่งดงามปานเทพบุตรตกสวรรค์ของเขายิ่งสง่างามขึ้นไปอีก

แต๊งๆๆ

นี่เป็นเพียงแค่เสียงฉิน แต่ทันทีที่ฉินถูกบรรเลง มือสังหารซึ่งมีฝีมือทรงพลังเหล่านั้นกลับแตกกระจายกลายเป็นละอองเลือดและตายอย่างอนาถคาที่

นี่คืองานเลี้ยงสังหารที่สวยงาม

และเกรงว่าจะทำให้ทุกคนตกตะลึง

ฉินหิมะ…

เสียงสังหาร…

ทันทีที่ฉินหิมะของเหวินเส่าอี๋ออกโรง สายลมและก้อนเมฆก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนทิศ สังหารผู้คนอย่างไร้ร่องรอย…

เขา…เกี่ยวข้องอย่างไรกับเหวินเส่าอี๋กันแน่