บทที่ 300.2 โลกมนุษย์น่าเบื่อหน่าย สู้ไม่มาเยือนดีกว่า

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 300.2 โลกมนุษย์น่าเบื่อหน่าย สู้ไม่มาเยือนดีกว่า ProjectZyphon

ในหอหลักของป้อมอินทรีบิน บุรุษพกแส้ปัดฝุ่นที่โดนกักขังถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มไล่กวดจนเหนื่อยล้าหมดแรง

คนสกุลหลวนของป้อมอินทรีบินต่างก็ได้เห็นวิธีการที่ตระการตาของเทพเซียนบนภูเขากับตาตัวเอง

นอกจากที่ทุกคนจะรู้สึกดีใจที่รอดชีวิตมาได้แล้ว ยังอดสิ้นหวังกับชีวิตไม่ได้ ผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพอย่างเราๆ เมื่อเผชิญหน้ากับเซียนซือบนภูเขาที่มีเวทอภินิหารยิ่งใหญ่เช่นนี้ ก็ช่างต่ำต้อยจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง

ลู่ไถไม่ได้สังเกตการณ์อยู่เฉยๆ แล้วก็ไม่ได้ให้กระบี่บินอย่างเจินเจียนและม่ายกวางที่มีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดค่อยๆ เผาผลาญพลังของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรให้ตาย แต่ดึงเอาสมบัติอาคมหลายชิ้นออกมาจากเข็มขัดหลากสีเส้นนั้น ขว้างพวกมันเข้าไปตามรอยแยกที่กระบี่บินฟันเอาไว้ แล้วลอบโจมตีพวกงูขาวที่จำแลงมาจากเส้นใยของแส้ปัดฝุ่น สำหรับผู้ฝึกตนคนนั้นแล้ว นี่ไม่ต่างจากการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ ลำเค็ญจนแทบพูดไม่ออก

ทีแรกชายร่างสูงใหญ่ก็พูดอ้อนวอน ขอร้องลู่ไถว่ามีอะไรก็คุยกันดีๆ ก่อน ขอแค่ลู่ไถยอมหยุดมือ เขาก็ยินดีจะมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ อีกทั้งยังยอมให้ลู่ไถจัดการกับจิตวิญญาณของเขา

เห็นว่าลู่ไถไม่สะทกสะท้าน บุรุษที่ในมือเหลือแค่ด้ามของแส้ปัดฝุ่นก็เริ่มข่มขู่อย่างอำมหิต บอกว่าจะทำให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของลู่ไถต้องพินาศไปพร้อมกัน จะต้องให้จิตวิญญาณของลู่ไถได้รับบาดเจ็บ ชาตินี้ไม่มีหวังว่าตบะจะพัฒนาได้อีก

ลู่ไถเอนกายพิงเก้าอี้ของฮูหยินเจ้าปราสาท มือโบกพัดพับ ไม่สนใจผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่เข้าตาจนแม้แต่น้อย ประตูใหญ่ของห้องโถงถูกเขาบังคับเปิดไว้แล้ว ดังนั้นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดด้านนอกล้วนปรากฏอยู่ในสายตา

ฟ้าดินมืดสลัว

เชื่อว่าคนหลายร้อยคนของป้อมอินทรีบินคงไม่อาจลืมภาพเหตุการณ์ในวันนี้ไปได้ชั่วชีวิต ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงให้ต่อต้านเช่นนั้นจะต้องสลักลึกลงไปถึงกระดูกของพวกเขา

และผลกระทบเช่นนี้จะดำรงอยู่ไปอย่างยาวนาน ขอแค่คนเหล่านี้รอดชีวิตไปได้ เรื่องราวที่เทพเซียนตีกันมนุษย์ธรรมดาต้องรับเคราะห์อย่างในวันนี้ก็จะต้องถูกบอกเล่าสืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน

หากเก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาลไร้ข้อห้ามไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้ เกรงว่าคงโกลาหลวุ่นวายจนวุ่นวายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

ดังนั้นถึงได้มีการปรากฏตัวของสถานศึกษาใหญ่สามแห่งและสำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งของลัทธิขงจื๊อ

ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เทพเซียนบนภูเขาใช้หมัดเดียวต่อยภูเขาและแม่น้ำพังพินาศ แค่สมบัติอาคมชิ้นเดียวก็ทุบทำลายโลกมนุษย์เละเทะได้ตามใจชอบ

ถึงอย่างไรคนบนภูเขาก็มาจากโลกมนุษย์

โลกมนุษย์ไม่มีแล้ว จะยังมีบนภูเขาอีกได้อย่างไร?

ดังนั้นจึงใช้สิ่งนี้เป็นเส้นแบ่งเขต มีความต่างระหว่างธรรมะและอธรรม มีความต่างระหว่างความดีและความชั่ว

มีผู้ฝึกลมปราณบางคนที่แสวงหาอิสระเสรีบนมหามรรคาแห่งความเป็นอมตะของข้า ในเมื่อยืนอยู่บนภูเขาแล้ว ยังจะสนใจอีกหรือว่าโลกมนุษย์ของเจ้าจะเป็นหรือตาย

ผู้ฝึกลมปราณบางคน หากไม่จิตใจสงบไร้ความปรารถนา ไม่สนใจเรื่องบนโลกมนุษย์ ก็รักษากฎเกณฑ์ ยินดีทำเพื่อความสงบสุขของใต้หล้า ไม่แสวงหาไขว่คว้าอิสระเสรีที่แท้จริง ตัวเองจึงไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายนัก

บนโลกมนุษย์มีผู้คนสารพัดรูปแบบ ต่างคนต่างก็มีความต้องการเป็นของตัวเอง ใช่ไม่ใช่ ผิดหรือถูก ผสมรวมกันเหมือนก้อนแป้งเปียก

เพราะมีคนมากมายเหลือเกินที่พูดเหตุผลให้คนอื่นฟังอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้ใช้มันมาพันธนาการจิตใจดั้งเดิมของตน

ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนเป็นเช่นนี้

ลู่ไถคือลูกหลานสกุลลู่สำนักหยินหยาง จึงเข้าใจสันดานมนุษย์เป็นอย่างดี

อีกอย่างไม่ว่าจะเป็นชาติกำเนิดหรือตัวเขาเองต่างก็พิเศษมาก เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับสามารถฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มออกมาได้ง่ายๆ ถึงขั้นที่ว่าตอนยังเด็กไปเล่นสนุกอยู่ในศาลบรรพชนตระกูล แต่กลับได้เข็มขัดหลากสีที่ประหลาดเส้นนั้นมา

การดำรงอยู่ของลู่ไถในสกุลลู่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีความหมายในทำนองของสิ่งต้องห้าม สำหรับบรรพบุรุษสกุลลู่ที่พูดน้อยและแก่ชรามากแล้วท่านนั้น เด็กรุ่นหลังคนนี้ทำให้คน ‘อึดอัดใจ’ เกินไป แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้คนตกตะลึงได้มากกว่าเป็นเท่าตัว ราวกับว่าเกิดมาสอดคล้องกับมรรคา แทบไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ ดังนั้นท่าทีที่คนสกุลลู่ตระกูลใหญ่โตมีต่อลู่ไถจึงคลุมเครือไม่ชัดเจนมาโดยตลอด

อริยะปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า ‘ผู้นำรู้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์ราวกับมีสัญชาติญาณของพยัคฆ์ ชนชั้นสามัญปรับเปลี่ยนเพียงพฤติกรรมอันผิวเผิน ปราชญ์รู้จักเปลี่ยนแปลงอย่างมีลำดับขั้นตอนเช่นเดียวกับพัฒนาการของเสือดาว’

เรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสานี้ของลู่ไถ เดิมทีก็เป็นเหมือนสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเทียบกับเปลือกนอกที่ถูกลอกคราบทิ้งไว้ซึ่งเด็กหนุ่มชุยฉาน ‘ลูกศิษย์’ ของเฉินผิงอันคนนั้นไปช่วงชิงมา ก็มีแต่จะมหัศจรรย์จนไม่อาจบรรยายได้ยิ่งกว่า

ลู่ไถสังเกตมองทะเลเมฆที่อยู่นอกหอหลักเพราะกำลังมองหาโอกาสที่ดีที่สุดในการลงมือ

ภาพเหตุการณ์ในหอหลักแห่งนี้ถูกอำพรางไว้นานแล้ว บุรุษถือแส้ปัดฝุ่นคิดจะส่งข้อความออกไปก็ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์

ฮูหยินเจ้าปราสาทเอ่ยขึ้นว่า “เซียนซือ ข้าคิดได้แล้ว”

ลู่ไถก้มหน้าลงมองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “คิดได้ว่าไง?”

ใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้วเศร้าอาดูร แต่กลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว นางยื่นมือไปกุมหัวใจ ถามว่า “เขาจะมีชีวิตรอดไหม?”

แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่ความผิดปกติในหัวใจเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว นางไม่ใช่คนปัญญาอ่อน เมื่อนำมาเชื่อมโยงเข้ากับหายนะที่มาเยือนป้อมอินทรีบิน รวมไปถึงบทสนทนาระหว่างบุรุษถือแส้และลู่ไถ ย่อมพอจะเดาออกเจ็ดแปดส่วน

ลู่ไถส่ายหน้า “เจ้าเด็กนี่เกิดมาก็ผิดต่อหลักมหามรรคา นิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต กระหายเลือด ต่อให้เจ้าตาย มันมีชีวิตอยู่ วันหน้าก็ยังเป็นภัยร้ายต่อผู้คนอยู่ดี ถึงเวลานั้นป้อมอินทรีบินเล็กๆ แห่งนี้จะไม่มีแม้แต่คุณสมบัติให้ตายไปพร้อมกับมันด้วยซ้ำ แต่คนที่ตายอาจเป็นทั้งแคว้นเฉินเซียง…”

สตรีแต่งงานแล้วหลั่งน้ำตาอย่างน่าสงสาร “แต่ข้าอยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของเขา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเหมือนบุตรของข้า…”

ลู่ไถทั้งไม่ได้รู้สึกซาบซึ้ง แล้วก็ไม่ได้รู้สึกดูแคลน เขาเพียงคลี่ยิ้มอย่างเฉยชา ช่วยอธิบายความจริงให้กับสตรีที่น่าสงสารผู้นี้ฟังว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าตัวน้อยมีสติปัญญาเป็นของตัวเองแล้ว มันถึงได้จงใจถ่ายทอดความรู้สึกจอมปลอมมาให้เจ้า มันยังถึงขั้นอาศัยสัญชาตญาณแอบสร้างอิทธิพลต่อความคิดและจิตใจของเจ้าของร่างอย่างเจ้า ไม่อย่างนั้นเหตุใดทั้งๆ ที่เจ้ารู้ดีถึงความผิดปกติของร่างกายตัวเอง แต่ไม่ยอมเล่าเรื่องนี้ให้สามีของตัวเองฟัง?”

สตรีแต่งงานแล้วใช้มือข้างหนึ่งขยุ้มหัวใจตัวเองอย่างแรง มือหนึ่งรีบยกขึ้นปิดปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ได้แต่ส่ายหน้าให้ลู่ไถ

สตรีแต่งงานแล้วทนรับความรู้สึกเจ็บปวดราวหัวใจถูกเค้นเอาไว้ ใช้สายตาที่เปี่ยมไปด้วยแวววิงวอนมองลู่ไถ

ลู่ไถถอนหายใจหนึ่งที “เจ้าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร? หรือเจ้ายอมสละหลายร้อยชีวิตในป้อมอินทรีบินได้จริงๆ? เจ้าลองนึกถึงสามีหลวนหยาง บุตรชายบุตรสาวอย่างหลวนฉางหลวนซู แล้วก็ป้อมอินทรีบินแห่งนี้ที่ให้กำเนิดเจ้าเลี้ยงดูเจ้า เจ้าจะไม่สนใจจริงๆ รึ? เพียงแค่เพื่อสิ่งสกปรกที่ยังไม่ทันถือกำเนิดก็ยืนอยู่ฝ่ายลัทธิมารนอกรีตแล้วน่ะหรือ?”

สตรีแต่งงานแล้วเอาแต่ส่ายหน้าน้ำตาคลอ พอวางมือลง เลือดที่อั้นอยู่เต็มปากก็ทะลักออกมาทันที ล้วนเป็นสีดำสนิท มองดูแล้วน่ากลัวอย่างถึงที่สุด สตรีแต่งงานแล้วไม่สนหน้าตาของเจ้าบ้านฝ่ายหญิงอะไรทั้งนั้น สติของนางเลือนหาย สายตาเลื่อนลอย เปิดปากขอร้องลู่ไถว่า “ให้เขามีชีวิตอยู่ต่อเถอะ ขอร้องเซียนซือล่ะ เขาทำผิดอะไร? ตอนนี้เขาก็แค่ฆ่ามารดาแท้ๆ ตายไปคนเดียวเท่านั้น ข้าไม่โทษเขา ไม่โทษเขาเลยสักนิดเดียว หลังจากนี้เซียนซือสามารถสั่งสอนเขาได้ ชี้นำเขาไปในทางที่ดี อย่าให้เขาเดินทางผิด เซียนซือมีวิชาอภินิหารค้ำฟ้า ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ต้องทำได้แน่นอน ลูกของข้าคนนี้ต้องเป็นคนดีได้แน่…”

สตรีแต่งงานแล้วเหมือนแผ่นกระเบื้องที่เต็มไปด้วยรูโหว่นับร้อยนับพัน เมื่อหัวใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ในที่สุดทานทนไม่ไหวก็แหลกสลาย

แต่นางกลับจับจ้องดวงหน้าของลู่ไถอยู่ตลอดเวลา

ลู่ไถยิ้มบางๆ พยักหน้ารับ “ก็ได้ มันสามารถมีชีวิตอยู่ต่อ”

เมื่อได้ฟังคำตอบนี้ มุมปากของสตรีแต่งงานแล้วก็กระตุก หลับตาลงช้าๆ เลือดสดสีดำน่าสยดสยองยังคงหลั่งใหลลงมาจากกรอบดวงตาของนาง ที่แท้ดวงตาของนางก็ปริแตกไปแล้ว ลูกตาสองลูกกลิ้งตกลงมาเบื้องหน้า จากนั้นก็กลิ้งจากเสื้อผ้าลงมาบนพื้น กลิ้งหลุนๆ ไปอยู่ด้านหลังของเก้าอี้

ในห้องโถงใหญ่เงียบสนิท ไม่มีใครกล้าส่งเสียง มีเพียงหลวนหยางเจ้าปราสาทที่ถูกผนึกความรู้สึกทั้งห้า ถูกพันธนาการอยู่บนเก้าอี้ที่ดวงตาแดงก่ำ แค้นเคืองคนที่นอนเคียงหมอนอย่างถึงที่สุด

เหตุใดนางถึงได้เห็นแก่ตัวขนาดนี้!

นางต้องถูกผีลวงใจ ถูกมารเข้าสิงอย่างแน่นอน!

นางสมควรตายแล้ว สมควรตายไปพร้อมกับเจ้าเศษสวะ ตัวประหลาดที่ถือกำเนิดในหัวใจนางตัวนั้นนั่นแหละ!

ลู่ไถเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าสตรีที่ตายไปแล้ว ก้มตัวลงจ้องมองตรงหัวใจที่มีเลือดสดหลั่งทะลักออกมาแล้วพึมพำว่า “มารดาของเจ้าทุ่มเทเพื่อเจ้ามากขนาดนี้ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนมอบให้เจ้าได้หมด แม้แต่มโนธรรมในความเป็นคนก็ยังไม่ต้องการ แล้วเจ้าล่ะ? เหตุใดถึงยังดูดดึงเอาปราณวิญญาณและจิตวิญญาณในร่างของนางไปอย่างบ้าคลั่ง ตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ทรมานนางมามากพอแล้ว ตอนนี้นางตายไปแล้ว เจ้าจะให้นางจากไปอย่างสงบสักชั่วครู่ไม่ได้เลยหรือ?”

หัวใจที่ขยับขึ้นลงไม่หยุดนิ่งของสตรีแต่งงานแล้วพลันหยุดชะงัก จากนั้นก็เหมือนมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญที่แผ่วเบาอย่างถึงที่สุดส่งมายังโลกมนุษย์ ดั่งเสียงของทารกทุกคนที่ดังขึ้นเมื่อมาเยือนโลกใบนี้

“สายไปแล้ว”

พัดไม้ไผ่ในมือของลู่ไถพลันแทงทะลุหัวใจของสตรีที่แต่งงานแล้วไปปักตรึงอยู่กับพนักเก้าอี้ เขาพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “โลกมนุษย์น่าเบื่อ สู้ไม่มาเยือนเสียยังดีกว่า”

เสียงหวีดแหลมบาดแก้วหูพลันดังก้องไปทั้งห้องโถง แสงเทียนทั้งหมดดับลง เสาใหญ่หลายต้นส่งเสียงปริแตกไปในเวลาเดียวกัน

จิตใจของทุกคนก็แทบจะปริร้าวตามไปด้วย

มีเพียงหลวนหยางที่รู้สึกโล่งอก แต่หลังจากนั้นก็ใจหาย สายตาว่างเปล่าเหม่อมองไปยังเก้าอี้ที่อยู่ข้างกัน

สตรีผู้อ่อนหวานที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กตายได้อัปลักษณ์ยิ่ง

บุรุษผู้นี้ไม่รู้ตัวเลยว่า เขาที่ในใจแค้นเคืองยากสงบ แท้จริงแล้วน้ำตากลับอาบหน้าอยู่นานแล้ว

—–