บทที่ 301.1 ยุทธภพชั่วร้าย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 301.1 ยุทธภพชั่วร้าย ProjectZyphon

กว่าที่ทุกคนจะบุกสังหารเปิดทางเลือดผ่านมาถึงนอกศาลบรรพชนสกุลหลวนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากที่ผู้เฒ่ามอซอร่ายเวทลับที่ได้รับการสืบทอดมาจากอดีตเจ้าประมุขของป้อมอินทรีบินใส่ถ้วยสองใบที่บรรจุเลือดสดของลูกหลานสกุลหลวนเอาไว้ ผู้เฒ่าก็รออยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับต้องทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น พึมพำอย่างตื่นตระหนก “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ไม่ควรเป็นอย่างนี้สิ…”

สองพี่น้องสกุลหลวนที่ทั่วร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีหน้าซีดขาว  นักพรตหนุ่มพูดปากสั่น “ไม่รู้ว่าภูตผีปีศาจพวกนั้นใช้วิธีชั่วร้ายอะไร ถึงเผาผลาญปราณวิญญาณที่อยู่ในสิงโตหินสองตนจนหมดสิ้นไปนานแล้ว”

ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองทะเลเมฆทางสนามฝึกยุทธ์ ขุนเขาลดตัวลงต่ำ พายุหมัดพัดตะลุยรับศัตรู เหนือทะเลเมฆยิ่งมีปราณกระบี่ตัดสลับวนเวียน

ผู้เฒ่าพลันบังเกิดความหวังอันเลือนรางเสี้ยวหนึ่ง ดิ้นรนลุกขึ้นยืน พูดกับหนุ่มสาวทั้งสี่คนว่า “พวกเจ้าสี่คนรีบออกไปจากป้อมอินทรีบินซะ ก่อนหน้านี้เป็นพวกเจ้าที่ช่วยคุ้มกันข้ามาตลอดทาง ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะช่วยคุ้มกันพวกเจ้าไปส่งบ้างแล้ว พวกเจ้าจงคิดซะว่านี่เป็นการจากไปเพื่อเหลือสายเลือดของป้อมอินทรีบินเอาไว้ ไม่ต้องลังเลแล้ว รีบไปจากที่นี่ ไปไกลเท่าไหร่ยิ่งดี วันหน้าก็ไม่ต้องคิดจะแก้แค้น!”

เถาเสียหยางไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นยืน เขาเงยหน้ามองสตรีสกุลหลวนที่ตัวเองปักใจรักมาเนิ่นนาน พูดด้วยเสียงแหบแห้ง “หลวนซู เจ้าไปกับหลวนฉางเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่ ขึ้นเหนือล่องใต้ท่องไปทั่วยุทธภพมานานหลายปี รู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ วันนี้ข้าไม่ไปไหนแล้วล่ะ”

นักพรตหนุ่มกำลังจะเปิดปากพูด เถาเสียหยางกลับส่ายหน้าให้เขา “หวงซ่าง ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าหรอก ข้าตัดสินใจดีแล้ว!”

นักพรตเฒ่าถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วพาลูกศิษย์กับสองพี่น้องสกุลหลวนบุกฆ่าไปตลอดทาง มุ่งหน้าสู่ประตูทิศเหนือของป้อมอินทรีบิน

เถาเสียหยางนั่งขัดสมาธิ หันหน้าเข้าหาประตูใหญ่ของศาลบรรพชน เริ่มใช้ชายแขนเสื้อเช็ดดาบยาว

หวงซ่างวิ่งตะบึงไปเบื้องหน้าพร้อมกับพวกอาจารย์ สายตาของเขาพร่าเลือน ไม่กล้าหันหลังกลับไปมองผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มคนนั้นแม้แต่ครั้งเดียว

หลวนซูพลันหันหน้ากลับไปมองแผ่นหลังที่สิ้นหวังของบุรุษที่ตัวเองคุ้นเคยดี ในใจเกิดความเวทนาสงสาร คำพูดนับพันนับหมื่นขึ้นมารออยู่ที่ปาก แต่สุดท้ายกลับสลายไปดั่งหมอกควัน

ระหว่างความเป็นความตาย นิสัยแท้จริงของคนมักจะเปิดเผยให้เห็นได้ดีที่สุด

หญิงสาวถูกพี่ชายกระชากให้วิ่งไปด้วยกัน ไม่มัวหยุดยืนเฉยอยู่อีก

เถาเสียหยางก้มหน้าลงจ้องมองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนจากคมมีดแวววาว แล้วกระตุกมุมปาก ก็ยังไม่ชอบอยู่ดีสินะ

……

วินาทีที่ทารกผีถูกพัดไม้ไผ่ของลู่ไถแทงทะลุหัวใจตาย เสียงร้องโหยหวนก็ดังออกไปจากห้องโถงหลัก เหนือทะเลเมฆสีดำนอกหอเรือน ผู้เฒ่ากวานสูงไม่มัวมาสนใจการบินโจมตีฉวัดเฉวียนอย่างกำเริบเสิบสานจากกระบี่บินสองเล่มอีกต่อไป เขาเผยตัวอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ไม่น่ามองถึงขีดสุด โมโหจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แม้แต่กวานสูงเหนือศีรษะก็ยังสั่นคลอนตามไปด้วย ทะเลเมฆที่เกือบจะกลบทับหลังคาสูงก็ยิ่งซัดตลบอบอวลเหมือนน้ำเดือดพล่าน

ผู้เฒ่าหันไปคำรามใส่หอหลักอย่างเดือดดาล “เศษสวะ เศษสวะ! จะเก็บเจ้าไว้ทำซากอะไร?!”

ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไปแล้วพลันบีบแน่น

บุรุษถือแส้ที่กำลังรับมือกับกระบี่บินสองเล่มอย่างยากลำบากอยู่ในห้องโถงใหญ่ ช่วงแรกเริ่มที่ฝากตัวเป็นศิษย์ เขาก็ถูกผู้เฒ่าใช้เวทลับของสำนักควบคุมไว้แล้ว เวลานี้อยู่ดีๆ หัวใจของบุรุษก็ระเบิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นจิตวิญญาณของเขาก็แหลกสลายในเสี้ยววินาที กระดูกและเนื้อแยกออกจากกัน เลือดสดก็ยิ่งถูกดูดดึงไปจนเกลี้ยง กลายมาเป็นลูกกลมสีแดงสดขนาดใหญ่ลูกหนึ่งที่พุ่งชนไปรอบด้านโดยไม่สนใจสิ่งใด การระเบิดแตกของมหาสมุทรลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งทำให้ยันต์ของลู่ไถที่เข้ายึดครองพื้นที่ระเบิดแตก สั่นสะเทือนราวกับจะร่วงกราวลงมา รอจนเลือดสดพุ่งออกไปด้านนอกก็เหมือนสกุณากลับคืนรังที่พยายามจะบินไปหาผู้เฒ่าบนทะเลเมฆด้านนอก

ลู่ไถขมวดคิ้ว เก็บเจินเจียนและม่ายกวางกลับมาเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เปรอะเปื้อนเลือดที่สกปรกเหล่านั้น เพราะหากโดนพวกมันขึ้นมา ถึงเวลานั้นย่อมไม่ได้ง่ายดายแค่เผาผลาญวัตถุดิบวิเศษอย่างเดียวเท่านั้น เขาไม่กรอกปราณวิญญาณใส่ยันต์เหล่านั้นอีก ดังนั้นเลือดสดจึงเหมือนแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลยาวจากห้องโถงใหญ่ไปยังผู้เฒ่ากวานสูงที่อยู่บนทะเลเมฆ ไหลกรูกันเข้าหาฝ่ามือของผู้เฒ่า

ผู้เฒ่าเหมือนคนหิวกระหายที่กินอิ่มหนำไปหนึ่งมื้อ ดวงตาทั้งคู่สาดประกายสีเลือด สะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง ลมปราณสีแดงฉานสองขุมก็พรั่งพรูออกจากชายแขนเสื้อใหญ่ ทันใดนั้นลมพายุก็พัดกระพือฮือโหมจนชูอีสืออู่สองกระบี่บินปลิวล่องลอยอยู่ในทะเลเมฆ

ผู้เฒ่ากวานสูงสีหน้าดุร้าย ก้มหน้าลงมองขุนเขากลางที่ยังไม่สัมผัสพื้นแล้วคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล “ดิ้นรนก่อนตาย! เดิมทีนึกว่าเมื่อผีร้ายเพิ่งถือกำเนิด ย่อมไม่มีความอยากอาหาร จึงคิดจะใช้ขุนเขากดทับร่างเจ้า ค่อยๆ คั้นแก่นเลือดออกมาทีละนิด ในเมื่อตอนนี้เจ้าทำให้การใหญ่ของข้าผู้อาวุโสพังพินาศไปหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าผู้อาวุโสก็จะไม่มัวพิถีพิถันอยู่อีก! ไปตายซะ!”

ลู่ไถมายืนอยู่บนดาดฟ้าของหอหลักป้อมอินทรีบินแล้ว เขาควบคุมกระบี่บินสองเล่มให้พุ่งเข้าหาผู้เฒ่าที่อยู่บนทะเลเมฆ หัวเราะเสียงดังอย่าสาสมใจ “เจ้าโจรเฒ่า! ภูเขาไท่ผิง *(*ขออนุญาตเปลี่ยนจากไท่ผิงซานเป็นภูเขาไท่ผิง)*ของข้ารอวันนี้มานานมากแล้ว!”

สีหน้าของผู้เฒ่าแข็งค้าง แต่แล้วก็หัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง “ต่อให้วันนี้ข้าผู้อาวุโสต้องมาตายอยู่ที่นี่ ก็จะต้องให้ผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์ของภูเขาไท่ผิงอย่างพวกเจ้าสองคนตายตกไปตามกันให้จงได้!”

มือข้างหนึ่งของผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อไม่หยุด พยายามขัดขวางการลอบสังหารจากกระบี่บินสี่เล่มอย่างชูอีสืออู่ ส่วนอีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดต่อยลงไปด้านล่างสุดแรง “ไอ้เด็กเปรต จะตายหรือไม่ตาย?!”

สีหน้าของลู่ไถเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดในใจหนึ่งคำว่า “ไป” เข็มขัดหลากสีเส้นหนึ่งบินจากดาดฟ้า ร่วมมือกับเชือกพันธนาการปีศาจที่เป็นดั่งเจียวหลงสีทองรัดพันภูเขา พากันกระชากขุนเขากลางขึ้นไป จะปล่อยให้มันรวมกับขุนเขาอีกสี่ลูกที่ลงหลักปักฐานอยู่บนพื้นดินแล้วไม่ได้เด็ดขาด ถึงเวลานั้นหากห้าขุนเขารวมกันเป็นค่ายกลใหญ่ อย่าว่าแต่เฉินผิงอันคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่เลย ต่อให้เป็นร่างกายและจิตวิญญาณของขอบเขตหก เกรงว่าก็คงถูกบดขยี้กลายเป็นก้อนเนื้อเละๆ ทั้งเป็นเช่นกัน

ลู่ไถตวาดกร้าวอย่างเดือดดาล “จงขึ้นให้ข้า!”

ภูเขาเริ่มขยับขึ้นไปหลายฉื่อ

“ใครบ้างที่สู้สุดชีวิตไม่เป็น?!” ผู้เฒ่ากวานสูงคนนั้นไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มีชื่อเสียงความดุร้ายเลื่องลือ เขาลุกขึ้นยืนพลางหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน หลังเก็บเบาะนั่งใบนั้นไปแล้ว ร่างกายครึ่งร่างก็แห้งเหี่ยวเหมือนไม้เฉาทันที อีกทั้งยังกลายเป็นเถ้าธุลีที่ลอยกระจายหายไปอย่างต่อเนื่อง ผู้เฒ่ายังคงไม่สนใจใยดี เขาพุ่งตัวไปยังขุนเขากลาง พอสองเท้าสัมผัสกับยอดเขาก็กระแทกร่างกดทับลงไป ทำให้ยอดเขาที่ถูกเข็มขัดห้าสีและเชือกพันธนาการปีศาจรั้งตัวไว้สัมผัสกับพื้นได้สำเร็จ!

เมื่อขุนเขากลางร่วงลงบนพื้น ตลอดทั้งป้อมอินทรีบินก็สั่นสะเทือนไม่หยุด เป็นเหตุให้เทือกเขานอกป้อมเริ่มแตกร้าว

เชือกพันธนาการปีศาจสีทองก็เลื่อนไถลลงไปเบื้องล่างอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ผู้เฒ่ากวานสูงหัวเราะฮ่าๆ แค่ยื่นมือไปคว้า เชือกพันธนาการปีศาจก็เข้ามาอยู่ในมือ

หลังจากที่ขุนเขาทั้งห้ารวมตัวกัน ค่ายกลใหญ่ก็ถูกจัดวางสำเร็จ ลู่ไถที่อยู่บนดาดฟ้ากระอักเลือดหนึ่งครั้ง เซถลาไปด้านหน้าหลายก้าว ก่อนจะลนลานคว้าจับราวระเบียงไว้ด้วยนิ้วมือที่สั่นระริก เปิดปากอย่างยากลำบาก “กลับมา…”

เข็มขัดห้าสีที่เดิมทีพันธนาการขุนเขากลางหมดประกายแสงเจิดจ้าอันงดงาม เริ่มกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมแล้วพุ่งตัวไปทางหอหลัก ดวงตาของผู้เฒ่าเป็นประกายจ้า ยื่นมือออกไปอีกครั้ง กระชากเข็มขัดเข้ามาอยู่ในมือ เพิ่งจะได้เชือกพันธนาการปีศาจมา คราวนี้ยังมาได้เข็มขัดห้าสีที่แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องเป็นสมบัติอาคมอย่างแน่นอนอีก สวรรค์ไม่เคยไร้ทางให้คนเดินจริงๆ  แม้ว่าครั้งนี้จะยังขาดทุนอย่างหนัก แต่จะดีจะชั่วก็ไม่ถึงขั้นขาดทุนย่อยยับ

ผู้เฒ่ากลับไปนั่งขัดสมาธิดังเดิม เบาะรองนั่งปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า เมื่อผ่านศึกครั้งนี้ ปราณวิญญาณในกวานสูงห้าขุนเขาบนศีรษะจึงเบาบางเต็มที

ตรงทะเลเมฆเหนือศีรษะมีเพียงกระบี่สองเล่มหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กของผู้ฝึกกระบี่บนหอหลักที่ยังพยายามดิ้นรน ส่วนกระบี่จิ๋วสองเล่มก่อนหน้านี้ อันที่จริงผู้เฒ่ากวานสูงคอยจับสังเกตอย่างลับๆ อยู่ตลอดเวลา หลังจากที่ขุนเขากลางกดทับเด็กหนุ่มชุดทองคนนั้นได้สำเร็จ กระบี่บินก็ร่วงดิ่งลงไปบนพื้นในตรอกสองแห่งที่ห่างออกไป น่าจะสูญสลายไปแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก

แค้นใหญ่ในวันนี้ได้ชำระ ผู้เฒ่าสะใจไม่น้อย ข้อแรกเขาไม่จำเป็นต้องควบคุมค่ายกลใหญ่ที่เป็นรูปห้าขุนเขาอีกต่อไป สองคือต้องรีบไปเอาชุดคลุมอาคมสีทองบนศพของเด็กหนุ่มมา จากนั้นก็รีบหนีไปจากป้อมอินทรีบิน จะได้ไม่ต้องถูกพวกตะพาบเฒ่าจากสำนักฝูจีหรือภูเขาไท่ผิงมาดักสังหารกลางทาง ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นดั่งสุนัขไร้บ้านเหมือนอย่างในปีนั้นอีก

เรื่องมาถึงขั้นนี้ แต่ก็ยังไม่มีบุรพาจารย์ขอบเขตโอสถทองหรือก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงลงมือ ดูท่าเด็กเปรตสองคนที่หนึ่งตายหนึ่งบาดเจ็บนี้คงประมาทเกินไป ถึงได้มอบโอกาสให้ตนจากไปอย่างปลอดภัย แต่เด็กหนุ่มสองคนนี้ต้องเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดระดับต้นๆ ของภูเขาไท่ผิงแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจเป็นลูกศิษย์ผู้ภาคภูมิใจของเจ้าขุนเขา ถึงได้กล้าเอาสมบัติอาคมที่มีอยู่เต็มตัวออกมาโอ้อวดผู้คนเช่นนี้

หากไม่เป็นเพราะตนกับภูเขาไท่ผิงผูกปมแค้นที่ไม่ตายก็ไม่ยอมเลิกราไว้นานแล้ว เกรงว่าป่านนี้ตนคงต้องหลบลี้หนีให้ห่างอีกฝ่ายไปแล้ว

ผู้เฒ่ากวานสูงท่องคาถา ‘เก็บภูเขา’ เงียบๆ ขุนเขาทั้งห้าก็พลันทะยานขึ้นสูงทันที ก่อนจะลดขนาดลงเรื่อยๆ สุดท้ายหวนกลับเข้าไปในกวานสูงห้าขุนเขาอีกครั้ง

ผู้เฒ่าด้านหนึ่งโบกชายแขนเสื้อควบคุมทะเลเมฆขัดขวางกระบี่บินสองเล่มของลู่ไถอย่างเจินเจียนและม่ายกวาง

อีกด้านหนึ่งก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะ หัวเราะพลางลดตัวลงต่ำไปยังสนามฝึกยุทธ์

บนพื้นมีแสงสีทองสว่างจ้าอยู่กลุ่มหนึ่ง คล้ายชุดสีทองตัวหนึ่งที่ตากอยู่บนราวไม้ไผ่แล้วไม่ทันระวังร่วงหล่นลงมาปูแผ่อยู่บนพื้น

ทั้งที่สมบัติอาคมอยู่ตรงหน้า แค่เอื้อมมือไปคว้าก็ถึง แต่ผู้เฒ่ากวานสูงกลับหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง มือทั้งคู่ตบเข้าหากันกลางอากาศ ทั้งคนและเบาะรองนั่งต่างก็ลอยพรวดขึ้นด้านบน ผ่านการต่อสู้มาพักใหญ่ รวมไปถึงปราณวิญญาณของตัวผู้เฒ่าเองก็ถดถอยลดน้อยไป ทะเลเมฆสีดำที่เหลือไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสิบจึงไหลกรูเข้าหาผู้เฒ่าอย่างรวดเร็ว

แสงสีทองกลุ่มนั้นที่อยู่บนพื้นสนามประลองยุทธ์กระโดดผลุงขึ้นมาจากหลุมใหญ่ใต้ดินที่พอให้คนคนหนึ่งนอน เสียงตะโกนดังขึ้น “ลู่ไถ ขอข้ายืมใช้เจินเจียนหน่อย!”

ลู่ไถไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแม้แต่นิด ดวงจิตขยับเพียงเล็กน้อย เจินเจียนกระบี่บินเล่มยักษ์ก็มาปรากฎอยู่ใต้เท้าของเฉินผิงอัน

ก่อนหน้านี้นับตั้งแต่ที่ชูอีสืออู่ ‘ร่วงลงพื้น’ อันที่จริงลู่ไถก็ค้นพบเบาะแสแล้ว เฉินผิงอันเคยบอกว่า พวกมันคือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต แต่กลับไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน ดังนั้นหากเฉินผิงอันตายจริงๆ ชูอีกับสืออู่มีแต่จะยิ่งทุ่มสุดชีวิตสังหารศัตรู มีเพียงเฉินผิงอันแกล้งตายเท่านั้นถึงจะจงใจให้กระบี่บินสองเล่มร่วมแสดงละคร

หลังจากนั้นเชือกพันธนาการปีศาจก็ ‘แกล้งตาย’ เช่นกัน ลู่ไถต้องอดทนอย่างยากลำบากถึงจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้

วาดกระบวยตามรูปน้ำเต้า (อุปมาว่า ลอกแบบ/เลียนแบบ) ลู่ไถที่ความคิดดีๆ พลันบังเกิดจึงจงใจปล่อยให้เข็มขัดหลุดจากการควบคุม ปล่อยให้ผู้เฒ่ากวานสูงดึงเอาไป

ผู้เฒ่าหนีไปอย่างว่องไว แต่ชูอีกับสืออู่ที่แอบซ่อนตัวอยู่บริเวณใกล้เคียงมานานแล้วกลับเร็วยิ่งกว่า

หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา พวกมันแทงทะลุเบาะนั่งไปในเสี้ยววินาที เป็นเหตุให้ความเร็วในการเผ่นหนีของผู้เฒ่ากวานสูงติดขัดเล็กน้อย

อีกทั้งยังมีม่ายกวางกระบี่บินของลู่ไถมาขัดขวางอยู่กลางอากาศสูง

ที่สำคัญที่สุดคือเข็มขัดห้าสีของลู่ไถและเชือกพันธนาการปีศาจของเฉินผิงอันต่างก็มีชีวิตกลับคืนมา พวกมันพร้อมใจกันรัดพันแขนของผู้เฒ่ากวานสูง เหมือนมีงูหลามสองตัวรัดพันกายผู้เฒ่า

ส่วนเฉินผิงอันก็เหยียบอยู่บนกระบี่บินเจินเจียน บินทะยานไล่กวดผู้เฒ่ากวานสูงและทะเลเมฆไป

ขี่กระบี่บินเดินทางไกล!

แม้ว่าตอนที่ถูกขุนเขากดกำราบจะอาศัยเข็มขัดของลู่ไถถ่วงเวลาไว้ได้ บวกกับที่ตัวเฉินผิงอันเองได้เล็งหาหลุมที่ใหญ่ที่สุดไว้แล้ว ก่อนจะออกหมัด เขากระทืบเท้าให้พื้นดินปริแตกเพื่อสร้างหลุมใหญ่พอให้นอนได้ชั่วคราว หลบพ้นจุดจบที่ร่างเละกระดูกแหลกสลายมาได้ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกปราณยิ่งใหญ่ไพศาลของค่ายกลห้าขุนเขากดทับลงมาจังๆ หน้า เฉินผิงอันที่เหมือนนอนอยู่ในโลงปิดตายก็ไม่ได้รู้สึกดีสักนิดเลย ตอนนี้กระดูกซี่โครงของเขาหักไปหลายท่อน หากไม่เคยชินกับความทรมานมาตั้งแต่ตอนอยู่บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วแล้วล่ะก็ เวลานี้คงได้แต่มองผู้เฒ่ากวานสูงเผ่นหนีไปคาตาเท่านั้น

ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันจะเหยียบกระบี่ ‘บินทะยาน’ ก็ได้ใช้วิชาควบคุมกระบี่ของอาจารย์กระบี่เรียก ‘ชือซิน’ กระบี่ยาวที่ก่อนหน้านี้โยนไว้ด้านข้างมาไว้ในมือ

มีเข็มขัดหลากสีและเชือกพันธนาการปีศาจพันธนาการสองแขนของผู้เฒ่า อีกทั้งวัตถุสองชนิดนี้ยังสามารถแหวกการอำพรางของทะเลเมฆ ชักนำให้กระบี่บินสามเล่มทิ่มแทงเบาะรองนั่งได้อย่างแม่นยำ

นี่เป็นเหตุให้เฉินผิงอันที่แม้จะเพิ่งควบคุมกระบี่ครั้งแรกก็ยังสามารถไล่ตามผู้เฒ่าได้ทัน ครั้นจึงเงื้อกระบี่ฟันใส่ท้ายทอยของอีกฝ่าย

—–