บทที่ 301.2 ยุทธภพชั่วร้าย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 301.2 ยุทธภพชั่วร้าย ProjectZyphon

ผู้เฒ่าต้องทุ่มสุดชีวิตแก่ๆ หอบเอาทะเลเมฆพุ่งฉิวไปด้านหน้าถึงจะหลบกระบี่นั้นมาได้อย่างยากลำบาก ทว่าปราณกระบี่ที่เอ่อล้นออกมาก็ยังทิ้งร่องเลือดเส้นหนึ่งไว้บนศีรษะของผู้เฒ่ากวานสูงได้อยู่ดี

ทางฝั่งของดาดฟ้า ลู่ไถกัดฟันกล่าวสองคำว่า ‘บุปผาผลิบาน’ อีกครั้ง แล้วทะยานลมไล่ตามไป อาภรณ์สีเขียวปลิวสะบัดพัดไปตามลม

ความเร็วเหนือกว่ากระบี่บินเจินเจียน

ลู่ไถวาดเส้นโค้งเส้นหนึ่งอยู่กลางอากาศ เพียงแค่ชั่วกะพริบตาสิบกว่าครั้งก็ตัดขาดทางหนีของผู้เฒ่ากวานสูงขอบเขตประตูมังกรผู้นั้นได้

ผู้เฒ่าเคยมีบทเรียนมาก่อนแล้วจึงไม่กล้าฝืนบุกฝ่าออกไป เขาหมุนตัวกลับหมายบินอ้อม แต่กลับถูกเด็กหนุ่มชุดทองที่ออกกระบี่สองครั้งหลังช้าไปหนึ่งเสี้ยวปล่อยหนึ่งกระบี่แทงทะลุหัวใจ จนรู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองเย็นวาบ!

อีกทั้งกระบี่เล่มนี้ยังแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด!

ทั้งพลังชีวิตและปราณวิญญาณต่างก็ไหลหายไป เพราะถูกกระบี่ยาวที่แทงทะลุร่างดูดดึง

ผู้เฒ่าหยุดชะงัก ทะเลเมฆที่อยู่ใต้เบาะรองนั่งก็หยุดค้างกลางอากาศตามไปด้วย

ก้มหน้าลงมองปลายกระบี่ แล้วยิ้มเศร้า

ผู้ที่เอาชีวิตของข้ากลับไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสี่เล่ม

ผู้ที่ช่วยกระบี่ยาวเล่มนี้เอาชีวิตข้ากลับเป็นแค่ยันต์ย่อพื้นที่ที่ตนดูแคลนแผ่นหนึ่ง

เหตุใดเดี๋ยวนี้พวกเด็กๆ จากตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักถึงได้เจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งกว่าผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกข้าเสียอีก?

เดิมทีเฉินผิงอันคิดจะฉวยโอกาสปล่อยไปอีกหนึ่งหมัด ต้องต่อยให้ผู้เฒ่ากวานสูงหัวขาดถึงจะมั่นใจเต็มร้อยว่าไม่พลาด แต่ลู่ไถกลับส่งเสียงในใจที่แทบจะใกล้เคียงกับการตะโกนเอ่ยเตือนเฉินผิงอันว่าให้อาศัยกระบี่บินเจินเจียนรีบหนีไป ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี

ผู้เฒ่ากวานสูงจับประคองกวานห้าขุนเขาที่เอียงกะเท่เร่ แล้วก็ไม่คิดจะดึง ‘ชือซิน’ ที่แทงทะลุหัวใจออก แต่หันมามองลู่ไถด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

มือทั้งสองข้างยังคงถูกสมบัติอาคมสองชิ้นพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา พวกมันพยายามสร้างขีดจำกัดในการไหลเวียนลมปราณของผู้เฒ่าอย่างเต็มที่

เบาะรองนั่งขาดวิ่นไม่เหลือสภาพดี เพราะถูกกระบี่บินสามเล่มทิ่มแทงหลายสิบรูจนลมพัดผ่านได้เต็มที่

ลู่ไถยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้เฒ่ากวานสูง ในใจยังหวาดผวาไม่คลาย ตอนนั้นที่แกล้งทำเป็นลูกศิษย์ของภูเขาไท่ผิงก็เพราะอยากจะขู่ให้ตาแก่ผู้นี้ตกใจกลัวแล้วหนีไป ไหนเลยจะคิดว่าพอตนบอกว่ามาจากภูเขาไท่ผิง อีกฝ่ายจะเหมือนหมาบ้าที่กัดคนไม่เลือก อีกอย่างสภาพการณ์ของเฉินผิงอันในตอนนั้นก็เรียกว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริงๆ

ลู่ไถสงบจิตใจ พูดเสียงเรียบว่า “อันที่จริงพวกเราไม่ใช่ผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิง”

ผู้เฒ่ากระตุกมุมปากยิ้มเสแสร้ง “เมื่อครู่ข้าผู้อาวุโสก็คิดจนกระจ่างแล้ว ภูเขาไท่ผิงไม่มีทางสอนคนให้เป็นเหมือนพวกเจ้าสองคนได้”

ทะเลเมฆรอบด้านค่อยๆ สลายหายไป กลับไปมือเปล่า หวนคืนสู่ฟ้าดิน

……

เทพเซียนตีกันมักจะอยู่บนสวรรค์

แต่การพบพรากในแบบที่ทั้งทุกข์และสุขกลับอยู่บนโลกมนุษย์

บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ของป้อมอินทรีบินแปลกประหลาดยิ่ง

หลวนหยางเจ้าปราสาทสามารถขยับตัวได้เป็นปกติแล้ว แต่เขากลับไม่แม้แต่จะชายตามองศพของสตรีที่อยู่บนเก้าอี้ข้างกัน

ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาชำเลืองตามองฮูหยินเจ้าประมุขด้วยสายตาซับซ้อน ในใจพลันเกิดความเวทนาจึงขยับปากทำท่าจะพูด แต่กลับถูกหลวนหยางใช้สายตาเย็นชาคมปลาบมองกำราบมาเสียก่อน

หลวนหยางใช้มือข้างหนึ่งจับที่เท้าแขนเก้าอี้ประคองตัว พูดเสียงหนัก “เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องโถงใหญ่วันนี้ ใครก็ห้ามเอาไปแพร่งพราย หากใครกล้าปริปากพูดไปแม้แต่คำเดียว ไม่เพียงแต่จะเจอการลงโทษด้วยกฎตระกูล ยังเดือดร้อนให้ทุกคนในครอบครัวถูกตัดมือตัดเท้า แล้วถูกขับออกจากป้อมอินทรีบิน!”

หลวนหยางไม่ได้หันหน้ากลับมา แค่ใช้มือชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ข้างตัว “ฮูหยินเจ็บป่วยเรื้อรัง อาการหนักจนไม่อาจรักษาให้หายได้…”

หลวนหยางหยุดชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อด้วยเสียงเย็นชา “ตายไปแล้วไม่อนุญาตให้ตั้งป้ายวิญญาณไว้ในศาลบรรพชนสกุลหลวนของข้า! ไม่ให้ฝังไว้ใน…”

ทุกคนในห้องโถงใหญ่เงียบกริบราวจักจั่นในหน้าหนาว ไม่มีใครกล้าเอ่ยโต้แย้ง

ในที่สุดอาจารย์ผู้เฒ่าก็ทนไม่ไหว เดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว พูดขัดจังหวะประโยคหลังของหลวนหยางด้วยเสียงเศร้าสลด “เจ้าประมุข ฮูหยินทำผิดก็จริง แต่ขอเจ้าประมุขเห็นแก่ที่ฮูหยินช่วยเหลือสามีอบรมเลี้ยงดูบุตร จัดการกิจธุระในตระกูลตลอดหลายปีมานี้ อนุญาตให้ฝังฮูหยินไว้ที่ภูเขาด้านหลังด้วยเถอะ เจ้าประมุข ถือว่าข้าเหอหยาขอร้องท่านล่ะ…”

กล่าวมาถึงช่วงท้าย ผู้ดูแลเฒ่าที่อุทิศตัวให้แก่ป้อมอินทรีบิน อาจารย์ผู้เฒ่าที่สอนหนังสือให้แก่เด็กๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่าผู้นี้ก็ถึงกับสะอื้นจนพูดไม่เป็นคำ

หลวนหยางเดือดดาลอย่างหนัก ตบที่เท้าแขนอย่างแรงจนเก้าอี้ทั้งตัวหักถล่มลงไปครึ่งหนึ่ง สีหน้ามืดทะมึน ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็แค่นเสียงเย็นชากล่าวว่า “เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกันทีหลัง!”

หลวนหยางที่แต่ไรไหนมาปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนโยน เวลานี้กลับเหมือนสัตว์ร้ายหิวกระหายที่กวาดตามองคนรอบกาย ทำเอาทุกคนที่เห็นรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ รีบพากันก้มหน้า ไม่กล้าสบตากับเขา

“ป้อมอินทรีบินจะรอดไปได้หรือไม่ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ พวกเจ้าอย่าเพิ่งออกไปจากที่นี่ ใครกล้าออกจากประตูใหญ่ไปโดยพลการ เหอหยา เจ้าสังหารได้เลย!”

หลวนหยางทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วก็ออกไปจากห้องโถงใหญ่เพียงลำพัง เขาเดินขึ้นไปชั้นบน สุดท้ายไปถึงสถานที่ที่ไม่รู้ว่าทำไมบิดาถึงตั้งชื่อว่า ‘ขึ้นดาดฟ้า’ บุรุษที่ชั่วชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยใจแข็งปานหินเหล็กเช่นนี้มาก่อนทอดสายตามองไปไกล พยายามมองให้เห็นผลลัพธ์ของศึกใหญ่ให้ได้ แต่น่าเสียดายที่ตบะวรยุทธ์ของเขาธรรมดา การมองเห็นมีจำกัด มองเบาะแสอะไรไม่ออกเลยสักนิดเดียว เห็นแค่ว่าทะเลเมฆสลายหายไป แสงกระบี่พาดข้ามแผ่นฟ้าเท่านั้น

หลวนหยางกดเสียงต่ำ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “หากทารกผีตนนั้นคลอดออกมาแล้วร้ายกาจอย่างที่พวกเขาพูดกันจริงๆ แล้วถูกป้อมอินทรีบินของข้าควบคุมไว้ได้ แบบนั้นก็ดีน่ะสิ!”

……

นักพรตเฒ่าพาคนทั้งสามหนีออกมาจากป้อมอินทรีบินได้อย่างราบรื่น เข้าป่าลึกขึ้นเหนือไปตลอดทาง คราวนี้เดินทางอย่างสะดวกสะบายไร้อุปสรรคจนน่าแปลกใจ นอกจากผีและวัตถุหยินบางส่วนที่ออกมาก่อกวนแล้วก็ไม่มีปัญหาใหญ่นัก

ไม่เพียงแต่หนุ่มสาวสามคนที่รอดพ้นจากหายนะมาได้ แม้แต่นักพรตเฒ่าเองก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก

ทันใดนั้นคนทั้งสี่ก็รู้สึกเลื่อนลอยเหมือนเข้ามาอยู่คนละโลก

ยืนอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง หลวนฉางพลันกล่าวว่า “ข้าจะกลับไป”

ผู้เฒ่ามอซอแอบพยักหน้าให้อีกฝ่าย ยังไม่ต้องพูดว่าอีกฝ่ายยังเยาว์หรือไม่ แค่มีความคิดเช่นนี้ก็ถือว่ามีหวังที่จะช่วยทำให้ป้อมอินทรีบินฟื้นกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกครั้งแล้ว

หากเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาหนีหัวซุกหัวซุน ผู้เฒ่าไม่มีทางดูแคลนสตรีอย่างหลวนซู แต่กลับจะดูถูกหลานชายของพี่น้องอย่างผู้เฒ่าหลวนแน่นอน

ก่อนหน้านี้ทะเลเมฆที่มืดทะมึนเหมือนน้ำหมึกได้สลายหายไปแล้ว แม้จะยังบอกไม่ได้ว่าป้อมอินทรีบินพ้นจากหายนะแล้วหรือยัง แต่ถึงอย่างไรนี่ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี

ผู้เฒ่าทอดสายตามองไปไกล ใช้วิชาของสำนักสังเกตการณ์สภาพการณ์ที่ปรากฏอยู่เวลานี้ก็เห็นว่าปราณหยินที่เข้มข้นในป้อมอินทรีบินจางหายไปเกือบหมดสิ้นแล้ว

ดังนั้นจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อมหลวนฉางว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อนกลับไป ดูเหมือนว่าสถานการณ์ณ์ในวันนี้โชคจะเข้าข้างพวกเราแล้ว ในเวลาเช่นนี้เจ้าจะสร้างปัญหาเพิ่มไม่ได้เด็ดขาด”

หลวนฉางกำด้ามดาบตรงเอวแน่นจนเส้นเลือดสีเขียวบนหลังมือปูดโปน พูดอย่างอัดอั้น “ท่านพ่อท่านแม่ยังตกอยู่ในอันตราย ข้าเป็นบุตรชายกลับนิ่งดูดายก็ไม่สมควรเป็นบุตรของพวกเขา!”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิด กลับกันยังอธิบายอย่างใจเย็นว่า “การเสียสละโดยไร้ความเกรงกลัวหาใช่ความกล้าหาญที่แท้จริงไม่ หลวนฉาง เจ้าต้องเป็นบุรุษเหมือนท่านปู่ของเจ้า มีเพียงช่วงเวลาที่ถอยจนถอยไม่ได้อีกแล้ว เพื่อความชอบธรรม ถึงได้สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อย่างการฟันเทวรูปหลิงกวานด้วยดาบเดียว! ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เก็บตัวสันโดษอย่างพวกข้า ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ยังตบโต๊ะร้องชมเชย เรียกขานเขาว่าเป็นวีรบุรุษ ความกล้าหาญนี้ไม่ใช่ความกล้าของบุรุษทั่วไป ไม่ใช่การพาตัวไปตายอย่างเสียเปล่า”

หลวนฉางพยักหน้ารับเงียบๆ

เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มที่ถูกฝากความหวังยิ่งใหญ่จากตระกูลผู้นี้ไม่ได้มีนิสัยดื้อดึงดัน หากจิตใจไม่กว้างขวางพอ ในฐานะเจ้าประมุขคนถัดไปของป้อมอินทรีบิน คงไม่มีทางปล่อยเถาเสียหยางคนต่างแซ่ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วันไว้ในป้อมอินทรีบิน

หลวนซูกระตุกชายแขนเสื้อของหลวนฉางเบาๆ

หลวนฉางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ “ข้าไม่เป็นไร วางใจเถอะ”

ผู้เฒ่ารู้สึกปลาบปลื้มใจเล็กน้อย

ยุทธภพแบบนี้ถึงจะมีรสชาติ

นักพรตหนุ่มหวงซ่างพึมพำเบาๆ ว่า “อาจารย์ คนต่างถิ่นสองคนนั้นสามารถสังหารมารบนท้องฟ้าได้จริงๆ หรือ?”

ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนกล่าวว่า “มีความสามารถในการวางแผนใหญ่โตขนาดนี้ พลิกกลับโชคชะตาลมและน้ำในระยะร้อยลี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นมารใหญ่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง เวทลับขยับย้ายภูเขาเช่นนั้น อย่าว่าแต่อาจารย์อย่างข้าเลย ต่อให้เป็นอาจารย์ปู่ของเจ้าที่มีความสามารถดั่งฟ้าประทาน ตอนที่มีตบะสูงสุดก็ยังทำไม่ได้ หากคนหนุ่มสองคนนั้นสามารถขับไล่ศัตรูที่แข็งแกร่งให้หนีไปได้ก็ถือว่าโชคดีอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่ต้องเพ้อฝันเลยว่าจะสังหารศัตรูได้สำเร็จ”

หลุดพ้นอันตรายมาได้ เส้นเอ็นหัวใจที่หดเกร็งมาตลอดเวลาของผู้เฒ่าก็คลายลง สีหน้าจึงแสดงความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ศึกในวันนี้ทำให้จิตใจของนักพรตที่อาศัยอยู่บนภูเขาท่านนี้เหนื่อยล้าอย่างแท้จริง

นักพรตเฒ่าเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง “เว้นเสียแต่ว่านักพรตใหญ่ของสำนักฝูจีจะตามมาทัน อีกทั้งยังต้องมีศักดิ์ไม่ต่ำ ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะขัดขวางยักษ์ใหญ่วิถีมารที่ขี่ทะเลเมฆผู้นั้นได้”

คนทั้งสามสีหน้าหนักอึ้ง หลวนซูกัดริมฝีปากแน่น อารมณ์ซับซ้อนถึงขีดสุด

พ่อแม่ยังตกอยู่ในอันตราย นอกศาลบรรพชนยังมีเจ้าคนโง่ที่ยินดีรอความตายอยู่อีกคน

ต่อให้ตนกับพี่ชายเอาชีวิตรอดไปได้อย่างหวุดหวิด อนาคตก็ยังเลือนรางอยู่ดี จะไปที่ไหน ไปทำอะไร หลวนซูไม่รู้เลยจริงๆ

หวงซ่างสีหน้าหม่นหมอง

ฝึกตนอย่างยากลำบากมาหลายปี ไม่เคยเกียจคร้านแม้แต่นาทีเดียว เดิมคิดว่าพอจะฝึกมรรคกถาได้สำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว ออกมาเผชิญโลกภายนอกนับครั้งไม่ถ้วน ไหนเลยจะคิดว่าต้องเกือบมาทิ้งชีวิตไว้ที่ป้อมอินทรีบินที่เป็นดั่งแดนสุขาวดีแห่งนี้

ผู้เฒ่าทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ลงด้วยการหอบหายใจเสียงดัง จากนั้นก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “แต่ก็วางใจเถอะ หลังจากที่มารร้ายกลับไปมือเปล่าครั้งนี้ต้องดึงดูดความสนใจจากสำนักฝูจีได้แน่นอน ภายในหนึ่งร้อยปี มารร้ายตนนั้นต้องไม่กล้าก่อเรื่องอีกแน่ สำนักฝูจีมีเซียนสองคนที่เป็นคู่บำเพ็ญตนกัน หากไปมีเรื่องกับพวกเขา ไม่ว่าคนใดที่ลงจากภูเขามาก็ล้วนสังหารมารร้ายได้อย่างง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ!”

ดูเหมือนผู้เฒ่ายังไม่สามารถแก่ใจจึงทำท่าพลิกฝ่ามือแล้วพูดกลั้วหัวเราะซ้ำว่า “ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ!”

……

นอกศาลบรรพชน เถาเสียหยางเต็มไปด้วยความกังวลใจ

ไม่ได้กังวลใจที่ป้อมอินทรีบินกลายมาเป็นเหมือนนรกบนดิน

แต่เป็นกังวลว่าครั้งนี้บุรพาจารย์ในตระกูลที่จับตนมาโยนไว้ที่นี่ตั้งแต่ยังเล็กจะเสียหายอย่างหนัก เดือดร้อนให้ตนไม่อาจเติบโตทีละก้าวจนกลายเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งของแคว้นเฉินเซียงได้

สาวงาม เขาต้องการ ยุทธภพ เขาก็ต้องการ

ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจจะมีโอกาสได้ขึ้นไปดูทัศนียภาพบนยอดเขา

บางครั้งที่มีโอกาสแกล้งทำเป็นออกไปท่องในยุทธภพแทนสกุลหลวน เขาก็จะแอบไปพบกับบุรพาจารย์อย่างลับๆ มีครั้งหนึ่งที่บุรพาจารย์ท่านนั้นสอนเขา บอกว่าขอแค่เป็นสิ่งที่ตัวเองชอบ ก็ควรจะคว้ามาไว้ในมือของตัวเอง หากคว้าไว้ไม่อยู่ ก็เลือกเอาว่าจะไม่คิดให้มากความหรือทำลายมันไปเสียเลย

เถาเสียหยางเห็นด้วยอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นว่ารอบด้านไร้ผู้คน เถาเสียหยางที่ปลดหน้ากากลงเผยให้เห็นสีหน้าที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง เขาหยุดความคิดที่วุ่นวายลง สุดท้ายรู้สึกว่าสิงโตหินที่ไร้ประโยชน์คู่นี้เกะกะสายตา จึงฟันฉับลงไปสองที ตัดสิงโตหินออกเป็นสองท่อน ก้อนหินพลันถล่มครืนลงมา

หลังจากระบายความอัดอั้นในใจออกไปแล้ว คนหนุ่มพลันตระหนักได้ว่าตนทำพลาด หากแผนการของบุรพาจารย์ล้มเหลว ไม่เพียงแต่ต้องถอยกลับรังเก่าไปพักฟื้น การกระทำที่แสดงความขุ่นเคืองใจนี้ของตนย่อมเปิดเผยพิรุธได้ง่าย ถ้าตาแก่สมควรตายคนนั้นจับได้ขึ้นมาย่อมไม่เป็นผลดี ดังนั้นเถาเสียหยางผู้รอบคอบจึงเดินเร็วๆ ไปเบื้องหน้า ใช้ด้ามดาบที่ถูกกรอกลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ทุบรูปปั้นสิงโตหินที่ล้มครืนอยู่กับพื้นให้แหลกทีละนิด

จากนั้นเขาก็เดินเร็วๆ ไปที่หอหลักของป้อมอินทรีบิน ระหว่างทางก็ฟาดฝ่ามือลงบนหน้าอกตัวเองหนึ่งครั้ง ทำให้ตัวเองกระอักเลือดได้แล้วถึงจะยอมหยุดมือ

บนภูเขาอันตราย ลมแรงคนก็ล้มได้ง่าย ยุทธภพชั่วร้าย น้ำลึกย่อมง่ายที่เรือจะล่ม

จิตใจคนขึ้นลงไม่แน่นอน ยากสงบมากที่สุด

จิตใจมั่นคงทั้งยังจริงใจ ช่างหาได้ยากยิ่ง

—–