ตอนที่ 83 พวกจอมปลอม หน้าไหว้หลังหลอก!
นางจนปัญญา สุดท้ายก็ได้แต่ก่นด่าคนพวกนั้นว่าเป็นพวกอ้อลู่ลมชอบซ้ำเติมคนอื่น ตอนที่เดินผ่านระหัดวิดน้ำตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน นางเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มพูดคุยกัน นางคิดจะไปเล่าให้พวกเขาฟังถึงชะตากรรมของครอบครัวตัวเอง แต่พอเข้าไปใกล้ คนเหล่านั้นกลับแตกฮือหนีไปจนหมด
นางขยี้เท้าด้วยความไม่พอใจพลางถ่มน้ำลายใส่ระหัดวิดน้ำ “ถุย คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! พวกจอมปลอม หน้าไหว้หลังหลอก!”
ส่วนเซียวเถี่ยเฟิงกับกู้จิ้ง หลังจากยืนมองเหตุรุมประชาทัณฑ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าศาลของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็หันไปสบตากัน จากนั้นก็รีบเผ่นกลับเข้าไปในศาล
น้ำทำให้เรือลอยได้แต่ก็ทำให้เรือจมได้ ความกระตือรือร้นของผู้คนน่ากลัวเกินไป พวกเขาหลบไปก่อนดีกว่า
ฝ่ายยายเฒ่าหนิง หลังจากได้เห็นเหตุการณ์แสนน่าหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นก็ตกใจจนแทบเสียสติ หลังจากกลับไปบ้าน นางนอนไม่หลับอยู่หลายวัน สุดท้ายก็หลุดปากพูดออกมาในสภาพที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนักว่า “ต่อไปไม่ว่าใครก็ห้ามไปหานาง ห้ามไปหาฮุ่ยเหนียง น่ากลัวมาก น่ากลัวเหลือเกิน! ข้าไม่เคยมีลูกสาวแบบนี้!”
แต่ถึงยายเฒ่าหนิงจะไม่ยอมรับบุตรสาว ในใจของทุกคนก็ปักใจเชื่อไปแล้วว่า…
หนิงฮุ่ยเหนียงบุตรสาวคนโตของตระกูลหนิงมีพรสวรรค์เหนือผู้คน ถูกเซียนเลือกเป็นลูกศิษย์ ฝึกวิชาอยู่ในแดนเซียนมายี่สิบสองปี ในที่สุดก็กลับมายังเขาเว่ยอวิ๋น แต่นางกลับถูกจ้าวฝูชางให้ร้าย ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าเป็นปีศาจ ต่อมาหนิงฮุ่ยเหนียงกลายร่างเป็นกู้จิ้ง ช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากจนได้รับการยกย่องให้เป็นหมอเทวดา
ภายหลังคำพูดประโยคนี้ถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารตระกูลเซียว และถูกแกะสลักไว้บนป้ายศิลาบนเขาเว่ยอวิ๋น แต่เสียดายที่กู้จิ้งในหนึ่งพันปีให้หลังเกียจคร้านเกินไป ไม่ยอมอ่านอักษรตัวเต็มที่เขียนในแนวตั้ง เธอก็เลยพลาดข้อมูลที่สำคัญเช่นนี้ไป
กู้จิ้งไม่รู้เรื่องในอีกหนึ่งพันปีให้หลัง และไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เธอรู้แค่ปัจจุบันเท่านั้นก็พอ
เธอกับเซียวเถี่ยเฟิงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านบนภูเขาอย่างมีความสุข เธอได้รับความเคารพนับถือจากชาวบ้าน ได้ใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งยังได้มีเซียวเถี่ยเฟิงอยู่ข้างกาย
ดูจากเรื่องนี้ บางทีเธออาจจะเป็นคนที่แล้งน้ำใจกับคนในครอบครัวก็เป็นได้ แต่เธอไม่สนใจ
ความผูกพันฉันคนในครอบครัว บางทีก็ขึ้นอยู่กับวาสนา เธอรู้สึกว่าตัวเองกับแม่แท้ๆ คนนั้นไม่มีวาสนาต่อกัน
แต่เธอกลับพบว่าเซียวเถี่ยเฟิงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
ยกตัวอย่างเช่น ระยะนี้เขามักจะมองเธอด้วยสายตาคาดหวัง
กู้จิ้งปรายตามองเขา “สายตาแบบนี้ ทำให้ฉันรู้สึกว่านายเป็นชาวนา ส่วนฉันเป็นผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ไม่มีผิด”
เขาหวังจะให้เธอมีอะไรงอกออกมาอย่างนั้นรึ?
เซียวเถี่ยเฟิงยิ้ม “เจ้าเป็นคน ไม่ใช่ปีศาจ”
กู้จิ้งพูดไม่ออก เธอมองเขาด้วยสายตาดูแคลน “ใช่ นายพูดซ้ำหลายรอบแล้ว เรื่องนี้สำคัญขนาดนั้นเลยหรือ?”
เซียวเถี่ยเฟิงเดินมาประคองใบหน้าของเธอเอาไว้ เขาจ้องเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวอย่างมีความหมายว่า “ถ้าอย่างนั้น เราก็จะใช้ชีวิตเยี่ยงสามีภรรยาทั่วๆ ไปได้”
กู้จิ้งแบมือ “ตอนนี้เราไม่ได้ใช้ชีวิตเยี่ยงสามีภรรยาทั่วๆ ไปอย่างนั้นหรือ?”
เขายังมีอะไรไม่พอใจอีก?
เซียวเถี่ยเฟิงก้มลงจูบเธอโดยไม่ได้พูดอะไร แต่จุมพิตเบาๆ ที่สัมผัสกับใบหูของเธอก็ทำให้เธอรู้สึกว่า เขากำลังคาดหวังอะไรบางอย่าง
เขากำลังหวังอะไรหรือ?
กู้จิ้งคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็หาคำตอบไม่ได้ ความสงสัยนี้คงอยู่จนถึงวันรุ่งขึ้น บังเอิญมีเด็กอายุหกเจ็ดขวบคนหนึ่งล้มป่วย ระหว่างที่กู้จิ้งกำลังรักษาอาการป่วยให้เด็กคนนั้น จู่ๆ เธอก็คิดออก
เขาอยากจะมีลูก
ใช่ เป็นแบบนี้แน่ๆ
เซียวเถี่ยเฟิงเป็นผู้ชายที่หัวโบราณเอามากๆ ในใจส่วนลึกของเขาปรารถนาจะมีชีวิตที่แสนอบอุ่น เพียบพร้อมด้วยภรรยาและลูกๆ แม้เขาจะยอมละทิ้งความคิดนี้ไปเพราะคิดว่าเธอเป็นปีศาจ แต่ตอนนี้ หลังจากแน่ใจว่าเธอเป็นมนุษย์ ความหวังก็ผุดขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง
แต่เขาไม่รู้ว่าเธอไม่ได้มีลูกไม่ได้เพราะเป็นปีศาจ แต่เป็นเพราะปัญหาที่ติดตัวมาแต่กำเนิดต่างหาก
มันเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้
กู้จิ้งคิดถึงตรงนี้ก็อดกลุ้มใจไม่ได้
เธอสงสัยมาตลอดว่า อะไรจะเป็นจุดหักเหที่ทำให้คนซึ่งเปี่ยมด้วยคุณธรรมและน้ำใจอย่างเซียวเถี่ยเฟิงทอดทิ้งเธอไปแต่งงานกับคนอื่น ที่แท้ก็เรื่องนี้เองหรือ?
ความกลัดกลุ้มเกาะกุมหัวใจกู้จิ้งอยู่ครู่หนึ่งก็เลือนหายไป
ในเมื่อรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ทำไมเธอต้องเสียใจด้วยเล่า? ผู้ชายคนนั้นเสียสละเพื่อเธอมามากพอแล้ว เธอย่อมไม่อาจปล่อยให้เขาสิ้นลูกสิ้นหลาน ยิ่งไปกว่านั้น ในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้า ยังมีคุณยายกับคุณแม่รออยู่อีก
กู้จิ้งคิดได้เช่นนี้ก็ไม่ติดใจอะไรอีก เธอกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ มีอะไรให้ทำก็ทำไป
แต่เซียวเถี่ยเฟิงกลับขยันรดน้ำพรวนดินมาก เขามุ่งมั่นรดน้ำพรวนดินทุกคืน หยาดเหงื่อของเขารินรดลงบนผิวเนียนละเอียดของเธอแล้วก็หว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ในส่วนลึกที่สุด
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสิ้นสุดลง เซียวเถี่ยเฟิงก็ออกไปล่าสัตว์ เขาอยากได้แม่ไก่สักตัวมาให้เธอบำรุงร่างกาย แถมยังบอกว่าจะหาไข่นกมาให้เธอกินอีกด้วย
แต่กู้จิ้งกลับไม่กระตือรือร้นสักนิด เธอเดาว่าหากบอกความจริงให้เขารู้ จุดหักเหที่จะทำให้พวกเขาต้องแยกทางกันก็คงจะมาถึง
เธออยากพูดแต่เธอเห็นแก่ตัว อยากอยู่กับเขาต่อไปอีกสักพัก ดังนั้นจึงเลือกที่จะผัดผ่อนไปอีกสักระยะ
กู้จิ้งเงยหน้าขึ้นทอดตามองไปไกล ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว สายฝนที่โปรยปรายลงมาทำให้ภูเขาแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยสีเขียวขจี ต้นไม้เล็กๆ เริ่มมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ต้นไม้ใบหญ้าแตกหน่อผลิใบ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปี่ยมด้วยความหวัง มีเพียงเธอเท่านั้นที่เป็นผืนดินที่ไร้ซึ่งความหวังใดๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าถึงฤดูใบไม้ร่วงเมื่อไหร่ ชาวนาซึ่งขยันรดน้ำพรวนดินคนนั้นจะผิดหวังหรือไม่?
เธอก้าวเท้าเดินไปเรื่อยๆ พลางพยายามขจัดความกลัดกลุ้มออกไป คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับใครบางคนเข้าพอดี
ผู้มาดูคุ้นตาไม่น้อย
เธอเพ่งตามองอีกครั้ง นี่ไม่ใช่จ้าวจิ้งเทียนหรอกหรือ? เพียงแต่เขาผอมลงมากจนเธอจำแทบไม่ได้
นึกถึงภาพที่เขาโดนรุมประชาทัณฑ์อยู่ที่หน้าบ้านของเธอ กู้จิ้งก็หวาดระแวงขึ้นมาทันที เขาคงไม่ได้มาแก้แค้นหรอกนะ?
“นายมาที่นี่ทำไม?” เธอตัดสินใจเจรจาด้วยมารยาทก่อนใช้กำลัง
“ไม่มีอะไร แค่อยากพูดคุยกับเจ้าเท่านั้น” จ้าวจิ้งเทียนเหมือนไม่ตระหนักถึงอาการระแวดระวังของกู้จิ้ง เขายิ้มเหงาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เอ่อ…พูดคุยงั้นหรือ ก็ได้ นายอยากพูดอะไรล่ะ?”
ย้อนกลับไปคิดดู จริงๆ วันนั้นจ้าวจิ้งเทียนไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่ว่าจะเรื่องบังคับให้แต่งงานหรือบังคับให้ยอมรับพ่อแม่ พ่อของเขาก็พูดอยู่คนเดียว
แต่จะบอกว่าเขาไม่มีความผิดเลยก็คงไม่ได้ เพราะถ้าเขารู้สึกว่าพ่อของเขาทำผิด อย่างน้อยก็ต้องห้ามปรามบ้าง แต่ในความเป็นจริง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเพียงแค่พูดทัดทานพอเป็นพิธีแค่ประโยคเดียวก็ถูกพ่อของเขาตวาดกลับเสียแล้ว
กู้จิ้งได้ข้อสรุปว่าเขาเป็นคนเสแสร้ง ตัวเองอยากบังคับให้เธอแต่งงานด้วย แต่กลับให้พ่อออกหน้าแทน เป็นหญิงแพศยาแต่กลับอยากได้ป้ายประกาศเกียรติคุณ
ครั้งนี้เขามาหาเธอ ที่แท้อยากพูดอะไรกันแน่ รอดูไปก่อนก็แล้วกัน
“ฮุ่ยเหนียง” จ้าวจิ้งเทียนจ้องหน้ากู้จิ้งพลางเอ่ยเรียก
“หยุด!” กู้จิ้งค้าน “นายเรียกฉันว่ากู้จิ้งเถอะ ได้ยินคำว่าฮุ่ยเหนียงแล้วฉันคันคะเยอไปทั้งตัว”
“ได้ กู้จิ้ง” จ้าวจิ้งเทียนยังคงจ้องหน้าเธอ “มีคำพูดบางอย่างที่ข้าอยากพูดกับเจ้า”
“อืม พูดมาสิ” ขอร้อง รีบเข้าประเด็นเสียทีเถอะ
“ตอนนั้นเจ้าเกิดเรื่อง ข้าเสียใจมาก ตอนกลางคืนก็ฝันเห็นเจ้าบ่อยๆ”
“เอ่อ…” กู้จิ้งยังจะพูดอะไรได้ นอกจากเอ่อ
“ต่อมาข้าโตขึ้น รู้ว่าอวิ๋นเหนียงเป็นคู่หมั้นของข้า ข้าสงสัยอยู่นานทีเดียวว่าทำไมบนโลกถึงมีเจ้าสองคน เจ้าหายตัวไปแล้วชัดๆ ทำไมถึงยังเป็นคู่หมั้นของข้าอยู่อีก”
“งั้นหรือ…” นายโง่น่ะสิ!
“พอโตขึ้นอีกนิดข้าถึงได้รู้ว่าฮุ่ยเหนียงตายไปแล้ว คนที่ข้าจะแต่งงานด้วยคืออวิ๋นเหนียง หลังจากข้าแต่งงานกับอวิ๋นเหนียง บางครั้งก็ยังฝันเห็นเจ้า ข้ารู้สึกว่าบางทีเจ้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เพียงแต่ข้าหาเจ้าไม่พบเท่านั้น”
ฟังถึงตรงนี้ กู้จิ้งก็ไม่แม้แต่จะส่งเสียงเออออตอบรับอีก
นี่หมายความว่ายังไง หมายความว่าเธอกลายเป็นแสงจันทร์กระจ่างในใจของจ้าวจิ้งเทียนงั้นรึ?
กู้จิ้งเย็นสันหลังวาบ เธอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “นายมีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ”
“ตอนเด็ก เถี่ยเฟิงมักจะแย่งเจ้าไปจากข้า ข้าคิดว่าเจ้าเป็นเมียของข้า ข้าจะไม่ยกให้เขาเด็ดขาด ไม่มีวันยกให้ชั่วชีวิต” จ้าวจิ้งเทียนมองกู้จิ้งด้วยสายที่เรียกได้ว่ารักลึกซึ้ง
กู้จิ้งขนลุกไปทั้งตัว
“หยุด! ฉันไม่ใช่เมียนาย อย่าเข้าใจผิด!”
จ้าวจิ้งเทียนเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มขื่น “อืม ข้าเข้าใจ เป็นข้าคิดไปเอง”
“นายรู้ก็ดี”
นางตัดรอนเขาโดยไม่มีเยื่อใย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยให้โอกาสเขาสักนิด สิ่งที่รับรู้นี้ทำให้จ้าวจิ้งเทียนปวดแปลบอยู่ในอก แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่หลุบตาลงแล้วกล่าวคำพูดที่ค้างอยู่ต่อ