ตอนที่ 84 ข้าผิดหรือ?

“ข้าคิดว่าจะไม่ยอมยกให้ชั่วชีวิต แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะยอมหรือไม่ยอม เพราะข้าแพ้ไปตั้งนานแล้ว”

นับแต่เขาไล่กู้จิ้งกับเซียวเถี่ยเฟิงออกจากหมู่บ้าน เขาก็แพ้แล้ว

เขายืนอยู่ตรงนั้นในฐานะหัวหน้าพรานผู้ทรงอำนาจพลางกวาดตามองกู้จิ้งผู้มีฐานะไม่แน่ชัดซึ่งเซียวเถี่ยเฟิงแบกเอาไว้บนหลัง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกทอดถอนใจที่เซียวเถี่ยเฟิงไม่คิดจะแสวงหาความก้าวหน้ารวมไปถึงความรู้สึกยินดีที่ไม่สามารถอธิบายได้ จากนั้นก็ขับไล่พวกเขาทั้งสองคนไป

นับแต่เสี้ยวขณะนั้น เขาก็พ่ายแพ้อย่างหมดรูป

เขาออกหมัดสุดแรง ใจคิดว่าตัวเองเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แล้ว เขาปลาบปลื้มยินดีมาก แต่แท้ที่จริงแล้ว หมัดนั้นกลับกระแทกเข้าใส่ร่างของเขาเองต่างหาก

ทั้งที่พูดแล้วว่าจะไม่สนใจ แต่พอคิดถึงคืนนั้นที่มีแสงคบเพลิงส่องสว่างกับเสียงหมาเห่าดังเป็นพักๆ นึกถึงความสะใจในตอนนั้น เขาก็อยากจะตบหน้าตัวเองสักสองครั้ง!

กู้จิ้งเงยหน้าขึ้นกวาดตามองบุรุษตรงหน้า เธอมองเขาด้วยสายตาจริงจังเป็นครั้งแรก น้ำเสียงที่พูดก็ไม่ได้เป็นแบบขอไปทีอีกต่อไป

“จ้าวจิ้งเทียน นายผิดแล้ว”

“ข้าผิดหรือ?”

กู้จิ้งยิ้ม

“ถูกต้อง นายผิดตั้งแต่ต้นจนจบ”

“ข้าผิดยังไงหรือ?”

“นายผิดตรงที่เห็นเซียวเถี่ยเฟิงเป็นคู่แข่งมาโดยตลอด แต่เสียดายที่แต่ไหนแต่ไรนายก็ไม่ใช่คู่แข่งของเขา เขาเองก็ไม่เคยคิดจะชิงดีชิงเด่นกับนาย”

ไม่ว่าจะวิสัยทัศน์, ความคิด, ความใจกว้าง, การวางตัว จ้าวจิ้งเทียนไม่อาจเทียบกับเซียวเถี่ยเฟิงได้เลยสักนิด

คนหนึ่งเอาแต่จ้องตำแหน่งหัวหน้าพรานเล็กๆ บนเขาเว่ยอวิ๋น จ้องเนื้อชิ้นเล็กๆ ไม่กี่ชิ้นไม่วางตา ส่วนอีกคนหนึ่งเคยผ่านพบประสบการณ์มากมาย สุดท้ายเลือกถอนตัวเร้นกายกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบ แบบนี้จะเปรียบเทียบกันได้หรือ?

คนที่เคยพบเห็นโลกกว้างจะเห็นเขาเว่ยอวิ๋นอยู่ในสายตาได้อย่างไร?

จ้าวจิ้งเทียนตกตะลึง

เขามองรอยยิ้มของสตรีตรงหน้า เห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของนาง

เงาของเขาในดวงตาของนางช่างดูเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยและล้มเหลวเสียเหลือเกิน

ชั่วพริบตานั้น จ้าวจิ้งเทียนค่อยตระหนักอย่างแท้จริงว่า อะไรคือความขมขื่นและสิ้นหวัง

อยู่ดีๆ มาเจอจ้าวจิ้งเทียน

ทำให้กู้จิ้งหมดอารมณ์เดินเล่นไปโดยปริยาย เธอตัดสินใจกลับบ้าน ตอนที่กลับไปถึงเซียวเถี่ยเฟิงยังไม่กลับมา เธอจึงหันไปจัดขวดน้ำมันหอมระเหยของตัวเองกับบรรดามีดและตะขอที่เซียวเถี่ยเฟิงทำให้ให้เป็นระเบียบ จากนั้นก็เก็บเอาไว้ในกระเป๋า

จนกระทั่งถึงยามพลบค่ำ ในที่สุดเซียวเถี่ยเฟิงก็กลับมา ทั้งสองต่างหิวแล้ว กู้จิ้งจึงรีบไปก่อไฟ ส่วนเซียวเถี่ยเฟิงลงมือทำอาหาร

ในฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ บนภูเขามีผักป่ามากมาย เซียวเถี่ยเฟิงเลือกเก็บผักที่กู้จิ้งชอบหลายชนิดกลับมาทำอาหาร นอกจากยำยอดเซียงชุนกับผัดผักจี้ไช่แล้ว ยังมีเนื้อกระต่ายป่าตากแห้งอีกด้วย

“เดือนสาม ผักจี้ไช่เลิศรสปานโอสถทิพย์” ระหว่างที่กิน จู่ๆ เซียวเถี่ยเฟิงก็โพล่งคำพูดประโยคนี้ออกมา

“อร่อยมาก” กู้จิ้งเออออตาม

“ใช่แล้ว วันนี้เจอใครหรือเปล่า” เซียวเถี่ยเฟิงเอ่ยถามพลางมองเธอด้วยสายตามีความหมาย

“เจอ” กู้จิ้งหยุดคิด เขาคงจะรู้แล้วสินะ? ทำไมคนคนนี้ถึงได้ฉลาดแบบนี้? อยากให้เรื่องน้อยหน่อยก็ไม่ได้

“เป็นเจ้าหนูจิ้งเทียนนั่นสินะ?”

“อืม ในเมื่อนายรู้แล้ว ทำไมยังต้องถามฉันอีก?”

“ข้าอยากถามว่าเจ้าคิดยังไงน่ะสิ?”

กู้จิ้งฟังแล้วอดประหลาดใจไม่ได้ “ฉันยังจะคิดอะไรได้อีก?”

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นสีหน้างุนงงของเธอก็เข้าใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “ข้าไม่ชอบที่เขาเข้ามาพัวพันกับเจ้า ข้ามองออกนานแล้วว่าเขามีใจให้เจ้า”

เขารู้มาตั้งแต่ครั้งที่อยู่ในโรงเตี๊ยมเมืองจูเฉิง แต่ไหนแต่ไรจิ้งเทียนไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนอยู่ในสายตา มีเพียงกู้จิ้งคนเดียวเท่านั้นที่เขาใส่ใจมาก บางทีจิ้งเทียนในตอนนั้นอาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรต่อกู้จิ้ง แต่เซียวเถี่ยเฟิงกลับมองออก

ผู้ชายที่ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนอยู่ในสายตา จู่ๆ กลับหันมาพิจารณามองผู้หญิงคนหนึ่งอย่างละเอียด จะหมายความว่าอย่างไรไปได้?

ส่วนเรื่องที่จ้าวจิ้งเทียนคอยจับตามองกู้จิ้งไม่วางตาตลอดทางกลับบ้าน บางทีจ้าวจิ้งเทียนอาจจะกำลังหลอกตัวเองว่าไม่ได้คิดอะไร แต่เขากลับมองออกว่าอีกฝ่ายคิด

“จะไปสนใจทำไมว่าเขาคิดอะไร สรุปแล้วฉันไม่ได้คิด! ต่อไปพูดถึงเขาต่อหน้าฉันให้น้อยๆ หน่อย แค่ได้ยินชื่อเขาฉันก็หงุดหงิดแล้ว!”

กินข้าวให้สงบหน่อยไม่ได้หรือ ทำไมต้องพูดถึงเจ้าหนอนเขียวนั่นด้วย?

“ได้ ไม่พูดแล้ว” เซียวเถี่ยเฟิงเหลือบมองกู้จิ้งแวบหนึ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะไม่ชอบหน้าจ้าวจิ้งเทียนขนาดนี้ ดังนั้นเขาจึงหยุดพูดแต่โดยดี

คืนนั้นทั้งสองกินอิ่มแล้วก็เข้านอน

ยามกลางคืนเงียบสงัด เสียงแมลงและนกร้องดังขึ้นเป็นพักๆ ความกลัดกลุ้มผุดขึ้นในใจของกู้จิ้งอีกครั้ง เธอนอนอยู่บนเตียง แต่ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับเสียที

ในตอนนั้นเอง มือที่พาดอยู่บนเอวของเธอก็เริ่มขยับเหมือนกำลังหยั่งเชิง

เธอย่อมเข้าใจความหมายของเขา หลายวันมานี้เขาทำแบบนี้มาตลอด เขากระตือรือร้นมากเหมือนใจร้อนอยากบรรลุผลเร็วๆ เรียกได้ว่าทุกคืนเขาจะเกาะเธอไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งฟ้าสางเลยทีเดียว

เธอกลัวจริงๆ ว่าคันไถอันนี้จะพังไปเสียก่อน

กู้จิ้งแอบถอนใจเงียบๆ ในใจอดรู้สึกผิดไม่ได้ หากเขารู้ความจริงจะโกรธเธอไหมนะ?

ไม่ เขาเป็นคนดีขนาดนั้น ไม่มีทางโกรธเธอแน่ อย่างมากก็อาจผิดหวังไปสักระยะ จากนั้นเขาก็จะยิ้มแล้วบอกเธอว่าไม่เป็นไร ชาตินี้พวกเขาไม่มีลูกก็ไม่เป็นไร

แต่กู้จิ้งรู้ว่านั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงของเขา

กู้จิ้งพลิกตัวหันหลังให้ชายหนุ่มพลางปัดมือที่ยื่นมาหาเบาๆ

คนที่ด้านหลังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ดึงมือกลับ

กู้จิ้งบอกไม่ถูกว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร ใจหนึ่งเธอรู้สึกผิดหวัง แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

นึกถึงความรู้สึกของตัวเองในยามนี้ จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองไร้เหตุผลมากเกินไป

เธออยากยึดครองท่านบรรพบุรุษเอาไว้ชั่วชีวิต แต่ก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ คุณแม่กับคุณยายไม่อาจยอมให้เธอทำเช่นนี้ กฎเกณฑ์ประวัติศาสตร์ไม่อาจยอมให้เธอทำเช่นนี้ ความเจริญก้าวหน้าของโลกไม่อาจยอมให้เธอทำเช่นนี้ โชคชะตาก็ไม่อาจยอมให้เธอทำเช่นนี้ หากเธอดึงดันฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ ยืนกรานจะอยู่กับเซียวเถี่ยเฟิงไปชั่วชีวิต ลูกหลานตระกูลเซียวก็จะถือกำเนิดขึ้นมาไม่ได้

คิดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกขมขื่นเหลือเกิน

คนอื่นมีความรัก อย่างมากก็ถูกพ่อแม่ขัดขวาง ทำไมเธอชอบผู้ชายสักคน แม้กระทั่งความเจริญก้าวหน้าของโลกกับกฎเกณฑ์ประวัติศาสตร์ก็ต้องยื่นมือเข้ามาสอดแทรกด้วย?

กำลังคิดอยู่ เซียวเถี่ยเฟิงก็ยื่นแขนแข็งแรงมาคว้าเธอไปกอดเอาไว้แน่น

เสียงลมหายใจหนักหน่วงของเขาดังขึ้นที่ด้านหลัง เธอตระหนักดีว่าเขากำลังต้องการ แต่คืนนี้เธอไม่มีอารมณ์จริงๆ

ยิ่งเขาพยายามมากเท่าไหร่ สุดท้ายก็จะยิ่งผิดหวังมากเท่านั้น

ดังนั้นกู้จิ้งจึงยกมือขึ้นแล้วขยับตัวออกจากอ้อมแขนของเขาอีกรอบ

ร่างของเซียวเถี่ยเฟิงแข็งเกร็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน สุดท้ายเขาก็พลิกกายหันหลังให้เธอแล้วนอนหลับไป

วันรุ่งขึ้น ตอนที่กู้จิ้งตื่นขึ้นมา เซียวเถี่ยเฟิงไม่อยู่แล้ว

เธอคิดว่าเขาอาจจะอารมณ์ไม่ดีนัก ดังนั้นก็เลยออกไปล่าสัตว์แต่เช้า

กู้จิ้งผ่าฟืนทำอาหารเอง กินข้าวเสร็จยังเก็บส่วนหนึ่งเอาไว้ให้เซียวเถี่ยเฟิง แต่ใครจะรู้ว่ารอไปรอมา เขาก็ไม่กลับมาเสียที

เธอเริ่มกังวลขึ้นมา หรือเขาไปล่าสัตว์แล้วไปพบกับเรื่องอะไรเข้า? แต่เขาไม่ได้บอกเธอว่าจะเข้าไปในป่าลึก บริเวณนี้ของเขาเว่ยอวิ๋นก็ไม่เคยมีสัตว์ร้าย ไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นไม่ใช่หรือ?

แถมจะว่าไปฮัสกี้ก็ตามเขาไปด้วย ถึงหมาโง่นั่นจะซื่อบื้อไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็เป็นผู้ช่วยของเซียวเถี่ยเฟิงได้

คิดได้เช่นนี้เธอค่อยสบายใจขึ้น กู้จิ้งหันไปศึกษาน้ำมันหอมระเหยของเธอต่อ เห็นว่าระยะนี้มีอ้ายเฉ่าเหลือไม่มากแล้ว เธอจึงคิดจะออกไปเก็บมาเพิ่ม

เดือนสาม ท้องฟ้าสดใส ผืนดินถูกปกคลุมด้วยสีเขียวขจี เสียงนกร้องดังแว่วมาเป็นระยะ ดอกไม้นานาพันธุ์แข่งกันเบ่งบาน ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมฟุ้งของดอกไม้และกลิ่นหอมสดชื่นของต้นหญ้า น้ำในลำธารซึ่งเริ่มละลายไหลเลาะไปตามเส้นทางคดเคี้ยวบนภูเขา ก่อให้เกิดเป็นเสียงที่แสนไพเราะ บางครั้งก็มีนกกระสาเอย นกกระจอกเอย นกนางแอ่นเอยมากินน้ำที่ลำธาร แต่พวกมันก็เพียงเหลือบมองกู้จิ้งแวบหนึ่งแล้วก็ไม่สนใจอีก เห็นได้ชัดว่าไม่กลัวคนสักนิด

กู้จิ้งอารมณ์ดีมาก ความรู้สึกหดหู่เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะเรื่องของเซียวเถี่ยเฟิงเลือนหายไป เธอคิดได้แล้ว

เธอกู้จิ้งเป็นใคร เธอคือต้าเซียน จุดเด่นของต้าเซียนนอกจากมีวิชาแพทย์สูงส่งสามารถช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากแล้วยังมีหนังหน้าที่ค่อนข้างหนา ขอเพียงเซียวเถี่ยเฟิงไม่ไล่เธอไป เธอก็จะเกาะเขาเอาไว้!

เกาะได้วันหนึ่งก็วันหนึ่ง

สรุปแล้วเขาดีต่อเธอ ต่อให้เธอเห็นแก่ตัวสักนิด เขาก็ไม่มีทางโกรธเธอ

อย่างมากก็ฉวยโอกาสรีบอธิบายเสียแต่เนิ่นๆ ถ้าเขายอมรับได้ พวกเขาก็จะรับเด็กๆ หลายๆ คนมาเป็นลูก!

รับเลี้ยงเด็กๆ?