บทที่ 15 Ink Stone_Romance

“เอ๊ะ นี่ผมหลับไปตอนไหนเนี่ย…”

“โธ่ จู่ๆ ก็หลับไปฉันตกใจแทบแย่”

จอห์นขยี้ตาที่แทบจะปิด พลางลุกขึ้น เมื่อดูเวลาก็เกือบจะรุ่งสางแล้ว

ไม่รายงานเรื่องทั้งยังปล่อยให้คฤหาสน์ว่างอีก จอห์นที่รีบลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะออกไปจากร้านขายของชำก็หันไปถามชายชราอีกอย่าง

“อ้อ ไม่ทราบว่าได้เห็นตอนที่มีการบุกเข้าไปในคาสิโนหรือเปล่าครับ”

“ฉันจะไปเห็นอะไรแบบนี้ได้อย่างไรกัน อาจจะเกิดเรื่องขึ้นตอนดึกเลยน่ะ”

“นั่นสินะ… เข้าใจแล้วครับ”

แม้จะเสียดายแต่ก็ไม่มีทางไหนที่จะสืบเรื่องเพิ่มได้อีก จึงออกมาจากร้านขายของชำแล้วตรงกลับไปยังคฤหาสน์

ในช่วงเวลาแบบนี้ยากต่อการจะเรียกรถม้ากลับไปกว่าจอห์นจะถึงคฤหาสน์ก็ล่วงเลยไปจนพระอาทิตย์แล้ว เมื่อกลับไปถึงก็น่าจะโดนเจ้านายลงโทษอีก

ผ่านไปครึ่งวันแต่ก็ไม่สามารถสืบเบาะแสอะไรได้เลย เขามัวแต่กังวลจึงรายงานเรื่องให้อาเรียทราบในตอนเที่ยงวัน

ขณะที่เขากำลังยืนรอรับโทษราวกับฟ้าจะผ่าลงมา แต่สุดท้ายเธอกลับไม่มีคำสั่งลงโทษใดๆ กลับกันหล่อนบอกให้เลิกสืบเรื่องแล้วกลับไปพักผ่อนซะ

“ไม่ต้องโผล่มาจนกว่าฉันจะเรียกก็ได้ ยังไม่ลืมเรื่องที่กำชับไปใช่ไหม”

“ครับ! ไม่ลืมเลยครับ!”

อาเรียกำชับจอห์นว่าห้ามเอ่ยชื่อของตนเด็ดขาด หากถึงเวลาที่ต้องเอ่ยชื่อใครสักคนหนึ่ง ให้อ้างว่าเป็นเลดี้แห่งตระกูลโรสเซนต์เท่านั้น

“แต่จะว่าไป ไม่ได้ข่าวอะไรตอนกลางคืนเลยเหรอ”

“ขอรับ… อยู่ที่ร้านขายของชำทั้งคืน แต่ก็ไม่มีร่องรอยอะไรเลย…”

“….อืม ดี แล้วก็ต่อจากนี้ไม่ต้องโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นอีก ไปตามติดมิเอลซะ”

“หมายถึงเลดี้มิเอลใช่ไหมครับ”

“ใช่ มิเอล”

“…รับทราบครับ”

อาเรียกล่าวขอบคุณพลางหยิบเหรียญทองให้สามสี่เหรียญ จอห์นโค้งหัวสมองทึบของตนอยู่หลายครั้ง

หลังจากห้องนั้นไม่มีใคร อาเรียจึงแสดงสีหน้าไม่พอใจใส่แจกันดอกไม้ที่จัดอยู่ในห้อง

คืนนั้นไวเคานต์ลูฟร์ถูกจับอยู่แถวประตูคาสิโนนี่ เจ้านั่นจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน น่าสมเพชเสียจริง

ถึงเรื่องจริงนั้นจะไม่ได้ประกาศไปทั่ว แม้พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วจอห์นก็ยังไม่กลับมา จึงเรียกพอล ผู้คุ้มกันอีกคนให้ไปสืบข้อมูล

เกือบเที่ยงคืนไวเคานต์ลูฟร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในตู้ผนังโรงแรมก็ถูกจับตัวไป เขาโดนลากไปทั้งแบบนั้น

คิดว่าจะถูกจับได้เสียอีก หรือว่าจอห์นจะโกหกเธอกันแน่นะ หรือไม่ก็เพราะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย

ยังไงก็ตามถึงจะเป็นหมาที่เอาไว้จับจุดอ่อนแต่เอาไว้ใกล้ตัวก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก หมาโง่เขลาเอาไว้ข้างๆ ตัวมิเอลให้แพร่ความโง่ก็คงจะดี ถ้าเกิดโชคช่วยจะมีเรื่องที่ดีกว่านี้แหละ

‘หากเป็นเช่นนั้น จะเลี้ยงไว้ใช้งานแล้วค่อยฆ่าทิ้งทีหลังก็ได้นี่นา’

แม้ว่าระหว่างนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีเหตุผล แต่หลังจากไวเคานต์ลูฟร์ถูกจับได้แล้วอดีตก็น่าจะกลับไปเป็นแบบเดิม

มิเอลยังคงโดนจับตามองอยู่ ส่วนตนนั้นเป็นอิสระ เมื่อโคจรไปถึงยอดเขาแล้วก็ต้องตั้งหลักให้มั่นและหาทางเพื่ออยู่รอด

อาเรียไปหาแม่ของเธอที่ไม่ได้เจอกันนาน ชุดของแม่มีเครื่องประดับวิจิตรเปล่งประกายทั่วร่างกายราวกับเป็นเพชร ตุ๊กตาเซรามิกที่ปั้นหน้ายิ้มภายนอกโดยที่ไม่รู้ว่าตนจะถูกฆ่าเมื่อไหร่

ดูเหมือนว่าจะพอใจที่ท่านเคานต์พาเธอเข้ามาในตระกูลเพื่อช่วยชีวิตไว้ แม่ของเธอแทบจะไม่ได้เจอกับอาเรียเลย ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากเวลาที่รวมตัวกันดื่มชาก็จะใช้เวลาออกไปข้างนอก เพื่อซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับ

แต่ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ไม่ได้เกลียดหล่อนหรือดูถูกอะไร เพราะการใช้ข้อดีของตนเพื่อยกระดับตัวเองขึ้นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้หล่อนมีความสุข

ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะไม่มีผลงานอะไรแต่หล่อนก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาความสามารถของตัวเอง ต่างจากคนทั่วไปที่เมื่อไปถึงเป้าหมายจะหยุดอยู่เฉยๆ ไม่เดินต่อ เพราะฉะนั้นหล่อนคือมืออาชีพทีเดียว นี่คือความดีความชอบที่ควรแก่คำชมเชยอยู่แล้ว

ส่วนลูกสาวตนเองที่ยังไม่ชำนาญการ แต่หากตั้งใจจริงๆ อาเรียก็สามารถทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นี่เป็นดั่งของขวัญให้แก่ผู้เป็นแม่ที่หาเงินมาทั้งหมดลงทุนไปกับการแต่งตัวจึงช่วยให้ตนได้หลุดพ้นจากย่านสลัมได้

เคาน์ติสที่กำลังเปลี่ยนต่างหูอยู่หน้ากระจก ถามอาเรียทั้งที่ไม่หันกลับมามอง

“มีเรื่องอะไรอีก อีกเดี๋ยวจะต้องออกไปแล้ว ไม่มีเวลาแล้วนะ”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยค่ะ หนูอยากให้แม่หาครูสอนพิเศษมาให้สักสามสี่คนคงจะดี”

“ครูสอนพิเศษที่บ้านเหรอ ไหนบอกว่าไม่ชอบนี่ แต่จะว่าไปแล้วพักนี้ลูกดูเปลี่ยนไปนะ”

“ตอนแรกที่เข้ามาใหม่ๆ แนะนำครูสอนพิเศษตัวต่อตัวให้ก็ปฏิเสธยิ่งกว่าอะไร ยังจำได้ว่าลูกบอกไม่อยากเรียนจนลงไปดิ้นกับพื้น”

อย่างไรก็ตาม เพราะการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นครูประจำตระกูลก็ได้มาสอนอาเรียอยู่บ้างไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่เธออวดสิ่งที่ตนได้เรียนรู้มา หล่อนก็โดนมิเอลทำให้อับอายอยู่ทุกครั้ง เธอไม่มีกำลังใจจะพัฒนาการเรียนเพราะได้รับความอับอายมากกว่าความรู้

แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เธอต้องเรียนรู้จึงจะสามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ ต้องสร้างความสัมพันธ์ เพื่อที่จะสามารถหยุดการกระทำของนางนั่นได้

ตอนนี้ที่เธอยังเด็กอยู่ แค่ใช้วิธีการเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้รับการเอ็นดู ให้มาอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้ว แต่หากโตขึ้นดูท่าสถานการณ์จะต่างไปจากตอนนี้

เพราะนอกจากใบหน้าของเธอที่ทุกคนต่างชื่นชมแล้ว อาเรียในอดีตกลับได้รับแต่การดูถูกและเมินเฉยอย่างสิ้นเชิง

หากเป็นผู้หญิงที่มีแค่หน้าตาสะสวย ก็จะถูกปล่อยให้ไปอยู่ในซ่อง หรือถูกด่าว่าเป็นลูกสาวของหญิงโสเภณี มิเอลที่ถูกยกยอว่าเป็นเทวดานางฟ้า ทั้งๆ ที่เธอเองไม่มีอะไรมากไปกว่าความอัปยศในหมู่ชนชั้นสูง

การเชิญมางานเลี้ยงเป็นเพียงการเหลือบมองใบหน้าพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อพูดคุยหรือทำความรู้จักกันจริงๆ

และเมื่อคนมารวมตัวกัน ก็มักมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความอับอายให้แก่คนที่ต่ำกว่าตัวเอง

บางทีหากเป็นเชื้อสายบริสุทธิ์อาจจะไม่รู้ก็ได้ที่จู่ๆ นังแพศยาที่ขึ้นมาอยู่ในตระกูลชั้นสูงแต่กลับได้รับการปฏิบัติต่ำต้อยยิ่งกว่าตอนเป็นคนธรรมดา ตอนนี้จึงพยายามสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างโง่เง่า ถึงแม้จะเล็กน้อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

และยิ่งไปกว่าความรู้แล้ว พวกวรรณกรรมก็ดี แม้จะมีอย่างอื่นที่อยากจะเรียนจริงๆ ก็เถอะ แต่ตอนนี้ยังเรียนไม่ได้ ยังไงซะก็ค่อยๆ เรียนไปก็ยังทัน แต่เรื่องการพัฒนาความสัมพันธ์เห็นทีจะรอช้าไม่ได้

เมื่อก่อนไม่เคยรู้เลย ว่าคนที่คอยหนุนหลังให้มิเอล จะสามารถนำมาเข้าพวกกับตนเองได้ ส่วนใหญ่หล่อนจะจ้างครูประจำตระกูลแล้วค่อยๆ ทำความสนิทสนมกัน

แน่นอนว่าไม่ได้ได้มาด้วยความสามารถของมิเอลเอง ถึงแม้อำนาจของท่านเคานต์จะเยอะแต่อย่างไรก็ตามสิ่งนั้นก็เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นอาเรียเองก็ต้องเตรียมคนคอยหนุนหลังให้ตนเองเช่นกัน

ในตอนแรกเธอคิดว่าจะรับครูสอนพิเศษของมิเอลต่อดีไหม แต่นั่นเป็นความคิดที่โง่เขลายิ่งนัก

ครูประจำตระกูลของมิเอลต่างเป็นที่รู้จักกันในชนชั้นสูง พวกเขาเกิดมาบนกองเงินกองทองเหมือนกับหล่อน คงไม่กล้าเข้าใกล้ตนที่เป็นหญิงร้ายเพราะกลัวว่าเลือดสกปรกจะเลอะตัวพวกเธอเข้า

โดยปกติแล้วเหล่าเคาน์ติสหรือทายาทของพวกนั้น ไม่มีทางเชิญชวนให้อาเรียเข้ากลุ่มก่อนหรอก ดังนั้นอาเรียที่ยังไม่รู้แม้แต่การทักทายอย่างถูกต้อง จึงไม่สามารถสนทนากับพวกเธอได้เลย

ไม่มีใครอยากจะมีปฏิสัมพันธ์กับอาเรียที่มีสถานะต่ำต้อยเลย มากไปกว่านั้นอาเรียเองก็รู้อนาคตอยู่แล้ว ข้อมูลใดๆ จากพวกเขาที่มีอำนาจอยู่แล้วจึงดูไม่สำคัญอะไรเลย

‘หรือบางทีแม้จะอยากได้รับข้อมูลจากพวกเขา แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เป็นกลุ่มที่เข้าถึงยากอยู่ดี’

แทนที่จะทำเช่นนั้น เอาพวกถูกผลักไสมาอยู่ฝั่งเดียวกับตนยังดีซะกว่า แม้พวกเขาจะต้องการอำนาจและมีความทะเยอทะยาน แต่การทำตัวเป็นราชินีของคนพวกนั้นก็ดูจะทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้

อย่างไรเสียคนที่อยู่รอดก็จะจัดแจงตัวเองเข้าวงโคจรมาเองเหมือนกับซาร่าอย่างไรล่ะ

‘แน่นอน ซาร่าน่ะ กลายเป็นมาร์เชอเนสด้วยความสามารถของเธอเอง ฉันน่ะต้องการคนแบบเธอที่สุด’

และอาเรียก็รู้จักคนแบบนั้นเป็นอย่างดีอยู่แล้ว คนส่วนใหญ่ที่มีเงินแต่ไม่มีพวกพ้อง คนที่เจอในปาร์ตี้ก็เป็นคนจำพวกนั้นอยู่ไม่น้อยเลย เพราะฉะนั้นพวกนั้นถึงได้เกาะติดกับพวกหล่อนที่มีดีแค่ใบหน้าอย่างไรล่ะ

ท่ามกลางคนพวกนั้น อาเรียกลับนึกถึงชายผู้หนึ่งที่รักตัวตนของอาเรียอย่างจริงๆ  มองข้ามผ่านหน้ากากจอมปลอม ทุ่มเททุกอย่างให้และสามารถหนุนหลังตนได้ไม่เลวด้วย

เพราะแม้เขาจะเป็นทายาทของครอบครัวจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแต่งงานของพวกขุนนางชั้นสูงได้ แต่สีหน้าที่เสียดายของเขาก็ยังคงชัดเจนอยู่

ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่ก็ยังเอาที่ดินสองสามแห่งและส่วนแบ่งธุรกิจมาให้อยู่เสมอ

อาเรียเขียนรายชื่อสามคนนั้นที่นึกขึ้นได้ ใส่โน้ตกระดาษส่งให้แม่ของเธอ แม่เธอมองชื่อในกระดาษนั้นสลับกับใบหน้าของอาเรีย เป็นสีหน้าราวกับถามว่า จะใช้ครูประจำตระกูลของพวกนี้จริงเหรอ

“ซาร่า ลูกสาวของไวเคานต์ลอเรนก็เป็นเช่นนั้นด้วย ช่างไม่มีวิสัยทัศน์เสียเลย เหตุใดถึงได้เป็นพวกไร้ประโยชน์เหมือนกันไปเสียหมด”

“ถึงอย่างนั้น ก็จะใช้อาจารย์สอนร่วมกับมิเอลไม่ได้งั้นหรือ”

“เท่าที่รู้สามคนนี้ไม่มีความรู้มากพอที่จะเป็นอาจารย์ประจำตระกูลนะ”

ทั้งสามคนในฐานะที่เป็นอย่างที่เธอพูด ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมาก ต่างจากตระกูลชนชั้นสูงทั่วไป เพียงแค่เป็นภริยาของไวเคานต์สองคนและท่านเคานต์อีกหนึ่ง

แต่ทว่าอาเรียหวังความรู้ที่มากกว่านั้น แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่หล่อนสามารถเลือกได้

เพียงแค่รู้หน้าค่าตา ก็ทำให้พูดคุยกันได้อย่างราบรื่น งั้นก็แค่ไปที่คฤหาสน์นั่งคุยกันก็ได้นี่

สิ่งที่หล่อนหวังอีกอย่างหนึ่งคือขอเพียงแค่ได้พบกับชายทั้งสามคนที่หล่อนเคยพบในงาน หลังจากนั้นก็แค่ว่าจ้างอาจารย์ที่พอจะมีความสามารถมาสอนเธอเท่านั้น

“ลูกพอใจก็ดีแล้ว”

ที่จริงแล้วไปเที่ยวตามหาก็ยิ่งยุ่งยากอีก

ไวเคาน์ติส นำกระดาษโน้ตของอาเรียส่งให้ข้ารับใช้ของหล่อน ราวกับหมายความว่าจดหมายนั้นได้รับการตีตราเรียบร้อยแล้ว

หล่อนจัดการทุกเรื่องของไวเคาน์ติสเช่นนั้นเสมอมา แม้จะไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่หล่อนต้องแบกหน้ารับ ทั้งการออกไปซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับเพราะงานมีขอบเขตของมัน และเนื่องจากงานนี้ไม่ใช่งานที่ยากอะไร หล่อนจึงออกจากห้องไปทันที

เป็นเรื่องดีของอาเรีย ที่ได้พบกับไวเคานน์ติสที่ทั้งฉลาดและมีไหวพริบ ที่พวกเธอได้พบกันก่อนหน้านี้เป็นเพราะไวเคาน์ติสไวท์นั่นไง

“ยินดีที่ได้พบท่าน ฉันเซลลีน ภรรยาของท่านไวเคานต์ไวท์ค่ะ”

หญิงที่ไม่มีอะไรโดดเด่น ดูธรรมดา จะเป็นอาจารย์สอนความรู้ของอาเรีย

เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของบารอน ว่ากันว่าเธอใช้ชีวิตอย่างปกติธรรมดาอย่างคนทั่วไปจนกระทั่งได้แต่งงาน

หลังจากนั้นหล่อนก็ได้ลิ้มรสของการขึ้นตำแหน่งจากการแต่งงาน ถึงจะมีจุดต่างกันเล็กน้อยแต่ก็คล้ายกันกับเคาน์ติสแม่ของอาเรีย

‘แม่ของเธอหวังจะให้เธอได้แต่งงานกับชนชั้นสูง มีฐานะดีๆ อย่างไรล่ะ’

เธอพูดกับอาเรียราวกับเป็นคำติดปาก ซึ่งคำนั้นอาฟอนบุตรชายของเธอที่เมาสุราจนพูดไม่รู้ความเคยกระซิบข้างหูอาเรียตอนนั้น แต่ทว่าเรื่องที่เขาจะแต่งงานกับเธอจะทำได้อย่างไรกัน

ท่านแม่ก็หวังอยากจะให้ตามใจท่าน จึงร้องขอกับเธอเหมือนกับแม่ของตนไม่มีผิด นั่นทำให้อาเรียอดหัวเราะออกมาไม่ได้

แม้จะไม่ได้เลื่อนขั้น ดูเหมือนว่าบารอนหวังจะให้ภรรยาคอยหนุนหลังตน แน่นอนว่าการที่ท่านเคานต์ทอดทิ้งอาเรีย อาฟอนก็เลยได้แต่งงานกับบุตรสาวของไวเคานต์แทน

เพราะฉะนั้นเขาต้องโปรดปรานอาเรียอย่างแน่นอน ไม่ว่าข่าวลือจะเป็นอย่างไร เธอก็เป็นบุตรสาวของบารอน และมีแม่คอยบงการชีวิต

สิ่งที่ว่ามาทั้งหมดคือเหยื่อที่ดีสำหรับเธอเลยล่ะ เพราะเธอกำลังมองหาคู่แต่งงานที่ดีให้กับลูกชาย

อาเรียจับชายกระโปรงพร้อมย่อเข่าลง โค้งคำนับอย่างสง่างาม ไม่เหมือนข่าวลือที่ว่าแต่อย่างใด

ถึงแม้จะมียศที่สูงกว่าก็นอบน้อม นี่คือว่าที่ภรรยาในแบบที่ไวเคาน์ติสตามหา

ทันทีที่เห็น เธอปรับสีหน้าพร้อมทั้งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“หนูฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

ต่อไปก็เตรียมพร้อมที่จะเป็นของเล่นในกำมือของฉันหรือยังล่ะ

ใบหน้าของอาเรียที่ส่งยิ้มไปให้ไวเคาน์ติสไวท์ไม่มีเงาแม้แต่เสี้ยวเดียว

………………………………………….