ในเดือนแห่งสายลมร้อน เดือนที่แปดของปี สภาพอากาศในนครอัลิลินหรืออัลโต้จะร้อนระอุ ราวกับว่าอากาศกำลังลุกเป็นไฟ อย่างไรก็ตาม ในเมืองเล็กๆ ที่วุ่นวายที่ตั้งขวางทวีปและเต็มไปด้วยอาคารลักษณะแปลกตาจากประเทศต่างๆ สายลมยังพัดเย็นและอ่อนโยนราวกับอากาศในเดือนแห่งชีวิต (มีนาคม)

ที่นี่คือเมืองเซกรู ตั้งอยู่ลึกเข้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของดินแดนตอนเหนือ ‘เมืองหลบภัยฝั่งตะวันออก’ เมืองนี้ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่สุดลูกหูลูกตาจำนวนนับไม่ถ้วน

เนื่องจากกลุ่ม ‘กระท่อมแห่งพาล์เมรา’ ของสภาเวทมนตร์ควบคุมเมืองที่ดูวุ่นวายเหล่านี้จำนวนมากตลอดชายฝั่งช่องแคบสตอร์ม อำนาจของกลุ่มยังมีอิทธิพลไปไกลถึงดินแดนตอนเหนืออันไกลโพ้น กระท่อมแห่งพาล์เมราได้ขับไล่เผ่าต่างๆ ของออร์ค คนแคระ และโทรล และสร้างเมืองขึ้นหลายเมือง ฉะนั้น ผู้คนต่างเข้าใจว่าดินแดนตอนเหนืออันไกลโพ้นทั้งหมดเป็นดินแดนของกระท่อมแห่งพาล์เมรา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของสภาเวทมนตร์

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากดินแดนตอนเหนือมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งประกอบไปด้วยพื้นที่ตั้งแต่มณฑลทางตะวันตกเฉียงเหนือของจักรวรรดิชาชราน ไปจนถึงท่าเรือมินทัค ทางตะวันตกที่ปราศจากน้ำแข็ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับปากแม่น้ำที่จะไหลลงสู่ ‘มหาสมุทรไร้พรมแดน’ ไปจนถึงดินแดนฝั่งตะวันออก ‘ป้อมปราการอัคคี’ ของจักรวรรดิชาชรานและตอนใต้ของช่องแคบสตอร์ม และดินแดนขั้วโลกทางเหนือที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกเป็นเวลาหกเดือน สภาเวทมนตร์และกลุ่มกระท่อมแห่งพาล์เมรา สามารถปกครองได้เพียงดินแดนฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น และลึกเข้าไปบนแผ่นดินใหญ่เป็นที่อยู่ของพวกโทรล ออร์ค มนุษย์หิมะ และนักเวทโบราณที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งใช้ชีวิตอยู่อาศัยอย่างโดดเดี่ยว

ด้วยทำเลทองของเมืองเซกรู ซึ่งตั้งอยู่จุดเชื่อมต่อของป่าบรรพกาลอันกว้างใหญ่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจักรวรรดิชาชราน และพื้นที่ตรงกลางของชายฝั่งดินแดนตอนเหนือ ซึ่งอำนาจของศาสนจักรและสภาเวทมนตร์ต่างดูเชิงกันอยู่ เมืองเซกรูจึงกลายเป็นสถานที่ซึ่งไม่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของทั้งสองฝ่าย พวกขุนนางชนชั้นสูงจำนวนมากอพยพมาจากจักรวรรดิชาชราน และพวกที่เคยต้องโทษก็ค่อยๆ มารวมตัวกันที่นี่และสร้างเมืองขึ้นมา พร้อมทั้งมีคฤหาสน์หลายหลังรอบเมือง ฉะนั้น เมืองเซกรูจึงเป็นที่รู้จักในชื่อของ ‘อีสต์เฮเวน ’

แม้ประชากรกลุ่มแรกๆ ของเมืองนี้ได้ตั้งระเบียบและกฎหมายขึ้นมา ขณะที่ต้องต่อสู้กับอสูรกาย เช่น โทรล และลักลอบค้าสิ่งผิดกฎหมาย แต่อำนาจซึ่งมาจากเวทมนตร์หรือดาบยังเป็นกฎหมายสูงสุดของดินแดนตอนเหนืออันไกลโพ้นแห่งนี้

ถึงขนาดมีคำกล่าวไว้ว่า ‘กฎแห่งเวทมนตร์และคมดาบ คือกฎหมายของดินแดนตอนเหนืออันไกลโพ้น’

เนื่องจากเป็นที่รู้จักในเรื่องการลักลอบขนสินค้า เมืองเซกรูเป็นเป้าหมายปลายทางของพ่อค้าวาณิชผู้โหยหาเงินทองและนักผจญภัยจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการแสวงหาทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่ ฉะนั้น เมืองนี้จึงดูวุ่นวายและมั่งคั่งรุ่งเรือง แน่นอน พ่อค้าส่วนใหญ่ที่นี่ต่างมีทหารรับจ้างมากประสบการณ์คอยดูแล มิฉะนั้น พวกพ่อค้าอาจถูกสังหารได้ทุกเวลา และศพของพวกเขาจะถูกทิ้งไว้ในป่าเพื่อเป็นอาหารของสัตว์ร้าย

ตอนนั้นเอง ลูเซียนกำลังนึกสงสัยเรื่องถนนเส้นสำคัญต่างๆ ในเมืองเซกรู จุดหมายปลายทางของเขาคือกระท่อมไม้ข้างหน้า ตามข้อมูลที่ได้รับจากสภาเวทมนตร์ในกระท่อมไม้แห่งนี้ ลูเซียนจะพบกับองค์กรหน่วยข่าวกรองที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพในเมืองนี้

ลูเซียนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว และเสื้อสูทกระดุมสองแถวทรงยาว หมวกทรงสูง และแว่นตาข้างเดียว ซึ่งทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยและดูดีมีเสน่ห์ แต่เขายังดูไม่น่าเกรงขามพอที่นี่ในอีสต์เฮเวน อันโหดร้ายแห่งนี้ บนถนนเส้นนั้น ในสายตาผู้คนมากมายที่จับจ้อง ลูเซียนเป็นเป้าหมายชั้นเลิศ และพวกเขากำลังคิดหาวิธีที่จะฉวยโอกาสเหมาะๆ ในการลักพาตัวลูเซียนเรียกค่าไถ่

“ดูเจ้านั่นแต่งตัวสิ… เราน่าจะทำเงินจากมันได้มากโขทีเดียว” ชายร่างใหญ่สองค์นกำลังคุยกันอยู่ “ถึงแม้ถ้ามันจนจริงๆ… แต่ดูหน้ามันสิ… เรายังขายมันให้กับพวกขุนนางได้ คนพวกนั้นชอบของเล่นดีๆ แบบนี้!”

“อย่ารีบร้อน อย่าทำอะไรก่อนที่เจ้าจะรู้ข้อมูลมากพอ” ชายอีกคนตอบ “มันกล้ามาที่นี่คนเดียว มันต้องระวังตัวอยู่แล้ว พวกไม่มีสมองตายที่นี่มาเยอะแล้ว เพราะชอบตัดสินคนจากรูปร่างภายนอก”

พวกที่ยังมีชีวิตอยู่ในเมืองนี้ได้ต้องไม่ใช่พวกไร้สมอง ในทางกลับกัน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างระวังตัวแจ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่สามารถยืนยันได้ว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายที่สมควรลงมือ พวกเขาจะแสดงด้านมืดที่สุดของมนุษย์ออกมา

ก่อนที่ลูเซียนจะเดินทางออกจากเมืองอัลลิน เขาซื้อน้ำยาเวทมนตร์ อุปกรณ์ ทอง และเวทมนตร์ที่ชื่อว่า ‘กระท่อมนักเวท’ และเขาก็ยังมียาวิเศษที่เรียกว่า ‘น้ำยาล้างเลือด’ ซึ่งช่วยในการเยียวยาการบาดเจ็บของวิญญาณที่เกิดจาก ‘น้ำยาวิญญาณครวญ’ ตอนนี้ พลังของลูเซียนเกือบเทียบเท่าระดับของอัศวินตัวจริงแล้ว ฉะนั้น เขาจึงได้ยินบทสนทนาระหว่างชายร่างใหญ่สองค์นนี้ได้โดยไม่ต้องใช้พลังวิญญาณแม้แต่น้อย ลูเซียนส่ายหน้าเบาๆ และยิ้มออกมา “เหลือเชื่อจริงๆ… อีสต์เฮเวน”

อย่างไรก็ตาม ยาวิเศษจากสภาเวทมนตร์สามารถช่วยพัฒนาพลังจาก ‘พร’ ได้เพียงเท่านี้ เนื่องจากตั้งแต่ระดับหลังจากนี้ไป ความศรัทธาของแต่ละคนในฐานะอัศวินจะมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการ และนั่นไม่ใช่หนทางของลูเซียน

แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินอะไร ลูเซียนยังคงเดินไปบนถนนอย่างสุขุม ไม่นาน เขาก็มาถึงหน้ากระท่อมที่มีรูปดอกคาร์มีเลียอยู่ด้านหน้า

“ห้ามเด็กเข้า” ขณะลูเซียนกำลังเดินเข้าไปในกระท่อม ชายตัวใหญ่ร่างกายกำยำที่ยืนอยู่ด้านข้างประตูยื่นมือขวาออกมาขวางและหยุดเขาไว้

ระหว่างที่พูด เขาเบ่งกล้ามภายใต้ผิวสีคล้ำเจตนาแสดงพลังให้เห็น

ลูเซียนไม่ได้หัวเสียแต่อย่างใด แต่ถามกลับไป “ถ้าอย่างนั้น คนประเภทไหนกันถึงเข้าไปได้?”

ชายร่างใหญ่พ่นลมหายใจออกทางจมูกเสียงดังและชี้ไปที่แผ่นป้ายที่ประตู ด้านข้างของรูปดอกคาร์มีเลีย ป้ายตรงประตูเขียนด้วยตัวอักษรภาษาชาชรานและภาษาสามัญ “เงิน หรือพลัง”

 ลูเซียนยิ้มและพยักหน้า “อ๋อหรือ”

ทันใดนั้น ชายตัวใหญ่ร่างกายกำยำคนนี้ก็โค้งคำนับลูเซียน และกล่าวกับเขาด้วยความเคารพ “ท่านขอรับ เชิญเข้าไปด้านในขอรับ… เชิญเข้าไปข้างใน… ข้ามีตาหามีแววไม่ ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยขอรับ”

แล้วทันใดนั้น ชายคนนี้ก็ตบหน้าตัวเองเข้าอย่างจัง

เมื่อเห็นชายร่างใหญ่เดินนำชายหนุ่มเข้ามาในกระท่อมด้วยความเคารพอย่างสูง องครักษ์คนอื่นๆ รอบกระท่อมไม้ต่างก็พากันตกใจ

“โทนี่… ถูกสะกดจิตหรือไง?” ชายอีกคนหนึ่งพูดพึมพำ เขาคิดว่าภาพที่เห็นตรงหน้าน่าขนลุกเหลือเกิน เพียงชั่วอึดใจ เขาก็ตระหนักได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้อาจเป็นนักเวทตัวจริง ว่าแล้วเขาก็รีบหันกลับและวิ่งเข้าไปในกระท่อมไม้เพื่อรายงาน

โจรลักพาตัวสองค์นที่สะกดรอยตามลูเซียนมาต่างก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก และรู้สึกว่าโชคดีแค่ไหนที่ไม่ลงมือทำอะไรโง่ๆ ทั้งสองค์นรู้ว่านักเวทที่สามารถร่ายอาคมโดยไม่ก่อคลื่นพลังเวทมนตร์อันยุ่งเหยิงย่อมไม่ใช่นักเวทระดับธรรมดา ขนาดนักเวทชั้นอาวุโสโบราณใน ‘อีสต์เฮเวน ’ แห่งนี้บางคนยังไม่สามารถทำได้!

อันที่จริง ‘เวทลวงใจคน’ ซึ่งลูเซียนพัฒนาขึ้นมา เป็นที่รู้กันดีว่าจะสร้างคลื่นพลังเวทมนตร์ออกมาน้อยมาก และในฐานะนักเวทระดับสาม ลูเซียนสามารถร่ายอาคมบทนี้อย่างไร้ที่ติ และผู้ที่ระดับพลังยังห่างไกลกับพลังระดับอัศวินจะไม่มีทางสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังเวทมนตร์ที่แผ่ออกมาในปริมาณน้อยมากนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากพวกเขาไม่มีแม้กระทั่งอุปกรณ์เวทมนตร์หรืออุปกรณ์เทพ!

กระท่อมไม้หลังนี้มีขนาดกลางเล็กกลางใหญ่ แบ่งออกเป็นซุ้มเล็กๆ หลายซุ้ม มีผู้คนมากหน้าหลายตากำลังขายข่าวอยู่ในซุ้มเหล่านั้น และบรรยากาศโดยรวมดูเงียบสงบและปลอดภัย

โทนี่นำลูเซียนเดินไปยังบันไดด้วยอากัปกิริยาแบบคนไร้สติ ตรงหน้าบันได มีชายอ้วนสองค์นพร้อมดาบยืนประจำการอยู่

หลังของโทนี่ยังคงโค้งงอคำนับ หลังจากชำเลืองมองลูเซียนด้วยความเคารพ เขาก็พูดกับองครักษ์ทั้งสอง “ท่านนี้คือแขกคนสำคัญของท่านกูซอน”

ลูเซียนได้แต่ยิ้มและไม่พูดอะไร

“ข้าไม่เห็นรู้มาก่อน ข้าต้องคุยกลับท่านกูซอนก่อน” องครักษ์พูดกับทั้งสองและกำลังจะเดินขึ้นบันได

ทันทีที่เขาหันไป โทนี่ซัดกำปั้นขวาของเขาเข้าที่องครักษ์อีกคน

เมื่อองครักษ์ที่ยืนบนบันไดกำลังจะใช้ดาบเล่นงานโทนี่ อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเกิดอาการมึนงงอย่างหนัก ก่อนที่จะมีรอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า “ข้าต้องขออภัยอย่างสูงขอรับ ข้ามันหน้าโง่ กล้าดีอย่างไรไปขวางทางท่าน ได้โปรด กรุณาตามข้ามาขอรับ ข้าจะพาท่านไปพบกับท่านกูซอน”

ลูเซียนดันแว่นตาข้างเดียวขึ้นเบาๆ และพยักหน้า เขารู้ว่าระดับพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้สามารถควบคุมคนพร้อมกันได้เพียงสามคนเท่านั้น

“ท่านกูซอน มีคนร้าย!” องครักษ์อีกคนบนชั้นสองซึ่งเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านล่าง ตะโกนออกมา

กูซอนเดินออกมาจากห้องพร้อมกับคาบซิการ์ตัวใหญ่อยู่ในปาก ด้วยเสื้อนอกทรงยาวสีดำที่สวมอยู่ เขามองลงไปด้านล่างด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยอย่างยิ่ง ตามมาด้วยองครักษ์คนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดเกราะสีดำทั้งตัว

“ท่านกูซอน ข้ามาที่นี่เพราะต้องการข่าว” ลูเซียนมองขึ้นไปและยิ้มให้

“ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า เจ้าบุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต” กูซอนมีท่าทางโมโหโทโส “จับตัวมัน!”

แม้ว่ากูซอนมี ‘พร’ ที่ปลุกจากน้ำยาวิเศษและเขาก็มีอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ใช้งานได้ดี แต่เขาตัดสินใจใช้อัศวินดำสองนายที่เขาจ้างมาด้วยราคาสูง

นอกจากนี้ ชายหนุ่มที่อยู่ด้านล่างก็ดูผอมแห้งและไม่ได้น่าเกรงขามแต่อย่างใด เขาคิดไปถึงขั้นว่าชายหนุ่มผู้นี้อาจถูกส่งมาจากคู่แข่งทางการค้าเพื่อสังหารเขา ฉะนั้น เขาจะไม่ยอมให้ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้เขาเด็ดขาด

ในมุมๆ หนึ่ง เงาดำร่างหนึ่งกระโดดออกมาและพุ่งเข้าใส่ลูเซียน ขณะเดียวกัน ร่างของอัศวินเกราะดำคนดังกล่าวก็พองตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วอัศวินดำก็ทะยานลงบันไดพุ่งเข้าหาลูเซียนด้วยค้อนขนาดใหญ่ที่มีไฟลุกท่วม

ขณะที่องครักษ์คนอื่นๆ ล้อมกรอบลูเซียนอย่างรวดเร็ว

กูซอนยืนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านล่างพร้อมคาบซิการ์อยู่ในปาก อย่างไรก็ตาม หลังจากคลื่นพลังเวทมนตร์ลูกแรกถูกปล่อยออกมา อัศวินดำระดับสองของเขาก็ลงไปกองกับพื้น ขณะที่อัศวินอีกนายหนึ่งก็มีสภาพไม่ต่างกัน อันที่จริง อัศวินนายนี้วิ่งทะลุกำแพงเตลิดเปิดเปิงหนีไป ทิ้งรูโหว่ขนาดใหญ่ไว้ให้ดูต่างหน้า

ส่วนองครักษ์คนอื่นๆ ต่างก็กองอยู่บนพื้น บริเวณรอบเป้ากางเกง เปียกปอนไปด้วยปัสสาวะที่ราดออกมา

หลังจากร่ายเวทมนตร์ระดับสอง ‘เวทความกลัว’ ลูเซียนก็ค่อยๆ เดินขึ้นบันไดโดยมือทั้งสองข้างล้วงอยู่ในกระเป๋า และยิ้มออกมา “เราจะคุยกันได้หรือยัง ท่านกูซอน?”

“แน่… แน่นอน” ฟันของกูซอนขบกันเสียงดัง

ในอีสต์เฮเวน แห่งนี้ ลูเซียนก็ทำตามกฎของเมือง กล่าวคือ เงิน หรือพลัง นั่นเป็นทางออกที่ดีที่สุด

แม้ว่าพลังเวทมนตร์ของลูเซียนยังไม่ได้สูงส่งมากนักในเมืองอัลลิน แต่อันที่จริง นักเวทระดับกลางคนหนึ่งสามารถปกครองเมืองเล็กๆ สักเมืองได้สบาย แม้แต่ในสถานที่ที่วุ่นวายเช่นเมืองหลับภัยตะวันออกแห่งนี้ พวกอันธพาลส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น

รองเท้าหนังของลูเซียนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดขณะย่ำบนขั้นบันได และเขาพูดออกมาช้าๆ “ท่านกูซอน ข้าต้องการคนนำทาง คนนำทางที่สามารถนำข้าเดินทางผ่านจักรวรรดิชาชราน”

แม้ว่าการบินผ่านเขตแดนไม่ใช่เรื่องยาก แต่การบินผ่านนางฟ้าจักรวรรดิทั้งหมดต้องใช้เวลาและพลังงานมาก และหากลูเซียนประมาทขึ้นมาเมื่อไร ‘ศาสนจักรฝ่ายเหนือ’ อาจตรวจพบได้โดยง่ายและจะไล่ล่าเขา ดังนั้น ลูเซียนจำเป็นต้องสร้างตัวตนปลอมขึ้นมาและมีคนนำทางสมบทบาทพ่อบ้านของเขา

………………………