แม้ว่านางจะโดนเรียกไปตักเตือนสักครึ่งชั่วยามหรือชั่วยาม ก็หาได้ถึงแก่ความตายไม่ อย่างมาก ชื่อเสียงของนางก็อาจจะย่ำแย่ไปบ้าง ในเมื่อชื่อเสียงของนางย่ำแย่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นางจักต้องมาหวาดกลัวเพียงเพราะโดนเรียกไปตักเตือนด้วยหรือ น่าขันยิ่งนัก
บางทีการถูกเรียกไปตักเตือนนับว่าเป็นเรื่องที่ดีเสียด้วยซ้ำ บางทีการทำเรื่องให้ใหญ่โตนั้น อาจจะทำให้เรื่องของซีหลิงเหยาหวาและตงหลิงจื่อซุนหลุดลอยออกมาบ้างก็ได้
ทุกคนล้วนแต่มีแผนการเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง แม้ว่าเรื่องพวกนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น เนื่องจากว่าเป็นการทำให้ทั้งตงหลิงและซีหลิงเสียหน้าเป็นอย่างมาก แต่ทว่า ทางหนานหลิงและเป่ยหลิงเองคงจะมีความสุขน่าดู หากเรื่องนี้ถูกเปิดโปงออกมาเมื่อใด ทั้งซูหว่านและเป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนคงมีความสุขมากนัก
ยามที่องครักษ์ได้รับคำสั่งมากจากเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น ก็มิได้เกิดความลังเลใจใด ๆ อีก พลางชักดาบออกมาจากฝักในทันที “หลีกไป ผู้ใดขัดขวาง ผู้นั้นตาย”
ไอเย็นที่แผ่กระจายออกมานั้น ทำให้ชาวบ้านที่มองดูสถานการณ์โดยรอบนั้น ต่างตกตะลึงไปในทันที พร้อมทั้งค่อย ๆ ถอยออกมาในทันที
ผู้คนในยุคโบราณนั้น ไม่ต้องการที่จะปะทะกับเจ้าหน้าที่มากนัก ถึงแม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมิได้มีตำแหน่งในทางการไม่ อีกทั้งนางที่เป็นบุตรีจวนขุนนางเช่นนี้ ราษฎรพวกนั้นย่อมไม่กล้าทำอะไรกับนางได้
ชาวบ้านน้อยใหญ่ที่ชื่นชอบเรื่องราวของผู้คนนั้น แต่ก็เป็นกลุ่มที่กลัวตายมากที่สุดเช่นกัน ยามที่องครักษ์ชักดาบออกมานั้น พวกเขาก็พลันหนีไปโดยไว ผู้ที่เหลืออยู่ก็ค่อย ๆ ถอยห่างออกมา เพื่อจะเปิดทางให้กับองครักษ์ ทว่า
กลุ่มขอทานที่เป็นคนก่อเรื่องหาได้เชื่อฟังไม่ พร้อมทั้งทุบชามที่อยู่ในมือของตนไปมา ป่าวประกาศว่า “ฆ่าคน ฆ่าคนแล้ว คุณหนูเฟิ่งทนความอับอายไม่ไหว จึงเกิดความโมโห ฆ่าคนกลางถนนใหญ่เช่นนี้ บุตรีจวนขุนนางรังแกราษฎรตัวน้อย ๆ แล้ว”
แต่เดิมองครักษ์พวกนี้ยังคงมีความลังเลใจอยู่บ้าง พวกเขามิคิดเลยว่า เขาจะโดนราษฎรธรรมดาทำร้ายเช่นนี้ ยามที่เห็นกลุ่มขอทานเริ่มจะก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมานั้น ความอดทนบนฟางเส้นสุดท้ายพลันขาดสะบั้นไปในทันที พลางยกดาบก้าวไปด้านหน้า เพื่อจัดการลงดาบไปที่ขอทานที่อยู่ตรงหน้าในทันที
“ผลัก!” เลือดพลันสาดกระเซ็น ขอทานได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนพื้นดิน ขอทานคนอื่น ๆ ที่ยังมิได้สตินั้น ก็พลันถูกองครักษ์เตะออกมานอกวงล้อมในทันที
ตี๋ตงหมิงให้องครักษ์พวกนี้มาให้นางนั้น พวกเขาหาใช่ทหารใหม่ที่ไม่รู้เรื่องไม่ ล้วนแต่เป็นทหารที่ผ่านสนามรบมาแล้วทั้งนั้น ยามที่เห็นเลือดสาดกระเซ็นนั้น ไอสังหารของดาบพลันแผ่กระจายออกมาในทันที พลันทำเอาราษฎรธรรมที่ได้เห็นเหตุการณ์ ถึงกับหวาดกลัวจนปล่อยของเสียออกมาเลอะกางเกงในทันที
องครักษ์ของเฟิ่งชิงเฉินหาใช่คนใจอ่อนไม่ ก่อนหน้านั้นที่พวกเขาลังเลใจ นั้นเป็นเพราะ พวกเขาไม่ต้องการลงดาบของตนไปที่ราษฎรตงหลิง แต่ในยามนี้เห็นได้ชัดว่า พวกขอทานกลุ่มนี้แตกต่างจากชาวบ้านธรรมดา
ถึงแม้ว่าพวกเขาในยามนี้มิได้ยินอยู่บนสนามรบ แต่ผู้ใดที่ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามของนายของตน ล้วนแต่เป็นศัตรูสำหรับเขา การใจอ่อนให้กับศัตรู นั่นถือเป็นการทำร้ายตนเอง ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่มีท่าทียั้งแรงเช่นนั้น พวกองครักษ์เองก็ไม่จำเป็นต้องออมแรงให้กับพวกเขาเช่นกัน
แต่เดิม ขอทานพวกนี้เพียงคิดองครักษ์จะยกดาบขึ้นมาข่มขู่พวกเขาเฉย ๆ ไม่คิดว่าองครักษ์พวกนี้จะลงมือจริง ๆ ในยามนี้ นัยน์ตาของทุกคนพลันแดงก่ำไปในทันที ยามที่กำลังหวาดกลัวพร้อมทั้งเตรียมจะหลบหนีนั้น ไม่รู้ว่ามีผู้ใดตะโกนออกมาเสียงดังว่า
“บุตรีของจวนขุนนางภักดีถูกคนล่อลวงออกไปก่อนงานสมรสของตน ในยามนี้ ยังมาปฏิบัติตนราวกับพวกเราเป็นคนโง่เง่า อยากฆ่าก็ฆ่า ทั้งยังกดขี่ข่มเหงพวกเราอีก พวกเรามีคนมากกว่านางนัก หากพวกเราต่อสู้กับนาง นางจักกล้าทำอะไรได้
คนชนชั้นสูงพวกนี้กินดีอยู่ดียิ่งนัก ผิดกับพวกเราที่ต้องอดมื้อกินมื้อ ทั้งยังต้องทนกับความหนาวเย็นในยามกลางคืนอีก ฆ่านาง ฆ่านางเสีย พวกที่ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเช่นนี้ ”
ยามที่ประโยคนี้ถูกพูดขึ้นนั้น ราวกับว่าดึงด้านมืดของในใจผู้คนออกมาในทันที อีกทั้งไม่มีราษฎรคนใดไม่รู้สึกไม่อิจฉาเหล่าคนชนชั้นสูงพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ไม่มีเหล่าขอทานคนใดจะไม่โกรธเกลียดพวกขุนนางเหล่านี้ที่เหยียบย่ำพวกเขาอยู่ พวกเขาวาดฝันมานานแล้วว่า หากตนเองได้เป็นใหญ่สักครั้ง หากในมือของตนเองมีอำนาจสักครั้ง มันจะมีความรู้สึกเช่นไรกัน
แต่เดิม พวกเขาไม่มีความกล้าที่จะไปยั่วยุเหล่าขุนนางพวกนี้ไม่ หากแต่ในวันนี้ พวกพ้องของเขามีมากกว่าฝ่ายตรงข้ามนัก พวกเขาจะไปกลัวทำไมกัน
ยามที่ถูกคนพูดปลุกใจเช่นนี้ เมื่อถูกคนชักจูง จนทำให้พวกเขาก่อเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ หากโดนจับได้เมื่อใด ย่อมมีแต่หนทางตายที่รออยู่ตรงหน้าอย่างแน่นอน หากให้พวกเขาก่อเรื่องต่อไป เขาก็ไม่กลัวสิ่งใดแล้ว
“สู้กับพวกเขาเสีย”
“พูดถูก เหตุใดพวกเขาได้กินดีอยู่ดี แต่พวกเราต้องอดมื้อกินมื้อด้วยเล่า”
หลังจากที่ถูกยั่วยุแล้วนั้น พวกเหล่าขอทานที่เตรียมจะหนีไปในคราแรกนั้น พลันพุ่งเข้ามาในทันที ราวกับปลาที่กำลังดิ้นหนียามที่ถูกตาข่ายดักได้ในทันที
คำพูดเช่นนี้ จะเป็นคำพูดของเหล่าขอทานพวกนั้นไปได้อย่างไรกัน เฟิ่งชิงเฉินที่นั่งอยู่ภายในรถม้า ได้แต่ส่งยิ้มอย่างเย็นชาออกมา ยามที่พวกเหล่าขอทานพุ่งตัวเข้ามานั้น เฟิ่งชิงเฉินพลันออกคำสั่งในทันที
“ยังมัวตกตะลึงอันใดกัน ยังมิยอมลงมืออีก หรือว่าพวกเจ้าจะรอให้พวกขอทานเหล่านั้นเข้ามาฆ่าข้า พวกเจ้าถึงจะลงมือได้เล่า” เฟิ่งชิงเฉินพลันออกคำสั่งด้วยความเย็นชา
นางรู้ดีว่าข่าวลือพวกนี้คงมิพูดถึงเรื่องดีมากนัก ฉะนั้นแล้ว ยามที่ออกจากจวน นางจึงตั้งใจนำองครักษ์ออกติดตามมาด้วยมากกว่าปกติ ถึงแม้ว่าพวกองครักษ์จะมีเพียงสิบหกนาย ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นปัญหาต่อการต่อกรกับเหล้าราษฎรธรรมดา
ในเมื่อต้องการก่อเรื่องให้วุ่นวาย เช่นนั้นนางก็จะทำให้เรื่องนี้ใหญ่ขึ้นไปอีก ถึงอย่างไรผู้ที่จะโดนหางเลขในเรื่องนี้ ย่อมไม่ใช่นางอย่างแน่นอน
“จำไว้ ห้ามปล่อยให้เล็ดลอดไปได้สักคนโดยเด็ดขาด”
“ขอรับ” ในยามนี้ เหล่าองครักษ์ไม่มีคำว่าออมมืออีกต่อไป พร้อมทั้งสั่งกระจายคนออกเป็นสองกลุ่ม องครักษ์อีกแปดนายคอยคุ้มครองรถม้ากับเฟิ่งชิงเฉิน อีกแปดนายนำกำลังไปปราบเหล่าขอทานเหล่าในนั้นทันที พร้อมทั้งมุ่งเข้าไปล้อมรอบเหล่าพวกขอทานเอาไว้ พร้อมทั้งจัดการตัดหัวเหล่าขอทานพวกนั้นทีละคน หากวิ่งหนีไปก็จักโดนไล่ฆ่าทีละคน
การใช้แผนล้อมคนนั้น แม้ว่าในวันนี้พวกเขาจักมีน้อยกว่า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจัดการเหล่าขอทานพวกนี้
ถึงแม้ว่าองครักษ์ของเฟิ่งชิงเฉินจะมีฝีมือเป็นเลิศ แต่ทว่า ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังคนที่มากกว่านัก มีพวกขอทานบางคนที่สามารถปีนขึ้นมาบนรถม้าได้แล้ว พร้อมทั้งพยายามที่จะเปิดประตูรถม้าออกมา แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะเปิดประตูม้าเช่นไร
เฟิ่งชิงเฉินหาได้มีท่าทีรีบร้อนไม่ พลางนั่งอยู่ภายในรถม้ามิได้ขยับไปที่ใด ยามที่รถม้าเกิดการสั่นไหวนั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงมองไปยังสาวใช้ทั้งสอง พร้อมกล่าวคำพูดประชดประชันออกมาว่า “อะไรกัน ? พวกเจ้าสองคนยังไม่คิดลงมืออีกหรือ หรือว่าต้องรอเจ้านายของพวกเจ้าลงมือก่อนกัน จะรอให้ข้ามาปกป้องพวกเจ้างั้นหรือ?”
“คุณหนู? พวกเรา” สีหน้าของสาวใช้ทั้งสองพลันซีดเผือดไปในทันที พลางหันไปสบตากันเอง พร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามและความกังวลมากมาย
คุณหนูรู้ได้อย่างไรว่าพวกนางเป็นวรยุทธ์กัน พวกนางเก็บความลับเอาไว้เป็นอย่างดีแท้ ๆ
“ลงมือเสีย อย่าได้โทษข้า หากข้าจะขายพวกเจ้าทิ้ง อย่าได้ลืมว่าสัญญาขายตัวของพวกเจ้าอยู่ในมือของข้า ข้าจะขายพวกเจ้าหรือฆ่าพวกเจ้าก็ย่อมได้ ตระกูลหวังก็ไม่อาจยื่นมือเข้ามาก้าวก่ายอันใดได้เช่นกัน” นางมิพูดไม่ได้หมายความว่านางโง่ เพียงแค่รู้สึกว่า พวกนางมิได้เป็นอันตรายต่อตนเองแต่อย่างใด
หลังจากเรื่องของเสด็จอาเก้านั้น เฟิ่งชิงเฉินถึงได้เข้าใจถึงสิ่งที่มิได้เป็นอันตรายต่อนาง ขอเพียงแค่ไม่ได้ไปแตะต้องผลประโยชน์ของฝ่ายตรงข้าม สิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุดในยามนี้ มีเพียงตนเองเท่านั้น
“เพคะ” สาวใช้ทั้งสองมิกล้าถามถึงสิ่งใดอีก ทั้งยังมิกล้าสงสัยสิ่งใด พลันดึงอะไรบางอย่างออกมาจากเอวของพวกนางในทันที มันก็คือแส้
“ผลัวะ”
เมื่อดึงแส้ออกมาแล้วนั้น ขอทานที่เพิ่งปีนขึ้นมาบนรถม้า ก็พลันถูกโยนออกไปในทันที สาวใช้ทั้งสองพลันกระโดดลงจากรถม้า พร้อมเข้าร่วมการต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าในทันที
ทั้งเสียงฟาดฟัน เสียงร้องโหยหวน เสียงฝีเท้าที่วิ่งหนี เสียงกรีดร้องขอความชั่วเหลือและเสียงร่ำไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว ต่างก็ลอยเข้าสู่หูของเฟิ่งชิงเฉินในทันที เฟิ่งชิงเฉินเพียงทำทีเป็นไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งนั้น นางเพียงแค่นั่งนิ่ง ๆ อยู่บนรถม้าเท่านั้น
นางรู้ดีว่าจะต้องมีคนใช้ประโยชน์จากข่าวลือในยามนี้แน่ เพื่อที่จะต้องการเหยียบย่ำนางให้จมดิน มิให้ได้โงหัวขึ้นมาเชิดหน้าชูตาได้อีก แต่นางไม่คิดเลยว่า พวกเขาจะใช้วิธีที่น่ารังเกียจและเลวร้ายเช่นนี้ได้
เรียกใช้เหล่าขอทานให้มาก่อกวนนาง เพื่อให้นางถูกเหล่าขอทานพวกนี้ ทำให้อับอายขายหน้าแล้วเป็นอย่างไร?
ฮ่าฮ่าฮ่า ย่อมต้องกลายเป็นเรื่องขบขันไปทั่ว นางเฟิ่งชิงเฉินต้องตกเป็นหัวข้อที่ทำให้ผู้คนพูดจาดูถูกเอาได้ ทั้งยังกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านอีก หากว่าเกิดเรื่องบังเอิญที่ทำให้นางต้องตกจากรถม้า แล้วโดนเหล่าขอทานพวกนั้นรุมทึ่งฉีกอาภรณ์ออกมาเล่า เช่นนั้นเฟิ่งชิงเฉินย่อมต้องถูกทำให้อับอายมากกว่ากลายเป็นเรื่องตลกของผู้คนเสียอีก
ฝ่าบาทย่อมไม่มีวันสนับสนุนนาง นางผู้ที่ทำให้ตงหลิงขายหน่้า ทั้งยังตกเป็นหัวข้อให้ชาวเมืองพูดถึงความไร้ยางอายของตนเองเช่นนี้
หากรู้ว่านางเกือบที่จะได้เป็นสะใภ้ของราชวงศ์ตงหลิงนั้น ในคราก่อนฝ่าบาทปล่อยนางไป นั่นมิได้หมายความว่า ในครานี้ฝ่าบาทจะปล่อยนางไปอีกเช่นกัน เนื่องจากว่าในครานี้ นางทำให้ตงหลิงต้องขายหน้าต่อผู้คนอีกสามแคว้น
มีเจตนาที่เลวร้ายอะไรเช่นนี้!
แต่น่าเสียดายนัก ที่คนพวกนั้นไม่อาจทำตามเป้าหมายของตนเองได้ นางมิเคยเป็นคนใจอ่อน ผู้ที่อยู่เบื้องหลังในครานี้ คงมิคิดว่า เฟิ่งชิงเฉินจะกล้าสั่งฆ่าคนกลางถนนใหญ่เช่นนี้กระมัง?
ถ้าหากพวกเขาคิดได้ คงไม่ใช้ตัวไร้ประโยชน์พวกนี้มาก่อกวนนางอย่างแน่นอน กลุ่มขอทานร้อยกว่าคนในวันนี้ มีเพียงผู้นำเหล่าขอทานไม่กี่คนเท่านั้น ที่พยายามชักนำพวกเขาให้มีความเลือดร้อนและเข้ามาทำร้ายนาง กล่าวหาว่านางมีใจเหยียดหยามพวกเขา ช่างเป็นวิธีการที่ไร้เดียงสายิ่งนัก
ยามที่อยู่ต่อหน้านายทหารพวกนี้นั้น อารมณ์เลือดร้อนต่าง ๆ ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก คนพวกนี้หาได้จำเป็นต้องมาโดนทุบตีไม่ หากต้องการลงมือจริง ๆ ละก็ มีเพียงต้องฆ่าพวกเขาเท่านั้น ถึงจะสามารถควบคุมได้
ผ่านไปไม่นาน รถม้าที่อยู่รอบด้านก็กลายเป็นทะเลเลือดไปในทันที บนพื้นดินมีศพหลายรายนอนกองพะเนินอยู่ ราษฎรที่คอยดูอยู่ห่าง ๆ นั้น ต่างพากันถอยกรูไปตั้งแต่แรกแล้ว ร้านรวงมากมายต่างพากันเก็บของปิดร้านในทันที มีเพียงคนที่ใจกล้าเท่านั้น ถึงได้แอบมองดูสถานการณ์อยู่ไกล ๆ
เฟิ่งชิงเฉินเคาะบนรถม้า เพื่อนับเวลาอยู่ภายในใจอย่างเงียบ ๆ
เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมานั้น ท่านผู้ราชการมณฑล ผู้ตรวจการซุ่นเทียนฟู่และตี๋ตงหมิงที่คอยดูแลความสงบสุขของเมืองหลวง หาได้มีผู้ใดมาไม่ ดูเหมือนว่า
เรื่องราวในวันนี้ คงมีคนไม่น้อยที่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกระมัง
“ตงหลิงจื่อลั่วอา ตงหลิงจื่อลั่ว เจ้าเกลียดข้ามากเพียงใด ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเรื่องของซีหลิงเหยาหวาเป็นฝีมือของเสด็จอาเก้า แต่เจ้ากลับเอาอารมณ์ทุกอย่างมากลงที่ข้า เจ้าช่างเป็นลูกพลับนิ่มเสียจริง” เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ความรักของบุรุษในบางครั้งก็ดูโหดร้ายยิ่งนัก อย่างน้อยตงหลิงจื่อลั่วก็กระทำการโหดเหี้ยมกับนาง
มิใช่ว่านางดูเบาเขา แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมา นางย่อมต้องนึกถึงเขาเป็นคนแรก มีไม่กี่คนเท่านั้น ที่จะสามารถทำให้ผู้ว่ามณฑลและผู้ตรวจการซุ่นเทียนฟู่กับตี๋ตงหมิงไม่อาจสอดมือเข้ามายุ่งได้ และหนึ่งในไม่กี่คนนั้น มีเพียงตงหลิงจื่อลั่วที่มีอคติความแค้นต่อนาง
เสมือนกับละครหลังข่าวยิ่งนัก ที่ตำรวจมักจะมาในยามที่ผู้ร้ายสิ้นใจไปแล้ว พวกเขาถึงได้มาถึงที่เกิดเหตุ ขุนนางในตงหลิงก็เป็นเช่นกัน เมื่อยามที่พวกขอทานตายไปได้มากกว่าครึ่งหนึ่งแล้วนั้น เจ้าพวกขุนนางก็เดินทางมาถึงในทันที ทั่วหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อมากมาย หากพวกคนโง่ที่ได้มาเห็น คงจะคิดว่าพวกเขารีบวิ่งมาช่วยเหลือราษฎรกระมัง
เมื่อเจ้าพวกขุนนางพวกนี้เห็นองครักษ์ของเฟิ่งชิงเฉินกระทำการฆ่าคนต่อหน้าต่อตานั้น ทุกคนพลันหวาดกลัวแข้งขาสั่นกันจนหมด
พระเจ้าช่วย เรื่องนี้มันขัดกับเหตุการณ์ในความคิดของพวกเขายิ่งนัก ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินกล้าฆ่าคนเช่นนี้ นางหาญกล้ามาจากที่ใดกัน? เรื่องนี้พวกเขาต้องจัดการเช่นไรดีเล่า?
ทุกคนล้วนแต่หยุดชะงักไปในทันที เมื่อได้มาเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ยามที่กำลังลังเลว่าควรจะก้าวไปหาหรือว่าถอยหลังกลับไปหารือวิธีมารับมือกับเหตุการณ์นั้น เรื่องนี้มันมิเหมือนกับที่พวกเขาได้คุยกันเอาไว้เลย พวกเขาถูกเรียกให้มาเก็บกวาดสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าไม่ผิดนัก ทว่า มิใช่เหตุการณ์เช่นนี้สิ
“คุณหนูเจ้าคะ พวกเจ้าหน้าที่มาถึงแล้ว” สาวใช้ที่ฉลาดเฉลียว เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็รับมาบอกกับเฟิ่งชิงเฉินในทันที เพื่อให้นางเตรียมการรับมือล่วงหน้า
“รีบลงมือเร็ว ๆ เสีย อย่าได้ปล่อยให้หลุดออกไปได้สักคนเดียว หากผู้ใดยังไม่ตายก็แทงเข้าไปอีกครั้ง” เฟิ่งชิงเฉินออกคำสั่งอย่างไร้ใจยิ่งนัก
ในเมื่อลงมือแล้ว ก็ต้องไม่เหลือพยานเอาไว้ให้ชี้ตัวมาถึงตนเองได้ เมื่อถึงเวลา นางเพียงแค่บอกว่าเป็นการชุลมุนของเหล่าราษฎรก็พอแล้ว เนื่องจากว่าคนตายล้วนไม่สามารถชี้ตัวมาที่นางได้ทั้งนั้น
“เพคะ” สาวใช้ทั้งสองพลันเข้าใจในความหมายของเฟิ่งชิงเฉินในทันที อีกทั้งองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง พร้อมทั้งกระหน่ำแทงพวกขอทานเข้าไปอีกหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้ถึงแก่ชีวิต
หากไม่ฆ่าพวกเขาแล้วไซร้ ผู้ที่จะถึงคราวซวยก็คือพวกนางเอง!
ถึงผู้อ่านทุกท่าน : ไรเตอร์ไม่ได้อยากจะทำร้ายเฟิ่งชิงเฉินกับเสด็จอาเก้าเลย ไรเตอร์เองก็อยากจะให้พวกเขาไปได้ด้วยดีเหมือนกัน แต่เส้นเรื่องในช่วงนี้ ต้องเน้นย้ำไปที่เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเมืองหลวงเสียส่วนมาก ไรเตอร์จะพยายามเคลียร์เหตุการณ์พวกนี้ให้จบไว ๆ เพื่อที่จะได้ให้คู่พระนางได้ทำความเข้าใจกันสักทีนะ