คิดมาถึงตรงนี้ เทาเท่ก็รู้สึกไม่ดี
ใบหน้าเคร่งครึ้มหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาจอห์นให้ส่งคนไปตามดูหลินจือกับจอร์แดน
แม้ว่าเขาจะเชื่อว่าความสัมพันธ์ของหลินจือกับจอร์แดนจะบริสุทธิ์ แต่เขาก็ทนเห็นหลินจือกับจอร์แดนอยู่ด้วยกันตามลำพังไม่ได้
หลินจือพาจอร์แดนไปกินอาหารเช้าก่อนที่เขตเก่าที่เธออยู่ตอนเด็กๆ
คนทั้งสองกินข้าว หลินจือพลางพูดไปด้วยว่า “ตอนเด็กหนูก็อาศัยอยู่แถวนี้ค่ะ ตอนนั้นก็ธรรมดาๆ หลังจากที่ได้เข้าชั้นประถมชาร์ลีก็มีเงิน พวกเราก็ย้ายไปอยู่ที่บ้าน รุ่งโรจน์อยู่ได้ไม่กี่ปีเขาก็ได้รับผลกระทบจากการเล่นพนันรวมไปถึงอะไรต่างๆ ธุรกิจของบริษัทยิ่งเลวร้ายลงไปทุกขณะ จนกระทั่งสุดท้ายรายได้ไม่พอกับรายจ่ายก็ล้มละลายปิดกิจการไป”
ชาร์ลีทำเกี่ยวกับก่อสร้าง ทุกครั้งที่รับเหมาโครงการนึงทำกำไรเยอะมาก
ตอนที่รุ่งโรจน์เขาอยู่ที่เมืองเจสเวิร์ดก็พอมีชื่อเสียงเกียรติยศอยู่บ้าง แต่ลาภยศก็นำพาความเสพสุขให้เขาในขณะเดียวกัน ก็นำพาสิ่งล่อลวงที่ไม่มีที่สิ้นสุดให้เขาเหมือนกัน
เห็นได้ชัดว่าชาร์ลีทนต่อสิ่งล่อลวงนั้นไม่ได้ พ่ายแพ้อย่างราบคาบ
แต่หลังจากที่เขาได้พ่ายแพ้แล้วก็ไม่ได้รับบทเรียน กลับเคยชินกับการใช้ชีวิตที่สำมะเลเทเมาด้วยซ้ำ และเปลี่ยนเป็นคนละคนทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา
เขาพูดว่าเขาอุ้มเธอไปนอนที่เตียงของเทาเท่เพื่อให้เธอสมหวัง อันที่จริงเป็นเพราะเทาเท่มีอำนาจมีอิทธิพล เขาแบล็คเมล์เพื่อให้ได้เงินก้อนโตได้
จอร์แดนเม้มปากเงียบ เขาถามเธออย่างรู้สึกเจ็บปวดใจว่า “เขาได้ตีหนูหรือเปล่า?”
“อันนี้ไม่มีเลย” หลินจือตอบตามจริง “ตอนเด็กๆมีแม่หนูปกป้อง เขาไม่กล้าตี อย่างมากก็แค่ด่าเลี้ยงเสียข้าวสุก ให้เขาเสียเงิน”
“ต่อมาหนูก็โตขึ้น เขาก็ตีไม่ได้แล้วค่ะ”
จากที่ได้ยินหลินจือบรรยายสองสามประโยค จอร์แดนก็เห็นภาพว่าชีวิตวัยเด็กเธอเป็นยังไง
แต่จะว่าไปเขาต้องขอบคุณภรรยาของชาร์ลีจริงๆ ถ้าไม่มีเธอที่รับเลี้ยงหลินจือด้วยความรักและเมตตา ถ้าไม่ใช่การดูแลหลินจือด้วยจิตใจที่มีเมตตาไม่ทอดทิ้งหลินจือ ตอนนี้ลูกสาวของเขายังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง
หลินจือเห็นว่าจอร์แดนจิตใจหนักหน่วง ก็ให้รีบยิ้มแล้วพูดปลอบเขาว่า “มันก็ผ่านมาแล้ว หนูก็ต้องขอบคุณอดีตเหล่านี้ มันทำให้หนูแข็งแกร่งขึ้นค่ะ”
จอร์แดนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จแล้วหลินจือก็พาจอร์แดนไปที่ที่เธอเคยเรียนหนังสือ ตั้งแต่ประถมถึงมหาลัย ถือโอกาสแนะนำคะแนนของตัวเองให้จอร์แดนฟัง
จอร์แดนได้ฟังใบหน้าก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ พรสวรรค์ทางด้านภาษาที่อยู่ในร่างของเขาได้ถ่ายทอดมายังเธอ นี่เป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิและชื่นชมที่สุด
จริงๆหลินจือก็ให้สงสัยนักว่าทำไมจอร์แดนถึงอยากเห็นชีวิตในอดีตของเธอ แต่เธอก็คิดอีกว่าจอร์แดนอาจจะอยากที่กระชับความสัมพันธ์ ก็เลยไม่ได้คิดอะไร
ช่วงบ่ายหลินจือไปส่งจอร์แดนที่โรงแรม ส่วนเธอก็กลับบ้าน
คนทั้งสองพักเอาแรงเพราะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงคืนนี้
จอร์แดนเพิ่งกลับถึงห้องก็ได้รับสายของเทาเท่
จอร์แดนให้สงสัยอยู่ลึกๆว่าเทาเท่ส่งให้มาจับตาดูเขาและหลินจือแน่ ไม่งั้นทำไมเขาถึงเลือกโทรมาเวลานี้ที่เขาได้แยกกับหลินจือพอดี
นี่เป็นเมืองเจสเวิร์ด อาณาบริเวณของเทาเท่ บางทีเทาเท่อาจจะส่งคนมาตามจริงก็ได้
เทาเท่ที่อยู่ปลายสายพูดเชื้อเชิญจอร์แดนอย่างสุภาพว่า “คุณจอร์แดนครับ งานเลี้ยงคืนนี้พวกเราไปด้วยกันเพื่อไปโปรโมทละครใหม่ของพวกเรา”
แม้เพียงแค่เพิ่งแน่ชัดว่าจะร่วมงานกัน แต่งานโปรโมทเริ่มได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย
เงินทุนของฟอเรนาบวกกับความสามารถทางด้านประพันธ์และชื่อเสียงของจอร์แดน ละครนี้ต้องดังทั้งๆที่ยังไม่ได้ถ่ายแน่
จอร์แดนไม่สนใจคำเชิญของเทาเท พูดกลับด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า “งานแสดงความยินดีอะไรแบบนี้ ท่านประธานเทาเท่ควรที่มีหญิงสาวข้างกายไม่ใช่หรอครับ?”
เทาเท่หัวเราะขึ้น “สาวที่ผมต้องการคงไม่ออกงานกับผมด้วย ผมก็เลยมาหาคุณ”
เมื่อไหร่ที่หลินจือออกงานต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ได้ นั่นเขาก็ได้ทำถูกทำนองคลองธรรมแล้ว
ไม่รอให้จอร์แดนพูดอะไร เทาเท่ก็พูดอีกว่า “ผมรู้ว่าในใจคุณอยากที่จะยกเลิกสัญญา ผมก็รู้ว่าคุณไม่เสียดายเงินที่ยกเลิกสัญญานั่น แต่ผมอยากที่จะเตือนคุณไว้สักอย่าง หนังสือเล่มนี้คุณร่วมมือกับผม เป้าหมายสุดท้ายของพวกเราคือความสำเร็จของหลินจือนะครับ”
เทาเท่พูดอย่างนี้ ก็ทำให้จอร์แดนไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจอีก
จอร์แดนคิดว่าเทาเท่พูดถูก เป้าหมายเดียวกันของพวกเขาคือเพื่อความสำเร็จของหลินจือ
ที่เทาเท่เลือกทำแบบนี้เพราะหนึ่งก็เพื่อโปรโมทละครใหม่ สองคือเพื่อให้มีโอกาสพูดคุยกับเทาเท่อย่างใกล้ชิด
คุยว่าจอร์แดนดีกับหลินจืออย่างนี้ เพื่ออะไรกันแน่
เทาเท่ยังมีเจตนาส่วนตัวที่สำคัญอีก นั่นก็คือเขาอยู่กับจอร์แดน หลินจือต้องมาทักทายจอร์แดนแน่ แล้วก็ต้องมาอยู่ที่หน้าของเขา
ไม่งั้นแล้วเธอคงไม่สนใจเขาตลอดทั้งคืน ครั้งที่แล้วเขาดื่มเหล้าของเธอ แม้ว่าเขาจะส่งเครื่องใช้สำหรับรับประทานอาหารแล้วยังแถมด้วยแก้วmugนั้นอีก แต่หลินจือตอบกลับเขาอย่างไม่ยินดียินร้ายว่าขอบคุณ
หลังจากที่หลินจือกลับบ้านก็เตรียมงานสำหรับงานเลี้ยงคืนนี้ เธอไปเลือกชุดด้วยกันกับนานิ
แต่ไหนแต่ไรมานานิเดินสายแต่งตัวเข้ากับยุคสมัยและโดดเด่น ดังนั้นสีชุดที่เธอเลือกต่างละลานตา
หลินจือคิดแต่เลือกชุดสีดำและเป็นเพราะว่าครั้งนี้ต้องใส่เครื่องประดับหยกที่คุณย่าตระกูลแม็กซิมัสมอบให้ ดังนั้นหลินจือเลยเลือกชุดกี่เพ้าจีนสีดำให้เข้ากับสร้อยคอหยกนั้น สวยแบบมีระดับและดูแพง
เครื่องประดับหยกนั้นหลินจือเคยให้นานิดู ตอนนั้นนานิปิดปากกรี๊ด
“ฉันบอกอะไรเธอให้นะ แต่ก่อนฉันเคยเข้าร่วมงานประมูล เหมือนเคยเห็นต่างหูเขียวของคุณย่าคู่นี้” นานิพูดด้วยความสนใจแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเทียบภาพจากอินเทอร์เน็ต
ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้หลินจือกับนานิตะลึง เครื่องประดับนี้ไม่ใช่ว่าตอนแรกจะเป็นเซ็ตมาเลย แต่เป็นทีละชิ้นๆถูกรวมเข้าด้วยกัน
ต่างหูหยกคู่นี้ก็ถูกประมูลในงานประมูลด้วยราคาที่สูง สร้อยคอหยกนั้นก็แทบเป็นสิ่งล้ำค่าไปเลย งานประมูลในปีนั้นต่างก็กระตุ้นให้คนตกใจ ต่อมาก็ถูกบุคคลลึกลับประมูลไว้ได้ แล้วก็เงียบหายไป
คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนของตระกูลแม็กซิมัสประมูลไป ตอนนี้มาอยู่ในมือของหลินจือแล้ว
กำไลหยกยังมีแหวนตัดเหลี่ยม ทุกๆชิ้นหรูหราราคาแพง
หลินจือเลือกที่จะใส่แค่สร้อยคอเส้นเดียว ก็เพราะว่าไม่อยากฝืนใส่เครื่องประดับแวววาวหลายชิ้น
นานิช่วยหลินจือเลือกชุดได้แล้ว ก็หาอย่างอื่นเพื่อมาลองว่าเข้ากับสร้อยคอหยกนั้นไหม
หลังจากที่ดูแล้วนานิก็ถอนหายใจว่า “ใส่แค่สร้อยคอก็พอแล้ว ออร่าของเธอเหมาะที่จะดูแพงแบบเรียบๆ”
นานิทั้งร่างกลับเต็มไปด้วยเพรชพลอย สวยน่าดึงดูด ทำให้คนที่มองมานั้นแสบตา
คนทั้งสองนั่งรถตู้ของนานิไปงานเลี้ยงที่โรงแรม ระหว่างทางนานิได้พูดว่า “คืนนี้เป็นงานเลี้ยงของกลุ่มภาพยนตร์และโทรทัศน์ ซูซีต้องไปร่วมงานด้วยแน่”
“อืม” หลินจือตอบ เธอคิดถึงจุดนี้อยู่แล้ว แต่ว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรมาก
ตอนนี้ซูซีก่อตั้งบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ของตัวเอง งานแบบนี้ต้องเข้าร่วมแน่
นานิพูดอย่างกังวลว่า “ฉันกลัวจริงๆว่ามันจะมาหาเรื่องเธอ ทำไมคนบางคนต่ำช้าขนาดนี้นะ”
คืนนี้หลินจือสวยมาก สร้อยคอเส้นนั้นเพิ่มเสน่ห์ให้กับเธอไม่น้อย ซูซีได้เห็นคงยากที่จะไม่โกรธ