ไป๋อวิ่นเฉิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีทางเป็นไปได้อยู่ จึงพยักหน้าตามแล้วกล่าวว่า “ฮูหยินกล่าวได้ถูกต้อง ระยะนี้เจ้าก็พักผ่อนให้มากเถิด ไม่ต้องกังวลอะไร เรื่องของพระชายานั้นเดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“เช่นนั้นก็รบกวนนายท่านแล้ว” ไป๋ฮูหยินกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาที่หลุบต่ำลงเจือแววอาฆาตแค้น
ข่าวคราวที่กองทัพตระกูลม่อบุกยึดเมืองหลวงเพิ่งจะแพร่สะพัดไปถึงต้าฉู่ได้ไม่นาน ก็มีข่าวของม่อซิวเหยาที่เกือบจะใช้เลือดล้างเหล่าขุนนางที่มีอำนาจของซีหลิงแพร่ต่อมาอีก ยามที่เหลยเจิ้นถิงที่นำทัพบูรพามุ่งหน้าลงใต้ได้ยินข่าว เขายังไม่ทันตั้งสติจากข่าวที่เมืองหลวงถูกบูกโจมตีจนสูญเสียเมืองหลวงอย่างรวดเร็วได้ ก็มีอีกข่าวที่สะเทือนใจยิ่งกว่ามาถึงอีกแล้ว ทำเอาเขามึนลงงไปหมด ต้องรู้ก่อนว่า ในเมื่อเขาละทิ้งหนทางกลับสู่ตะวันตกแล้ว เช่นนั้นการที่จะเสียเมืองหลวงไปก็แทบจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว ถึงแม้เหลยเจิ้นถิงจะคาดไม่ถึงว่าจะรวดเร็วเพียงนี้ แต่ก็ยังถือว่าพอเตรียมใจไว้บ้าง ส่วนเรื่องที่ม่อซิวเหยาจัดการขุนนางที่มีอำนาจของเมืองหลวงได้อย่างโหดร้ายและรวดเร็วหมดจดนั้นกลับเป็นสิ่งที่เหลยเจิ้นถิงไม่เคยคาดคิดมาก่อน ดังนั้นแล้วเส้นสายเครือข่ายลับที่เหลยเจิ้นถิงติดต่อมานานหลายปีหรือแม้กระทั่งบรรดาคนในครอบครัวของนายทหารชั้นสูงที่อยู่ในมือเขาล้วนต้องทนทุกข์ทรมาน เหล่าบรรดาหลานชายหลานสาวของเขาที่รวมอยู่ในนั้นด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึง พอได้ยินข่าวนี้เข้าเหลยเจิ้นถิงก็โมโหจนลมแทบจับ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวรอดไรฟันออกมาไม่กี่คำว่า “ม่อซิวเหยา…”
“ท่านอ๋อง!” องครักษ์ข้างกายรีบมาพยุงเขาไว้ เหลยเจิ้นถิงยกมือขึ้นปิดปาก เลือดสีแดงสดไหลทะลักผ่านง่ามนิ้วออกมา
“ท่านอ๋อง โปรดรักษาร่างกายด้วยเถิด!” ผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างตระหนกตกใจ ไม่มีเวลาจะมาโกรธเกรี้ยวเสียใจ รีบเข้าไปดูเหลยเจิ้นถิง แม้ว่าเส้นทางที่พวกเขาเดินนั้นยังนับว่าราบรื่นอยู่บ้าง ซ้ำยังครอบครองแผ่นดินของต้าฉู่ได้ไม่น้อย ทว่าเนื่องด้วยการแทรกแซงของมู่หรงเซิ่น พวกเขาจึงยึดครองพื้นที่ทางใต้ทั้งหมดไม่ได้ก่อนที่ม่อจิ่งหลีจะอพยพลงได้ตาที่คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้า ยามนี้สถานการณ์ในต้าฉู่เรียกได้ว่าวุ่นวายปั่นป่วนไปหมด ทางตอนใต้ของแม่น้ำอวิ๋นหลันลงไปส่วนใหญ่ล้วนเป็นของม่อจิ่งหลีไปแล้ว ส่วนที่เหลือยู่น้อยนิดนี้ถูกพวกเขาชิงยึดครองมาไว้ได้ก่อน ส่วนดินแดนทางตอนเหนือของแม่น้ำอวิ๋นหลันขึ้นไปนั้นถูกกองทัพใหญ่ของซีหลิงควบคุมอยู่ แต่เบื้องหลังของพวกเขากลับเป็นกองทหารของมู่หรงเซิ่นที่เพิ่งขึ้นเหนือไป แม้ว่าจะมีกำลังพลเพียงสองแสนนายแต่กลับนำความยุ่งยากมาให้พวกเขาที่กำลังลงใต้อย่างต่อเนื่องไม่น้อย ส่วนทางซีหนานยังมีกองกำลังของหลี่ว์ซ่งเสียนอีกหนึ่งแสนนาย ทางซีเป่ยเป็นดินแดนของกองทัพตระกูลม่อ ขึ้นไปทางเหนืออีกเป็นความไม่สงบสุขระหว่างทหารรักษาการณ์ของต้าฉู่ที่เหลือกับแคว้นเป่ยหรงและเป่ยจิ้ง เรียกได้ว่าตอนนี้ดินแดนของต้าฉู่ผืนนี้ล้วนไม่สงบสุขไปทั่วทุกหย่อมหญ้า และในยามนี้เจิ้นหนานอ๋องก็ไม่อาจเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ได้อีกแล้ว
เหลยเจิ้นหลีปรับอารมณ์ให้คงที่ กดความคาวที่ตีขึ้นมาในลำคอกลับลงไป ดันองครักษ์ที่กำลังประครองตนออกแล้วกล่าวเสียงหนักว่า “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด”
ทุกคนมองใบหน้าเขียวปั๊ดของเหลยเจิ้นถิง สุดท้ายก็กล่าวลาออกจากห้องหนังสือไป
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ครู่ใหญ่ทีเดียวจึงมีเสียงของเหลยเจิ้นถิงดังขึ้นในห้องหนังสือแห่งนี้ บุรุษที่มาส่งข่าวก่อนหน้านี้สีหน้าดูไม่ดีนัก เขาเอ่ยเสียงขรึมเล่าเรื่องราวทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงแห่งซีหลิงในช่วงหลายวันที่ผ่านมาโดยละเอียด ตั้งแต่การปรากฏตัวของสวีชิงปั๋วที่เมืองหลวงจนถึงฮ่องเต้ซีหลิงยอมออกจากเมืองหลวงซีหลิงไปด้วยองค์เอง รวมถึงเรื่องพระชายาติ้งถูกลอบสังหารจนติ้งอ๋องโกรธกริ้วและทำให้เกิดเหตุนองเลือดไปทั้งตระกูล
“โง่เง่า!” ฟังรายงานจากบุรุษผู้นั้นจบ เหลยเจิ้นถิงก็สบถออกมาสองคำ เสียงหอบหายใจค่อยๆ หนักมากขึ้นเรื่อยๆ “ไอ้คนโง่เง่า! ปีนั้นข้าน่าจะกำจัดทิ้งไปเสีย! เหตุใดเขาจึงไม่ตรองดูสักนิด…เหตุใดจึงไม่คิดให้ดีเสียหน่อย คนที่ตายเหล่านั้นไม่เพียงแต่เป็นคนที่ข้าไว้ใจ แต่ยังเป็นกองกำลังทหารของซีหลิงอีกด้วย! คนพวกนี้ล้วนถูกม่อซิวเหยาฆ่าตายจนหมดแล้ว เขาคงจะแอบดีใจอยู่เงียบๆ กระมัง เหตุใดจึงไม่ไตร่ตรองดูบ้างว่าหากคนพวกนี้ตายหมดจริง แล้วซีหลิง…เขาคนเดียวจะมีปัญญามาปกครองซีหลิงหรือ!?” น้ำเสียงเหลยเจิ้นถิงสูงขึ้นเรื่อยๆ เห็นชัดว่าโกรธเกรี้ยวจนเหลือคณาแล้ว ที่เหลยเจิ้นถิงกล่าวมานั้นถูกต้องอย่างยิ่ง แม้คนที่ถูกฆ่าตายล้วนเป็นคนของเหลยเจิ้นถิง แต่ก็ควรจะรู้ว่าเหลยเจิ้นถิงนั้นควบคุมดูแลด้านการเมืองของราชสำนักมาเป็นสิบปี คนที่มีความสามารถในราชสำนักนั้นมีกี่คนกันที่ไม่ใช่คนของเขา พอถูกม่อซิวเหยาฆ่าตายไปหมดเช่นนี้ ที่เหลืออยู่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาพื้นๆ ไร้ความสามารถอะไร ต่อให้ฮ่องเต้ซีหลิงจะย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองอัน แต่เขาก็ไม่มีประสบการณ์ในการปกครองดูแลเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังพาคนธรรมดาไร้ความสามารถไปด้วยอีก จะเป็นเช่นไรก็มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่จะรู้ได้
“หึๆ ม่อซิวเหยาตัวดี วิธีการก็ดี แผนการในใจก็ดี!” เหลยเจิ้นถิงยิ้มเย็นออกมา
พอได้ระบายโทสะออกไปบ้างแล้ว เหลยเจิ้นถิงก็กลับมาสงบได้อย่างรวดเร็ว ซ้ำยังมองจุดที่ผิดปกติออกได้อย่างว่องไว สายตาคมเข้มหรี่ลงเล็กน้อย กล่าวเสียงหนักว่า “ข้าจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อใดกันที่ออกคำสั่งให้ลอบสังหารพระชายาติ้งอ๋อง เป็นผู้ใดกันที่ออกคำสั่งนี้”
บุรุษผู้นั้นก็งงงวยเช่นกัน เขาแค่ถูกเจิ้นหนานอ๋องส่งเข้าไปแทรกซึมยังเมืองหลวงโดยไม่ให้สะดุดหูสะดุดตาใครเท่านั้น ยามปกติแล้วมักจะรับผิดชอบแค่เพียงเรื่องข่าวคราวทั่วไป ดังนั้นพอหนีรอดจากเคราะห์ร้ายของตำหนักติ้งอ๋องครานี้มาได้ จึงรีบมารายงานเรื่องนี้ให้เหลยเจิ้นถิงฟังทันที แต่ทว่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ตัวเขาเองก็ไม่รู้ เพราะเพียงทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้น เหลยเจิ้นถิงเห็นหน้าตางงงวยของเขาก็รู้แล้วว่าคงซักไซ้ไม่ได้ความอะไร จึงโบกมือให้เขาออกไป
รอจนบุรุษผู้นั้นออกไปแล้ว เหลยเจิ้นถิงก็ยกมือปัดเอาแท่นฝนหมึกบนโต๊ะตกลงพื้นไปจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เกิดเสียงดังขึ้นทั่วห้อง “ไปสืบมาให้ข้า! ผู้ใดกันที่มันบังอาจทำเช่นนี้…ม่อจิ่งหลี…ไม่ ม่อจิ่งหลีไม่มีน้ำอดน้ำทนเพียงนั้น ไปตรวจสอบเหรินฉีหนิง เยียหลี่ว์หงและเยียหลี่ว์เหยี่ยมาให้ข้า!”
“ขอรับท่านอ๋อง” องครักษ์เกราะทองที่แฝงตัวอยู่รับคำแล้วจากไป ภายในห้องหนังสือจึงเหลือเพียงเหลยเจิ้นถิงแต่เพียงผู้เดียว เขาเงียบอยู่เนิ่นนานจนในที่สุดก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
ทางด่านเฟยหงแคว้นซีเป่ย คุณชายชิงเฉินที่อยู่ในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์กำลังมองออกมาจากหอบนประตูด่านเฟยหง ห่างจากนั้นไปไม่ไกลประมาณสิบกว่าลี้คือค่ายทัพของซีหลิงและเป่ยหรง มองขึ้นไปจากข้างล่างของด่านจะเห็นคุณชายหน้าตางดงามสวมอาภรณ์ขาวยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางสายลม สีหน้านิ่งเฉยอย่างไม่แยแสราวกับเทพเซียน อย่าว่าแต่พลทหารทั่วไปของทั้งสองกองทัพเลย ต่อให้เป็นผู้บัญชาการของกองทัพเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาแล้วต้องทอดถอนใจออกมาเงียบๆ กับให้กับสง่าราศีนี้ของคุณชายชิงเฉิน
“ชิงปั๋วได้รับบาดเจ็บหรือ” สวีชิงเฉินที่อยู่ในหอบนประตูด่านหันหลังกลับมามององครักษ์ลับที่มาส่งข่าวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
องครักษ์ลับพลันใจเต้นแรง หนาวยะเยือกไปทั่วทั้งสันหลัง แม้คุณชายชิงเฉินจะถูกเรียกว่าคุณชายเทพเซียน ยามปกตินั้นพูดจาอ่อนโยนไม่เหมือนกับท่านอ๋องที่มีท่าทางกดดันผู้คน แต่ทว่ากลับกดดันผู้คนได้ไม่เป็นสองรองใคร “เรียนคุณชาย เป็นเช่นนั้นขอรับ เพียงแต่…ในจดหมายเขียนว่าอาการของคุณชายสี่นั้นไม่หนักจนถึงแก่ชีวิต คาดว่ายามนี้คงจะฟื้นคืนสติแล้ว”
สวีชิงเฉินพยักหน้ากล่าว “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปเถิด”
องครักษ์ลับแอบเช็ดเหงื่ออยู่เงียบๆ ก่อนยกมือประสานกล่าวว่า “ข้าน้อยขอตัว”
“คุณชายชิงเฉินคิดว่าเป็นเหลยเจิ้นถิงจริงๆ หรือที่ลอบสังหารพระชายาติ้ง เหลยเจิ้นถิง...ไม่น่าจะใช่คนโง่เช่นนี้” บุรุษที่ยืนรับลมอยู่ข้างกายสวีชิงเฉินสองคน คนหนึ่งผมหงอกขาวโพลนแล้ว แม้จะมีท่าทีอ่อนโยนแต่สีหน้ากลับหนักแน่นอยู่ไม่น้อย อีกคนหนึ่งเป็นบุรุษวัยกลางคนอายุราวๆ สามสิบต้นๆ สีหน้าดูใจเย็นสงบนิ่ง หน้าตามีส่วนคล้านคนแรกอยู่ไม่น้อย
ทั้งสองคนนี้คือหนานโหวซื่อจื่อที่เกือบจะถูกม่อจิ่งฉีฆ่าตายในปีนั้น คราแรกทั้งสองต่างโดนม่อจิ่งฉีกดขี่และประทุษร้ายจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แม้ว่าจะมีม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีช่วยเอาไว้แต่ทว่ากลับมีความท้อแท้หดหู่อยู่ไม่น้อย หลายปีมานี้ล้วนซ่อนตัวอยู่ในซีเป่ยอย่างเงียบๆ ไร้ซึ่งชื่อเสียง แต่ยามนี้ม่อจิ่งฉีได้ตายไปแล้ว เหลือเพียงแค่นามทิ้งไว้ในต้าฉู่ ส่วนซีเป่ยก็กำลังเผชิญหน้ากับซีหลิงและกองทัพขนาดใหญ่ของเป่ยหรงที่บุกมาประชิดเขตแดน แน่นอนว่าหนานโหวซื่อจื่อทั้งสองต่างนั่งไม่ติด พวกเขาจึงเป็นฝ่ายขอติดตามสวีชิงเฉินมาที่ด่านเฟยหงแห่งนี้ด้วย