ตอนที่ 307 การปกป้องของเยว่ชิง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เฟิงอู๋และจูตี๋จับจ้องไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก

เมื่อได้ยินข่าวว่าฉินอวี้โม่คือคนเดียวกับอวี๋โม่ พวกเขาก็รีบมุ่งหน้ามาที่นี่พร้อมกำลังคนมากมายเพื่อจับตัวนางกลับไปรับโทษที่ขุมกำลังพญายม

ไม่คิดเลยว่าเป้าหมายของพวกเขาจะมีสีหน้านิ่งเฉยไม่แสดงออกถึงความหวั่นกลัวใดๆ ในทางกลับกัน ฉินอวี้โม่กลับเอ่ยวาจาคมคายจนพวกเขาถึงกับหน้าเสีย

“หึ ช่างเป็นบุคคลที่รับมือยาก ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้เจ้าสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับขุมกำลังพญายม อีกทั้งยังสังหารผู้นำหุบเขาหงส์ร่วง—ลั่วเยาเซียน และก็ไม่ได้เห็นผู้นำขุมกำลังพญายมอยู่ในสายตา”

เฟิงอู๋แค่นเสียงเย็นชาและกล่าวต่อ “แต่ข้าไม่รู้ว่าอะไรทำให้เจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้ พลังของลั่วเยาเซียนไม่สามารถที่จะเทียบกับพวกข้าได้ เจ้าก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตจ้าวพิภพที่ต่ำต้อยคนหนึ่ง คิดว่าพวกข้าจะต้องหวาดกลัวเจ้างั้นรึ?”

เมื่อสัมผัสได้ถึงระดับพลังของฉินอวี้โม่ เฟิงอู๋ก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย แม้ว่านางมากด้วยพรสวรรค์และเอาชนะร่างจิตของจูอวิ๋นชางได้ ทว่าจากการวิเคราะห์แล้วนางมีระดับพลังเพียงขอบเขตจ้าวพิภพเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น จูอวิ๋นชางกล่าวไว้ว่าถึงแม้ครานั้นฉินอวี้โม่จะเอาชนะร่างจิตของเขาได้ นางก็เผชิญกับความสูญเสียเช่นกัน คาดการณ์ได้ว่านางคงจะเรียกอสูรมายาที่กำหนดผลลัพธ์สุดท้ายในการต่อสู้ครั้งนั้นออกมาไม่ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง

วันนี้เฟิงอู๋มาพร้อมกับพรรคพวกมากมาย กลุ่มของพวกเขามียอดฝีมือขอบเขตจ้าวสุริยะถึงสองคนและมีไพ่ตายอีกมากมาย เขามั่นใจว่าฉินอวี้โม่ไม่มีทางรับมือกับศัตรูจำนวนมากเช่นนี้ได้แน่

“ฮ่าๆๆ ขอบเขตจ้าวพิภพแล้วอย่างไรกัน? คุณชายเฟิงผู้เก่งกล้าต้องการสู้กับข้ารึไม่? หากต้องการ ข้าก็ยินดี”

ฉินอวี้โม่เผยรอยยิ้มเย็นชา นางไม่เห็นคุณชายเฟิงอู๋ตรงหน้าอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ

เมื่อได้ยินคำพูดยียวนของอีกฝ่าย เฟิงอู๋ก็แทบจะพุ่งตัวออกไป เขาเองก็ต้องการรู้ว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้มีฝีไม้ลายมือแค่ไหน

“คุณชายเฟิงอู๋ อย่าเลย”

ไห่ป้าหวังที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นว่าเฟิงอู๋แทบระเบิดอารมณ์และยื่นมือออกมาคว้าเขาไว้อย่างรวดเร็ว

“คุณชายเฟิง แม้ว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้มีพลังเพียงขอบเขตจ้าวพิภพ นางก็มีอสูรมายาที่สามารถใช้ข่ายอาคมได้ซึ่งเป็นปัญหามาก และท่านก็รู้ว่านางมีอสูรมายาอยู่เป็นจำนวนมาก หากว่านางใช้จำนวนรังแก เกรงว่าคุณชายใหญ่อาจตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”

ไห่ป้าหวังชำเลืองมองฉินอวี้โม่และกล่าวต่อ “บัดนี้เรามีคนมากกว่าและเราก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ ตราบใดที่เราร่วมมือกันเพื่อกำจัดฉินอวี้โม่ผู้นี้ เราไม่เพียงแต่จะนำตัวนางกลับหาท่านจูได้เท่านั้น แต่เรายังจะได้แผนที่ซากปรักหักพังของนางมาครองและสามารถคิดหาทางทำลายพันธสัญญาระหว่างนางและอสูรมายา เมื่อถึงตอนนั้น พลังความแข็งแกร่งของพวกเราจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เหตุใดเราจะต้องทำตามความต้องการของฝ่ายตรงข้าม?”

เมื่อได้ยินคำพูดของไห่ป้าหวัง เฟิงอู๋ก็พยักศีรษะรับทราบและเห็นด้วยกับเขา

คำพูดของไห่ป้าหวังทำให้เฟิงอู๋ตระหนักว่าตนเองอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินอวี้โม่ ถึงอย่างไรแล้วนางก็แปลกประหลาดเกินไป นางคงจะมีความลับมากมายซ่อนอยู่ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอื่นๆไม่อาจเข้าใจ

ยิ่งไปกว่านั้น ไห่ป้าหวังพูดถูก จุดประสงค์ของพวกเขาในครานี้คือจับตัวฉินอวี้โม่ สำหรับวิธีการและหนทางที่ใช้นั้น มันไม่สำคัญแม้แต่น้อย

“ฉินอวี้โม่ ไม่ต้องพยายามยั่วโมโหข้า ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก”

คุณชายตระกูลเฟิงมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเย้ยหยันและกล่าวต่อ “เจ้าจะยินยอมแต่โดยดีหรือต้องให้เราใช้กำลังจับตัวเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าฉลาดพอที่จะรู้ว่าทางเลือกไหนคือทางที่ดีที่สุด”

เฟิงอู๋วางท่าราวกับถือตั๋วชิงโชครางวัลที่หนึ่งไว้ในมือ เหมือนกับว่าฉินอวี้โม่เป็นลูกไก่ในกำมือและจะต้องยอมเชื่อฟังเขาเท่านั้น

“เฟิงอู๋ เจ้านี่ช่างโง่ชะมัด! ฮ่าๆๆ”

ซูเสี่ยวจวิ้นอดโพล่งออกมาไม่ได้ขณะมองอีกฝ่ายอย่างเย้ยหยันดูแคลน “หากเจ้าคิดจะทำร้ายพี่อวี้โม่ เจ้าต้องข้ามศพพวกข้าไปก่อน อีกอย่าง อย่าโทษข้าล่ะว่าข้าไม่เตือนเจ้า พี่อวี้โม่ไม่ใช่คนธรรมดาที่เจ้าจะแตะต้องได้ หากเจ้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายผม เจ้าจะไม่ได้พบกับจุดจบที่ดี!”

ฉินเทียน—ผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬถือว่าสนิทชิดเชื้อกับพวกนางพอสมควร ฉินอวี้โม่คือบุตรีที่รักปานดวงใจของเขา แม้ไม่ได้พบหน้ากันเนิ่นนานหลายปี ความรักและความห่วงหาอาวรณ์ของสายสัมพันธ์บิดาและบุตรสาวก็ไม่จางหายไปแม้แต่น้อย

ด้วยลักษณะความอารมณ์ร้อนของฉินเทียน หากมีใครหน้าไหนทำร้ายให้ฉินอวี้โม่ให้เจ็บกายหรือเคืองใจ ซูเสี่ยวจวิ้นมั่นใจเลยว่าเขาจะจัดการกับคนผู้นั้นและสั่งสอนให้รู้สำนึกว่าไม่มีใครมีสิทธิ์ทำร้ายนางได้

อย่างไรก็ตาม เฟิงอู๋และคณะเดินทางไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของฉินอวี้โม่และฉินเทียน เมื่อได้ยินวาจาเย้ยหยันของเด็กสาว พวกเขาจึงอดหัวเราะร่วนไม่ได้

“ฮ่าๆๆ น่าสนใจจริงๆ เจ้ากล้าพูดอย่างมั่นใจว่าหากพวกเราแตะต้องจอมยุทธ์ที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้านี่ เราจะจบไม่สวยงั้นรึ ? ฮ่าๆๆ ซูเสี่ยวจวิ้น เจ้าไปล้มหัวฟาดพื้นมารึไง ถึงได้พูดจาไร้สาระแบบนี้”

จูตี๋อดหัวเราะด้วยความขบขันไม่ได้และกล่าวต่อ “ต่อให้เป็นเจ้า พวกเราก็กล้า พวกเราไม่ได้เกรงกลัวขุมกำลังไร้คู่เปรียบของเจ้า และนี่เป็นแค่คนกระจอกอย่างฉินอวี้โม่เท่านั้น ต่อให้นางมีไพ่ตายมากมายซ่อนไว้ นางก็ไม่มีทางสู้กับพวกข้าได้”

วาจามั่นอกมั่นใจของจูตี๋ไม่ได้ทำให้ซูเสี่ยวจวิ้นรู้สึกโกรธเคืองแม้แต่อย่างน้อย หนำซ้ำยังทำให้นางหัวเราะอย่างสาแก่ใจ

สิ่งที่จูตี๋กล่าวมาเป็นความจริง หากเขาทำร้ายนางก็คงจะดีเสียกว่า อย่างมากบิดาของนางก็คงจะนำคนออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับนางและเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ทว่าหากคนที่ถูกจัดการคือฉินอวี้โม่ เมื่อฉินเทียนรู้เข้า ผลที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงยิ่งกว่ากรณีของนางเสียอีก

“ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ จะเชื่อหรือไม่มันก็แล้วแต่เจ้า”

ซูเสี่ยวจวิ้นไม่อยากเปลืองน้ำลายกับคนตรงหน้าอีกต่อไป สิ่งที่นางเพิ่งเอ่ยไปก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรนัก เพราะต่อให้จะต้องการจัดการกับฉินอวี้โม่จริงๆ เกรงว่าจูตี๋จะไม่มีความสามารถนั้นด้วยซ้ำ

“ฉินอวี้โม่ จงเลือกมา หากเจ้าบีบบังคับให้เราต้องลงมือ เราจะไม่รับผิดชอบหากต้องมีการเจ็บตัวเกิดขึ้น”

เฟิงอู๋มองฉินอวี้โม่ตาเขม็งและกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่

แน่นอนว่านางได้ยินวาจาของเฟิงอู๋ ทว่าฉินอวี้โม่มิได้หวาดหวั่นใดๆ

“นายหญิง คนพวกนี้ชักจะได้ใจเกินไปแล้ว ให้ข้าสั่งสอนพวกเขาเถอะ ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะมีดีแค่ไหน”

มารยาแทบจะอดทนอดกลั้นไม่ได้และกล่าวขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ น้ำเสียงของมันแสดงความตื่นเต้นและความกระตือรือร้นอย่างชัดเจน

ในอดีต มารยาเป็นอสูรงดงามที่นิ่งเงียบอยู่เสมอ ทว่าหลังจากติดตามและเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่ มันก็แสดงให้เห็นด้านมืดและด้านเกรี้ยวกราดออกมามากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น อสูรเหล่านี้ของฉินอวี้โม่ล้วนทะนงตนและมั่นใจในตัวเอง หากใครหน้าไหนคิดจะทำร้ายผู้เป็นนายหญิงของพวกมัน มันผู้นั้นก็จะต้องข้ามศพพวกมันไปก่อน

อีกอย่าง มารยาก็ได้เรียนรู้ข่ายอาคมใหม่ๆในช่วงไม่นานมานี้และก็บังเอิญได้มีโอกาสทดลองใช้กับคนปากดีเหล่านี้พอดิบพอดี

ทว่าฉินอวี้โม่ไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น

“ไม่จำเป็น จะมีใครบางคนเข้ามาช่วยพวกเราเอง”

ฉินอวี้โม่กล่าวเบาๆ นางรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของคนหลายคนที่กำลังพุ่งตรงมาทางนี้อย่างรวดเร็ว

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะต้องการขัดขืน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อย่ากล่าวโทษว่าพวกข้าหยาบคายก็แล้วกัน!”

เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ใบหน้าของเฟิงอู๋ก็บิดเบี้ยวอย่างมาก เขาหันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้ไห่ป้าหวังที่อยู่ด้านข้างเพื่อหาจังหวะลงมือ

ไห่ป้าหวังเห็นเฟิงอู๋ขยิบตา แม้ว่าเขาไม่ได้อยากลงมือเป็นคนแรก เขาก็ไม่สามารถทำให้คุณชายตระกูลเฟิงรู้สึกว่าตัวเขาไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงลังเลเพียงชั่วครู่ก่อนฟาดฝ่ามือออกไปโดยมีเป้าหมายคือใบหน้าของฉินอวี้โม่

อันที่จริงเขาไม่กล้าเข้าใกล้สตรีประหลาดผู้นี้แม้แต่น้อย ความรู้สึกทุกข์ทรมานจากข่ายอาคมครั้งก่อนยังคงสลักแน่นในใจของเขา

“หึ ข้าจะไม่อดทนอดกลั้นต่อใครหน้าไหนทั้งสิ้นที่คิดจะกระทำการเสียมารยาทในสมาคมช่างหลอมของข้า!”

แต่ทว่า…เมื่อฝ่ามือของไห่ป้าหวังกำลังจะถึงใบหน้าของฉินอวี้โม่ เสียงอันทรงเกียรติและยิ่งใหญ่เสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นร่างของคนหลายคนก็ปรากฏกายข้างหน้าฉินอวี้โม่พร้อมด้วยสายลมเบาๆที่ผลักฝ่ามือนั้นออกไป

“ประธานเยว่ชิง ประธานเย่าเหยียน!”

เมื่อเห็นประธานสมาคมทั้งสองปรากฏตัว ทุกคนก็ถึงกับชะงักค้างไปชั่วขณะ

ใบหน้าของเฟิงอู๋และคนอื่นๆถอดสีไปเล็กน้อยและไห่ป้าหวังไม่กล้าลงมืออีกต่อไป เขามองเยว่ชิงและเย่าเหยียนด้วยแววตาหวั่นกลัวเล็กน้อย

“เจ้าหนูจากตระกูลเฟิง ดูเหมือนว่าเจ้าจะหยิ่งผยองขึ้นมาก เจ้าอาจหาญยิ่งนักที่กล้าลงมือทำร้ายคนของสมาคมช่างหลอมของข้า ผู้นำตระกูลเฟิงไม่สั่งสอนเจ้าถึงกฎเกณฑ์ที่ควรรู้บ้างรึ?!”

เยว่ชิงเลื่อนสายตามองเฟิงอู๋และพวกก่อนหยุดสายตาลงที่เฟิงอู๋และจูตี๋พร้อมเอ่ยวาจาเยือกเย็น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองก็มองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

“ท่านประธานเยว่ชิง เราเคารพนับถือท่านในฐานะประธานสมาคมช่างหลอมและเราไม่มีความคิดที่จะยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งใดๆกับท่าน เพียงแต่ฉินอวี้โม่ผู้นี้มีเรื่องบาดหมางเป็นการส่วนตัวกับพวกเรา เราหวังว่าท่านประธานจะไม่เข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้”

จูตี๋เอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมาด้วยความหวังว่าเยว่ชิงจะไม่เข้ามาก้าวก่ายในเรื่องนี้

“ฮ่าๆๆ  เจ้าหนูตระกูลจู สิ่งที่เจ้ากล่าวมาก็ถูก เรื่องบาดหมางที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเจ้า ข้าไม่ควรเข้าไปแทรกแซง”

เยว่ชิงส่งยิ้มเย็นขณะชำเลืองมองจูตี๋และกล่าว “เพียงแต่บัดนี้ฉินอวี้โม่เป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของสมาคมช่างหลอม เมื่อเจ้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้อาวุโสของสมาคมช่างหลอม เจ้าก็ถือว่าเป็นศัตรูของสมาคมช่างหลอมเช่นกัน การที่เจ้าเปิดฉากโจมตีคนของสมาคมช่างหลอมภายในสถานที่ของสมาคมช่างหลอมเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเจ้าไม่เห็นสมาคมช่างหลอมของพวกเราอยู่ในสายตา อีกทั้งก็ยังไม่เห็นหัวข้าประธานของสมาคม พวกเจ้าคิดว่าสมาคมช่างหลอมเป็นเพียงดอกกุหลาบไร้หนามรึ?!”

คำพูดของเยว่ชิงทำให้สีหน้าของเฟิงอู๋และจูตี๋เปลี่ยนไปทันที

“ท่านประธานเยว่ชิง ฉินอวี้โม่คนนี้ใช้ชื่ออวี๋โม่เพื่อแฝงตัวเข้าร่วมงานชุมนุมช่างหลอมเพื่อแทรกซึมและเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม อีกทั้งตอนนี้นางก็ทำให้สมาคมช่างหลอมต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องบาดหมางส่วนตัวและอาจทำให้ทางสมาคมต้องเกิดความขัดแย้งกับขุมกำลังพญายมในภายภาคหน้า ข้าเชื่อว่าท่านประธานคงรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสมาคมช่างหลอม”

จู่ๆหวังซั่วที่เงียบมาโดยตลอดก็เอ่ยขึ้นมาด้วยคำพูดที่ต้องการยั่วยุให้เกิดความแตกแยกระหว่างสมาคมช่างหลอมและฉินอวี้โม่

หากว่าไม่ใช่เพราะฉินอวี้โม่กล่าวความจริงไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรก คำพูดเหล่านี้ของหวังซั่วก็อาจจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างนางและทางสมาคมได้

เพียงแต่ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนไว้แล้วและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนเองเพื่อให้เยว่ชิงและคนอื่นๆได้ทราบ เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงไม่แปลกใจหรือไม่พอใจเพียงเพราะคำพูดของหวังซั่ว

“ฮ่าๆๆ หวังซั่ว เจ้าไม่ต้องสร้างความแตกแยกระหว่างพวกเราหรอก เราทราบดีถึงตัวตนที่แท้จริงของแม่นางอวี้โม่ก่อนที่จะนางเข้าร่วมสมาคมช่างหลอม ถึงแม้นางกล่าวไว้ว่าเรื่องความบาดหมางระหว่างนางและพวกเจ้าเป็นความขัดแย้งส่วนตัวและหวังว่าการเข้าร่วมสมาคมจะไม่พลอยทำให้สมาคมช่างหลอมต้องเดือดร้อนไปด้วย แต่ในเมื่อนางเข้าร่วมสมาคมของพวกเราแล้ว นางก็เป็นทั้งสมาชิกและสหายของพวกเรา หากพวกเจ้าต้องการแตะต้องนาง นั่นก็เท่ากับประกาศตัวเป็นศัตรูกับสมาคมช่างหลอม แม้ว่าพวกเราไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก แต่พวกเจ้าก็จะต้องชดใช้เช่นกันที่คิดจะแตะต้องสหายของพวกเรา!”

วาจาของเยว่ชิงดังกังวานและทรงพลังเป็นที่สุด เขาบ่งบอกเจตนาผ่านคำพูดอย่างชัดเจน หากวันนี้ใครต้องการจะแตะต้องตัวฉินอวี้โม่ มันผู้นั้นจะต้องผ่านเขาไปก่อน!