ตอนที่ 308 รออยู่ที่ตระกูลเฟิง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อเยว่ชิงลั่นวาจาเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย เยว่ชิงกำลังปกป้องนางอย่างแท้จริง

นางเคยกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าต่อให้เข้าร่วมสมาคมช่างหลอม เรื่องบาดหมางส่วนตัวของนางก็ไม่เกี่ยวข้องกับสมาคม

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ เยว่ชิงยังคงอยู่ข้างนางอย่างไม่ลังเลและประกาศตัวปกป้องนางต่อหน้าทุกคน ต้องกล่าวเลยว่าอดีตนักฆ่าสาวรู้สึกดีกับสมาคมช่างหลอมมากขึ้นเรื่อยๆ

“ท่านประธานพูดถูก ผู้อาวุโสอวี้โม่เป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของสมาคมช่างหลอม ถ้าพวกเจ้าคิดจะทำอะไรนางก็ต้องผ่านพวกเราไปก่อน พวกเจ้าริอาจสร้างปัญหาในสมาคมแห่งนี้ หากพวกเจ้ายังสร้างความรำคาญใจให้กับพวกเราอีกล่ะก็ เชื่อหรือไม่ว่าพวกเราจะใช้แร่ทุบตีพวกเจ้าจนตาย!”

ศิษย์คนหนึ่งของสมาคมช่างหลอมอดกล่าวออกไปไม่ได้และน้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวดุดัน

ทว่าประโยคสุดท้ายนั้นเองที่ทำให้ทุกคนขำพรืดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

การสังหารด้วยแร่ถือเป็นประโยคที่ดีทีเดียวและมันเป็นรูปแบบเฉพาะของสมาคมช่างหลอม

“ใครจะไม่รู้กันว่าขุมกำลังพญายมเป็นอย่างไร? ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดคือผู้นำขุมกำลังเมฆาทะยานจะตกต่ำถึงขั้นนี้และพยายามเอาใจคุณชายใหญ่ที่หน้าไม่อายของตระกูลเฟิง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ไม่รู้เลยว่าผู้คนจะพากันหัวเราะเยาะเขามากมายเพียงใด”

จอมยุทธ์อิสระอีกคนกล่าว น้ำเสียงของเขาดูถูกดูแคลนไห่ป้าหวัง เฟิงอู๋และคนอื่นๆอย่างชัดเจน

เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกเช่นนี้ ใบหน้าของไห่ป้าหวังก็บิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม นี่คือความเจ็บปวดในจิตใจของไห่ป้าหวังและมันก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากได้ยินคนอื่นเอ่ยถึง ในอดีตขุมกำลังเมฆาทะยานของเขาพ่ายแพ้ต่อขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬอย่างราบคาบ ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็นหรืออยากให้เกิดขึ้น

ตอนนี้การที่เขาพยายามประจบประแจงเฟิงอู๋และจูตี๋ก็ด้วยความหวังที่ว่าในอนาคตเขาจะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากตระกูลเฟิงและขุมกำลังพญายมเพื่อล้างแค้นและยึดอำนาจขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬจากฉินเทียนที่เขาชิงชัง

“หุบปาก! พวกเจ้าไม่ต้องมาสอดเรื่องของข้า!”

เขาจับจ้องใบหน้าของผู้ที่เอ่ยประโยคก่อนหน้านี้ตาเขม็งและแผ่แรงกดดันทรงพลังของจอมยุทธ์ขอบเขตจ้าวสุริยะออกไป

“การรังแกจอมยุทธ์อิสระไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจ”

เย่าเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉยก่อนที่แรงกดดันทรงพลังแผ่มาจากร่างของเขาและครอบงำแรงกดดันของไห่ป้าหวังจนความยโสโอหังของเขาสลายหายไป

“อะไรกัน ท่านประธานเย่าเหยียนก็ต้องการจะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้ด้วยรึ?”

เมื่อเห็นท่าทางและวาจาของเย่าเหยียน สีหน้าของเฟิงอู๋และจูตี๋ก็บิดเบี้ยวจนแทบดูไม่ได้

เพียงแค่สมาคมช่างหลอมก่อนหน้านี้ก็รับมือได้ยากอยู่แล้ว หากรวมสมาคมโอสถเข้ามาด้วย วันนี้พวกเขาคงจะไม่มีโอกาสชนะ

“ฮ่าๆๆ เป็นเคราะห์ร้ายของพวกเจ้าจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งขอความช่วยเหลือจากแม่นางอวี้โม่ บุญคุณย่อมตอบแทนด้วยบุญคุณเช่นกัน หากพวกเจ้าคิดจะทำอะไรแม่นางอวี้โม่ก็จงคิดให้ดีเสียก่อน”

เย่าเหยียนเอ่ยอย่างไม่เกรี้ยวกราดเท่าไหร่นักทว่าทุกคนเข้าใจความหมายอย่างชัดเจน เขากำลังเอ่ยเตือนเฟิงอู๋และคนอื่นๆ

“ไม่เคยมีใครที่กล้าลงมือลงไม้ในสมาคมช่างหลอมมาก่อน ตระกูลเฟิงและขุมกำลังพญายมก็เป็นถึงขุมกำลังใหญ่ของดินแดนอ้างว้าง ดูเหมือนว่าข้าจะต้องส่งคนไปถามไถ่เรื่องนี้จากผู้นำตระกูลเฟิงและขุมกำลังพญายมว่าพวกเขามีความคิดเห็นอย่างไร? ไม่คาดคิดว่าจะส่งคนมาสร้างปัญหาภายในสมาคมช่างหลอมของข้า?!”

เยว่ชิงมองเฟิงอู๋และคนอื่นๆพร้อมกล่าวอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงของเขาดุดันและน่าเกรงขามเป็นที่สุด

สมาคมช่างหลอมของพวกเขาเป็นหนึ่งในสี่สมาคมใหญ่ของดินแดนและแกร่งกล้าสามารถไม่น้อย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ใครจะกล้าทำอะไรในสมาคมช่างหลอม

เฟิงอู๋และจูตี๋นิ่วหน้ายิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำพูดของเยว่ชิง

จูตี๋ยังจำคำของจูอวิ๋นชางได้ดีว่าอย่ามีเรื่องบาดหมางหรือผิดใจกับทั้งสี่สมาคมเป็นอันขาด เดิมทีเขาคิดว่าสมาคมช่างหลอมจะไม่เข้ามาแทรกแซงเรื่องของฉินอวี้โม่ ไม่คิดเลยว่าเยว่ชิงจะออกมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองและดูเหมือนจะตัดสินใจเรื่องนี้ไว้แล้ว หากพวกเขายังยั่วยุบุรุษชราต่อไป เรื่องนี้คงจบไม่สวยอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ประธานสมาคมโอสถก็เข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้เช่นกันและแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่มีทางอยู่เฉยเป็นแน่ แม้ว่าเขาอยู่เพียงลำพัง ทว่าทุกๆคนก็ทราบดีว่าเย่าเหยียนมีอิทธิพลอำนาจมากเพียงใดในสมาคมช่างหลอม หากจูตี๋ทำให้ทั้งสมาคมช่างหลอมและสมาคมโอสถไม่พอใจพร้อมๆกัน เมื่อจูอวิ๋นชางรู้เข้า ผลที่ตามมาจะไม่ใช่เรื่องดีแน่

เมื่อคิดเช่นนี้ จูตี๋ก็เริ่มมีความคิดที่จะล่าถอยออกไป

ใบหน้าของเฟิงอู๋ก็บิดเบี้ยวเช่นกัน เขาไม่คาดคิดว่าเยว่ชิงและเย่าเหยียนจะแน่วแน่และเด็ดขาดเช่นนี้ ในตอนแรก เขาคิดว่าทั้งสองจะไว้หน้าตระกูลเฟิงและไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ ทว่าประธานสมาคมทั้งสองกลับไม่สะทกสะท้านใดๆ

หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูผู้นำตระกูลเฟิง มันจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ ตอนนี้ตำแหน่งของเขาในตระกูลเฟิงก็สั่นคลอนพอสมควรแล้วและยังมีน้องสาวที่พลัดพรากกลับมาอีก หากเขาต้องเสียคะแนนในการชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลเพราะเรื่องนี้ สิ่งที่ได้มาจะไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป

เฟิงอู๋เองก็เกิดความคิดที่จะล่าถอยไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเขาจะทำได้เพียงแค่ถอยไปตั้งหลักก่อน จากนั้นพวกเขาก็ต้องหารือกันอย่างละเอียดอีกครั้ง

เฟิงอู๋และจูตี๋มองหน้ากันก่อนมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตามุ่งร้ายดุดันพร้อมกล่าว “ครานี้พวกข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน หากเราพบกันอีกในอนาคต เราจะจับตัวเจ้าทันทีและทำให้เจ้าได้รู้ว่าผลลัพธ์ของการลองดีกับพวกเราเป็นอย่างไร!”

เมื่อเห็นว่าเฟิงอู๋และจู่ตี๋เปลี่ยนใจ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มอย่างเรียบเฉยและกล่าว “ฮ่าๆๆ อย่าปากดีนักเลย ข้าจะบอกพวกเจ้าให้รู้ไว้ ข้าจะเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเฟิงที่จะจัดขึ้นหลังเดือนหนึ่ง หากพวกเจ้ามีความกล้ามากพอก็รอข้าอยู่ที่นั่น แต่ถ้าถึงตอนนั้นแล้วข้าเอาชนะพวกเจ้าได้ ก็จงเตรียมตัวเผชิญกับความอับอายได้เลย”

เมื่อได้ยินวาจาถากถางอย่างไม่ปิดบังของฉินอวี้โม่ ทุกคนก็อดหัวเราะไม่ได้

สีหน้าของทั้งเฟิงอู๋และจูตี๋ดูไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม พวกเขาจ้องฉินอวี้โม่ตาเขม็งและหันหลังกลับออกไปจากสมาคมช่างหลอมโดยไม่เอ่ยลาเยว่ชิงและเย่าเหยียน

พวกเขาจะรออยู่ที่งานเลี้ยงตระกูลเฟิง เมื่อถึงตอนนั้น เฟิงอู๋จะเอาชนะฉินอวี้โม่อย่างราบคาบเพื่อสั่งสอนให้นางได้รู้สำนึกว่าใครเป็นใคร

เมื่อเห็นบุรุษทั้งสองค่อยๆเดินจากไป ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มมุมปากเบาๆ

“มารยา จับตาดูว่าพวกเขาออกไปจากเมืองไป๋อวี้จริงรึไม่”

นางกล่าวกับมารยาเบาๆ จากนั้นมารยาก็ออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวและพุ่งตรงตามไปในทิศทางของจูตี๋และเฟิงอู๋

“ท่านประธานทั้งสอง ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่หันกลับมากล่าวขอบคุณเยว่ชิงและเย่าเหยียน

“เด็กน้อยเอ๋ย ไม่ต้องขอบคุณหรอก ต่อให้เราทั้งสองไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย เชื่อว่าเจ้าก็คงจะจัดการได้”

เย่าเหยียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆและคิดว่าตนเองไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เขาเชื่อว่าต่อให้เขาและเยว่ชิงไม่มา คนเหล่านั้นก็ไม่มีทางทำอะไรฉินอวี้โม่ได้

ทั้งสองเพียงแค่ทำให้สิ่งต่างๆสะสางได้ง่ายยิ่งขึ้น

“อย่างไรก็เถอะ ข้าขอบคุณท่านประธานทั้งสองมาก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวด้วยความเคารพ เย่าเหยียนพูดถูกอย่างแท้จริง เฟิงอู๋และจูตี๋ทำอะไรนางไม่ได้ ต่อให้จูอวิ๋นชางมาที่นี่ด้วยตัวเอง เขาก็ต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อเอาชนะนาง

“แม่นางอวี้โม่ ข้าขอตัวกลับไปเตรียมความพร้อมก่อน อย่าลืมล่ะว่าเรามีนัดกันในอีกสองวันข้างหน้า”

เย่าเหยียนยิ้มก่อนที่เขาและเยว่ชิงจะหายไปจากบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว

ฉินอวี้โม่ไม่ได้รั้งพวกเขาไว้และเพียงแค่พยักศีรษะเบาๆแสดงให้เห็นว่านางยังไม่ลืมเรื่องนั้น

“สหาย ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไปจากพวกเรา”

ทันทีที่เยว่ชิงและเย่าเหยียนออกไป สมาชิกคณะเดินทางของฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่ก็เข้ามาล้อมรอบฉินอวี้โม่

จากนั้น ฉีป่ายเฉาที่สนิทกับฉินอวี้โม่พอสมควรก็อดกล่าวออกมาและหัวเราะไม่ได้ น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความโกรธหรือไม่พอใจใดๆ

“พี่ป่ายเฉา ท่านนี่พูดมากไร้สาระจริงๆ”

ซูเสี่ยวจวิ้นตบที่ไหล่ของฉีป่ายเฉาและกล่าวติดตลกเช่นกัน

“อวี้โม่ ได้ยินว่าเจ้าเป็นสตรีรูปโฉมงดงามสะเทือนทั้งใต้หล้า เจ้าจะให้สหายเหล่านี้ได้ยลโฉมความงามให้คลายสงสัยได้รึไม่?”

อีกคนที่เคยพูดคุยกับฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัยใคร่รู้เช่นกัน

พวกเขาทั้งหมดต่างก็เคยได้ยินนามของ ‘ฉินอวี้โม่’ ผู้มีใบหน้างดงามดุจดั่งเทพเซียน

ฉินอวี้โม่เดินทางร่วมกับพวกเขามานานพอสมควรและพวกเขาก็เห็นเพียงว่านางสวมหน้ากากบดบังใบหน้าตลอดเวลา

ถึงแม้ทุกคนรู้ว่าฉินอวี้โม่มีอารมณ์ที่ฉุนเฉียวง่ายและ ‘เขา’ ก็ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้ที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง พวกเขาจึงอดสงสัยไม่ได้

พวกเขาอยากรู้ว่าสตรีรูปโฉมแบบใดกันที่เรียกว่าสะเทือนทั้งใต้หล้า

เมื่อเห็นแววตาอยากรู้ของหลายคนตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มอย่างไม่มีทางเลือก นางใคร่ครวญพิจารณาครู่หนึ่งและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว นางค่อยๆปลดหน้ากากบนใบหน้า ก่อนแกะลูกกระเดือกปลอมและคลายเส้นผมที่มัดไว้เพื่อเผยให้เห็นใบหน้างดงามไร้ที่ตี

“เอ่อ…”

เมื่อได้ยลโฉมคุณหนูสี่อย่างชัดเจน ฉีป่ายเฉาและคนอื่นๆก็ถึงกับตะลึงงัน

หลายคนรอบๆที่โชคดีพอจะได้เห็นใบหน้าแท้จริงของนางต่างก็ตะลึงจนพูดไม่ออกเช่นกัน

ถึงแม้พวกเขาจินตนาการรูปลักษณ์ของนางไว้หลายรูปแบบ พวกเขาก็ไม่คิดเลยว่านางจะงดงามถึงเพียงนี้

ความงามของนางเป็นสิ่งที่ผู้พบเห็นต้องโหยหาและจดจำได้ตั้งแต่วินาทีแรก แล้วพวกเขาเหล่านี้จะไม่ชะงักค้างไปได้อย่างไร?

“สวรรค์! ในที่สุดของก็เข้าใจว่าทำไมบางคนถึงได้กล่าวว่าแม่นางฉินอวี้โม่รูปโฉมงดงามหาใดเปรียบ เพียงแค่หญิงงามล่อเมืองไม่เพียงพอที่จะบรรยายความงามของนาง จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่งดงามดั่งเทพเซียนลงมาจุติชัดๆ!”

บางคนฟื้นสติกลับคืนมาและทอดถอนหายใจให้กับความงามอย่างคาดไม่ถึง

เมื่อสิ้นเสียงของเขา หลายคนกล่าวแบบเดียวกันอย่างเห็นด้วย

ดินแดนอ้างว้างมีสตรีงามมากมายทุกหัวระแหง ทว่าเมื่อเทียบกับฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็ไม่มีใครทัดเทียมได้ พวกเขารู้สึกมากยิ่งขึ้นว่าการเข้าร่วมงานชุมนุมช่างหลอมในครั้งนี้เป็นการเดินทางที่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

“ฮึ ไม่คิดเลยว่านางจะทั้งแกร่งกล้าและงดงามขนาดนี้ หากข้างามได้เพียงเสี้ยวหนึ่งของนางมันก็คงจะดีไม่น้อย”

สตรีรูปลักษณ์ธรรมดาคนหนึ่งอดกล่าวออกมาด้วยความหลงใหลในความงามตรงหน้าไม่ได้

ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดความริษยาถึงเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของสตรีเพศ โดยทั่วไปผู้คนมักรู้สึกริษยาเมื่อได้เห็นสตรีงดงาม ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากของฉินอวี้โม่ สตรีเหล่านี้กลับไม่กล้าแม้แต่จะคิดริษยา

จู่ๆพวกนางก็รู้สึกว่าสวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมแม้แต่น้อย การที่สร้างสตรีงามเช่นนี้ขึ้นมาไม่ต่างอะไรจากตัดโอกาสของพวกนาง

“หากข้าเป็นบุรุษชายชาตรี ข้าจะต้องหาทางเกี้ยวพานนางให้ได้อย่างแน่นอน”

สตรีนางหนึ่งอดถอนหายใจอย่างปลงตกไม่ได้ หากตัวนางเป็นบุรุษ การที่มีฉินอวี้โม่สตรีโฉมงามเช่นนี้เป็นคู่ครองคงดีไม่น้อย

คำพูดของสตรีผู้นี้ทำให้บุรุษหลายคนที่ตะลึงเริ่มเรียกสติกลับมาทีละคน

พวกเขามองหน้ากันอย่างไร้คำพูดและหลายคนมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาลุกท่วมด้วยเปลวไฟแห่งความปรารถนา

“จอมยุทธ์อวี้โม่…”

คำว่าจอมยุทธ์อวี้โม่ดังชัดในหูของนางและบุรุษมากมายหลายชีวิตมองมาที่นางด้วยแววตาชื่นชม

อย่างไรก็ตาม จู่ๆฉินอวี้โม่ก็อันตรธานหายไปจากทัศนวิสัยของทุกคนพร้อมสายลมที่แผ่วเบา