โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.467 – พบซื่อฉิงอีกครั้ง 

 

 

  

 

 

หลังเก็บรวบรวมผลึกธรณี ฉินเฟิงยังคงล่าสัตว์ร้ายบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ต่อไป 

 

 

  

 

 

ผ่านมาหลายวัน ฉินเฟิงยังท่องอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ทั้งปริมาณและคุณภาพของแมลงสัตว์ร้ายที่เขาล่า อยู่ในระดับที่น่าตกใจ  

 

 

  

 

 

ในช่วงเวลาสิบกว่าวัน น่ากลัวว่าปริมาณสัตว์ร้ายที่ถูกฉินเฟิงล่า จะทำยอดได้มากยิ่งกว่าผู้ใช้พลังเลเวล C ธรรมดาๆออกล่าเป็นเวลาถึงหนึ่งปี 

 

 

  

 

 

และเนื่องจากการล่าของฉินเฟิง ทำให้การวิวัฒของแมลงสัตว์ร้ายเริ่มอ่อนโทรมลง หรือกล่าวว่ายังไม่ทันได้วิวัฒ ก็ถูกสังหารโดยฉินเฟิงไปเสียก่อน 

 

 

  

 

 

ซึ่งการกระทำนี้ยังนำไปสู่กรณีที่ระดับอันตรายของแมลงสัตว์ร้ายบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ไม่เท่ากับในชีวิตก่อนหน้าของฉินเฟิง ขณะเดียวกัน ผู้ใช้พลังก็ยังทยอยกันเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

  

 

 

จนปัจจุบัน กระทั่งเลเวล B บางส่วนต้องเดินทางมาด้วยตัวเอง 

 

 

  

 

 

แน่นอน ในสถานการณ์เช่นนี้ ผลึกชีพจรธรณีเลยลดน้อยลงเป็นเงาตามตัว ส่วนใหญ่จะซ่อนอยู่ลึกลงไปใต้ดิน ไม่ก็โดนแมลงสัตว์ร้ายกินไปแล้ว 

 

 

  

 

 

“ดูเหมือนว่าคงไม่จำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป” พลังสมาธิของฉินเฟิงกวาดไปรอบๆ เขาพบผู้ใช้พลังเลเวล C นับสิบคน กำลังลอบสังเกตตนอย่างลับๆ 

 

 

  

 

 

เบื้องหน้าฉินเฟิง คือระดับจักรพรรดิเลเวล D กำลังสู้กับเขา เลยเป็นธรรมดาที่เลเวล C คิดจะฮุบเหยื่อในตอนท้าย  

 

 

  

 

 

ทว่าแต่ละการโจมตีของฉินเฟิงมันรุนแรงเกินไป นี่ทำให้พวกเขาเกิดความลังเล 

 

 

  

 

 

“ตาย!” 

 

 

  

 

 

มีดกษัตริย์ครามในมือสาดลำแสงไสว ฟันเข้าแสกหน้าแมลงจักรพรรดิในทันที 

 

 

  

 

 

จักรพรรดิแมลงเลเวล D ร่วงล้มลงกับพื้น สัญญาณชีวิตของมันจางหายไป พลังพิเศษดูดกลืนของฉินเฟิงเริ่มทำงาน สูบเอาพลังงานจากอีกฝ่ายมา ไหลเข้าสู่กายตน 

 

 

  

 

 

ปัง! 

 

 

  

 

 

ในพริบตา ความแข็งแกร่งทางกายภาพของฉินเฟิงยกระดับไปอีกขั้น 

 

 

  

 

 

ก้าวขึ้นสู่เลเวล D9 ! 

 

 

  

 

 

อีกก้าวเดียวจะถึงเลเวล C แล้ว! 

 

 

  

 

 

เพราะท้ายที่สุดนี้ หลังจากบากบั่นต่อสู้มาหลายวัน พลังงานที่ฉินเฟิงกลืนกิน ได้ถลำไปถึงจุดที่น่าหวาดกลัว 

 

 

  

 

 

และเมื่อความแข็งแกร่งของฉินเฟิงยกระดับ ลมหายใจเลยมิอาจเก็บซ่อน กลิ่นอายระดับจักรพรรดิแผ่ขยายออกไป สิ่งนี้เล่นเอาเลเวล C โดยรอบตื่นตะลึงโดยสมบูรณ์ 

 

 

  

 

 

“เจ้าเด็กนี่ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงโค่นจักรพรรดิสัตว์ร้ายเลเวล D ลงได้ ที่แท้มันก็อยู่ในระดับจักรพรรดิเหมือนกัน!” 

 

 

  

 

 

“ปีศาจน้อยตัวนี้ ผุดมาจากที่ไหนกัน ทำไมครอบครองความแข็งแกร่งถึงขนาดนี้! ด้วยอายุที่ยังเยาว์วัย เขาสมควรเป็นลูกรักของพระเจ้า” 

 

 

  

 

 

“เขาขึ้นเป็นเลเวล D9 แล้ว? งั้นเลเวล C ก็ห่างกันแค่ผนังกั้น แม้เลเวลจะด้อยกว่าพวกเรา แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา อย่าไปยุ่งจะดีกว่า” 

 

 

  

 

 

คนกว่าครึ่งคิดแบบนั้น จึงพากันแยกย้ายจากไป แต่ยังเหลืออีกราวๆ 5 คนที่ยังลอบติดตามฉินเฟิง 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงได้รับสินสงครามล็อตใหญ่ มุ่งหน้าไปยังทางออกของภูเขาโดยตรง 

 

 

  

 

 

บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าจะมีเพียงเขาคนเดียวที่ได้สมบัติก้อนโต ดังนั้นไม่จำเป็นต้องแก่งแย่งกับผู้อื่นเพื่อผลกำไรเล็กน้อยที่เหลืออยู่ 

 

 

  

 

 

เมื่อเห็นฉินเฟิงกำลังลงจากภูเขา เหล่าผู้ใช้พลังเลเวล C ก็เริ่มพบถึงความผิดปกติ 

 

 

  

 

 

“เจ้าเด็กนี่เพิ่งยกระดับ ความแข็งแกร่งน่าจะยังไม่เสถียร เขาใช่วางแผนที่จะหลบหนีหรือไม่?” 

 

 

  

 

 

“เป็นไปได้หรอที่เขาจะหวาดกลัวเรื่องนี้? บางทีอาจเป็นเรื่องที่เพราะเขาต่อสู้อย่างดุเดือด และงัดกระบวนท่าที่แกร่งที่สุดมาใช้ จนเริ่มหมดแรง สายธนูที่เคยตึงเริ่มหย่อนยานแล้วมากกว่า?” 

 

 

  

 

 

“ฉันแอบตามเขามาตั้งหลายวัน แล้วตอนนี้ดันกำลังจะหลบหนี แบบนี้จะปล่อยไปได้ยังไง!” 

 

 

  

 

 

คนเหล่านี้ยังคงติดตามฉินเฟิง 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงเริ่มขมวดคิ้วมุ่น 

 

 

  

 

 

“ถ้ายังกล้าตามมาอีกล่ะก็ อย่าตำหนิผมว่าไม่สุภาพ!” ฉินเฟิงตะคอกเสียงเย็นชา กำลังภายในระเบิดออกมา สะท้อนเสียงดั่งสายฟ้าฟาดน่าตกใจ 

 

 

  

 

 

ทว่าคนที่ไล่ตาม กลับไม่สนคำขู่ของฉินเฟิง เมื่อถูกจับได้ กระโจนจู่โจม ออกจากที่ซ่อนโดยตรง 

 

 

  

 

 

“แส่หาที่ตาย!” 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงไร้ซึ่งความลังเล ระเบิดพลังสมาธิ  

 

 

  

 

 

ตูม ตูม ตูม ตูม! 

 

 

  

 

 

เสาแมกมาปะทุ โถมปกคลุมคนทั้งหลายทันที 

 

 

  

 

 

พริบตานั้น กว่าสี่คนก็ถูกกลืนไปในลาวา กลายเป็นเถ้าถ่านโดยสมบูรณ์ 

 

 

  

 

 

ในบรรดาคนเหล่านี้ มีทั้งผู้ใช้วรยุทธโบราณ , ผู้ใช้อบิลิตี้ แต่ทั้งหมดมิอาจต่อต้านฉินเฟิงได้เลย 

 

 

  

 

 

คนสุดท้ายยังไม่ทันเริ่มลงมือ เมื่อเห็นฉากนี้ จู่ๆก็รู้สึกว่าน้ำลายที่กลืนลงคอ มันช่างยากลำบาก เม็ดเหงื่อเย็นผุดพราย หยดย้อยลงจากหน้าผาก 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงมองไปยังตำแหน่งของอีกฝ่าย ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป 

 

 

  

 

 

เฝ้ารออยู่นานกว่า 10 นาที ผู้ใช้พลังเลเวล C คนสุดท้ายถึงสามารถลุกขึ้นได้ ตัวเขาสามารถก้าวมาถึงเลเวล C ฉะนั้นพละกำลังกายย่อมไม่อ่อนแอ ไม่มีทางนั่งเข่าอ่อนมึนงงแบบนี้ได้ แต่เพียงฉินเฟิงเหลือบมองมา ทั้งกายและใจพลันแข็งค้างด้วยความหวาดกลัว 

 

 

  

 

 

“เด็กปีศาจนั่นมันเกิดขึ้นมาจากนรกขุมไหนกัน?” 

 

 

  

 

 

“แต่ … นี่เองสินะ ความรู้สึกที่ว่าสามารถรอดชีวิตจากวิกฤตมาได้” 

 

 

  

 

 

… 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงเดินลงจากเขา ไม่นานก็มาถึงทางออก 

 

 

  

 

 

แอปไซคนนี้ มิได้มีความแข็งแกร่งมากเหมือนดังเช่นคนอื่นๆ ทว่าเขารู้จักวิธีแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน หลังจากติดตั้งรั้ว เขาก็ได้รับเงินเก็บกอบเป็นกำ ผู้ใช้พลังเลเวล D ต่างกัดฟันยอมจ่าย เพราะตราบใดที่พวกเขามีโชคได้รับผลึกธรณี ย่อมสามารถทะยาน โบยบินสู่ท้องฟ้าได้ 

 

 

  

 

 

ในระหว่างนั้นเอง หน้าทางเข้า ฉินเฟิงก็สามารถได้ยินถึงเสียงที่คุ้นเคย 

 

 

  

 

 

และเนื่องจากสายตาของเขาไม่เลวเช่นกัน ดังนั้นแม้อยู่ไกล แต่เมื่อมองไปยังทางเข้า เขาก็พบการปรากฏกายของตัวตนทรงพลัง 

 

 

  

 

 

“เลเวล B” แนวสายตาของฉินเฟิงกวาดไป ก็เห็นถึงตราบนอกของอีกฝ่าย 

 

 

  

 

 

ในเวลานี้ อีกฝ่ายก็กำลังจ้องมองมาเช่นกัน 

 

 

  

 

 

“นายพลซื่อฉิง!” 

 

 

  

 

 

ที่แท้เป็นซื่อฉิงที่เคยประจำการสถานชุมชนหลงฉวนที่ 3 

 

 

  

 

 

สมบัติในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันได้ดึงดูดสหายเก่ามากมาย ทั้งดีร้ายมาเจอกัน 

 

 

  

 

 

ขณะนี้ ซื่อฉิงก็เห็นฉินเฟิงเช่นกัน เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเดินตรงเข้ามาหา 

 

 

  

 

 

“ไงฉินเฟิง” ซื่อฉิงเดินเข้ามาและกล่าวต่อ “ฉินเฟิง ก่อนหน้านี้ฉันพยายามติดต่อนายผ่านอุปกรณ์สื่อสาร แต่ไม่เคยเชื่อมต่อได้เลย ฉันไม่คิดว่านายจะอยู่ที่นี่” 

 

 

  

 

 

“ติดต่อกับผม?” ฉินเฟิงมองซื่อฉิงด้วยความแปลกใจ 

 

 

  

 

 

ซื่อฉิงพยักหน้า “หลังฉันจากไป หลงฉวนก็ถูกรุมเร้าด้วยวิกฤตอีกครั้ง คนในกลุ่มเองก็ไร้ผู้นำ ฉันเลยอยากจะถามนายเกี่ยวกับสถานการณ์” 

 

 

  

 

 

ปรากฏว่าซื่อฉิงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเขา 

 

 

  

 

 

อย่างไรก็ตาม พอลองคิดดูดีๆก็น่าจะถูกแล้วล่ะ เพราะสำหรับซื่อฉิง ฉินเฟิงเป็นแค่ ‘ตัวแทนบอกเล่าสถานการณ์’ เท่านั้น การที่ฉินเฟิงจู่ๆก็ติดต่อไม่ได้ ซื่อฉิงเลยไม่ทันคิดว่ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

 

 

  

 

 

แต่ในเวลานั้นเอง อุปกรณ์สื่อสารของซื่อฉิงส่งเสียงติ๊ดๆๆ อย่างกะทันหัน 

 

 

  

 

 

ซื่อฉิงก้มมอง ดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันใด 

 

 

  

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกัน? ทำไมนายถึงถูกเครือข่ายนักล่าเงินรางวัลออกหมายจับล่ะ? นายกลายเป็นอาชญากรของพันธมิตรมนุษย์ได้อย่างไร?” ซื่อฉิงถาม 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงตอบเสียงเรียบ “เรื่องนี้ คงต้องไปถามนายพลกวงเว่ย” 

 

 

  

 

 

สีหน้าของซื่อฉิงเริ่มเคร่งขรึม 

 

 

  

 

 

“ว่ามา มันเกิดอะไรขึ้น” 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงมิได้ปกปิด สิ่งที่กวงเว่ยทำ เขาแน่นอนย่อมอยากประกาศให้โลกรู้ คิดเอาเถอะว่าสิ่งที่กวงเว่ยทำน่ารังเกียจขนาดไหน ขนาดนี้แล้วฉินเฟิงยังต้องช่วยรักษาชื่อเสียงให้มันอีกหรือ? 

 

 

  

 

 

เขาไม่คิดทำเช่นนั้นเด็ดขาด 

 

 

  

 

 

บอกกล่าวไปเพียงเล็กๆน้อยๆ สีหน้าของซื่อฉิงยิ่งมายิ่งน่าเกลียด 

 

 

  

 

 

“หรือสรุปง่ายๆก็คือ เขาเป็นคนขับไล่นาย จากนั้นสถานชุมชนที่ 3 ก็ล่มสลายลง” 

 

 

  

 

 

ความสามารถของฉินเฟิง ซื่อฉิงรู้ดี 

 

 

  

 

 

หากไม่ทราบถึงเรื่องนี้ ซื่อฉิงก็คงไม่คิดมากอะไร แต่ตอนนี้ เขารู้สึกว่า เป็นเพราะความไร้สมองของกวงเว่ยและเล่ยหยิง ที่ทำให้สถานการณ์มาถึงจุดนี้ 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงกล่าว “เรื่องการล่มสลายผมไม่คงช่วยอะไรไม่ได้หรอก ท่านนายพลอย่าหวังในตัวผมให้มากนักเลย” 

 

 

  

 

 

“ทำไมนายไม่ติดต่อฉันตั้งแต่แรก?” 

 

 

  

 

 

ฉินเฟิงยิ้มและกล่าว “ท่านนายพล เรื่องของตัวเอง ผมสามารถแก้เองได้” 

 

 

  

 

 

สีหน้าซื่อฉิงแปรเปลี่ยน และกล่าว “ฉินเฟิง ฉันขอถามนายตามตรง … ” 

 

 

  

 

 

“นายยังอยากกลับไปเข้าร่วมกับพันธมิตรมนุษยชาติอยู่ไหม?”