ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 42 กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง (6)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เรื่องของรั่วอวี้ทำให้ทั้งสองนอนไม่หลับไปหลายคืน พอดีว่าอวี่ซือเฟิ่งกระจายอำนาจส่วนหนึ่งออกไป ไม่ได้ทำเองทุกอย่างเหมือนเมื่อก่อน เรื่องยุ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็จัดการได้รวดเร็ว ในที่สุดก็มีเวลาว่างสองสามวัน ผู้อาวุโสทั้งหลายหารือกันเรื่องพิธีใหญ่ แม้ว่าอวี่ซือเฟิ่งจะต้องการให้เรียบง่าย แต่บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายยืนยันว่านี่เป็นงานใหญ่งานหนึ่ง ไม่อาจเรียบง่ายได้ เพียงแค่ซ่อมแซมหอตันหยาใหม่ก็ใช้เวลาถึงสามวัน เงินทองละลายไปราวกับสายน้ำไหล 

 

 

ตั้งแต่อวี่ซือเฟิ่งวางใจมอบหมายงานให้คนอื่นไปทำแทน วันเวลาแห่งความยุ่งเหยิงของเขาก็เหมือนจบลง ทุกวันกลายเป็นเขากับเสวียนจีว่างอยู่ในตำหนักไม่มีอะไรทำ ในที่สุดมาถึงตอนนี้พวกเขาก็กลับตำหนักหลีเจ๋อมาได้หนึ่งเดือนเต็มแล้ว ในเช้าวันหนึ่ง ศิษย์เฝ้าประตูก็มารายงานว่าพวกหลิ่วอี้ฮวนมา  

 

 

ทั้งสองทั้งดีใจทั้งตกใจ รีบออกไปต้อนรับ มองไกลๆ ก็เห็นคนเดินเข้าประตูใหญ่มาสามคน เป็นหลิ่วอี้ฮวน อู๋จือฉีและจิ้งจอกม่วง อู๋จือฉีเห็นอวี่ซือเฟิ่ง คำแรกที่ฟาดใส่ก็คือ “อะฮ่า! ข้ายังคิดว่าพวกเจ้าถูกแดนสวรรค์จับกุมไปแล้วนะเนี่ย! ทำไมไม่เขียนจดหมายมาแจ้งสักหน่อย” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มอย่างรู้สึกผิดกล่าวว่า “ขออภัย เดิมคิดว่าวันสองวันก็จัดการเสร็จ คิดไม่ถึงงานยิ่งทำยิ่งมาก พวกท่านมาก็ดี พี่ใหญ่ ข้าเป็นเจ้าตำหนักแล้ว” 

 

 

ศีรษะหลิ่วอี้ฮวนยังพันผ้าโพกศีรษะไว้ มองดูแล้วก็น่าเกลียดแปลกๆ พอได้ยินว่าเขาเป็นเจ้าตำหนักแล้วก็ตกใจกรามแทบร่วง ร้องดังขึ้นทันทีว่า “บิดาเจ้าสิน่า?! ทำไมต้องโยนกองเละเทะนี้ให้เจ้ารับด้วย” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มพาพวกเขาเข้าตำหนักจินกุ้ยกง ใช้เวลาตลอดช่วงเช้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหนึ่งเดือนให้พวกเขาฟังรอบหนึ่ง รวมทั้งเรื่องแผนปฏิรูปตำหนักหลีเจ๋อ ฟังจนหลิ่วอี้ฮวนปากอ้ากว้างแทบจะยัดไข่เป็ดลงไปได้ ผ่านไปเป็นนานจึงได้สติคืนมา พูดติดๆ กันว่า “ดูไม่ออกนะ…เจ้าหนุ่ม! ถึงกับ ถึงกับมีความสามารถอยู่บ้างนะเนี่ย! เจ้ากินอะไรโตมาเนี่ย มีความคิดแปลกพิสดารมากมายพวกนี้มาจากไหน!” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ข้ากำลังกลุ้มเรื่องหอตรวจสอบ ไม่มีคนเหมาะรับตำแหน่งอาวุโส ท่านยอมมาช่วยข้าไหม” 

 

 

“อย่า! อย่า! เรื่องพวกนี้ อย่ามาหาข้า!” เขารีบโบกมือพัลวัน “จะว่าไป ข้ากับอาวุโสหลัวนั่นก็ราวลิ้นกับฟัน เจอกันก็ไม่ถูกชะตาแล้ว หากมีคนมาคอยบ่นข้างหูทุกวันว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ รำคาญตายชัก” 

 

 

กล่าวจบ เขาก็ถอนหายใจ “ท่านพ่อเจ้า เขา…เฮ้อ คิดไม่ถึงจริงๆ เขาเคยยิ่งใหญ่ขนาดไหน ยังมีสิบสองก้านปีก เคยมีผู้ใดในสายตา น่าเสียดายต้องมาจากไป เสียไปหนึ่งชาติเปล่าๆ เช่นนี้ ตายได้น่าอนาถแท้” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเล็กน้อย ไม่กล่าวอันใด จิ้งจอกม่วงดึงแขนเสื้อหลิ่วอี้ฮวนไว้ บุ้ยใบ้ให้เขารู้ว่าพูดจาไม่ดูกาลเทศะจนทำให้อวี่ซือเฟิ่งเศร้าใจขึ้นมาอีก หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะฮาดัง “แต่นะ ตอนนี้เจ้าเป็นเจ้าตำหนักก็ดีกว่าอะไรทุกสิ่ง! ห่วงฟ้าเทียนจวินก็ถูกทำลายไปแล้ว กฎตำหนักหลีเจ๋อเก่าๆ ก็ควรตัดทิ้ง พี่ใหญ่มั่นใจในตัวเจ้า! มอบตำหนักหลีเจ๋อไว้ในมือเจ้า ย่อมยิ่งใหญ่รุ่งเรืองแน่นอน!” 

 

 

เสวียนจีเห็นเขาโพกผ้าไว้แลดูไม่เข้าที อดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “พี่หลิ่ว บาดแผลท่านดีขึ้นแล้ว? ทำไมยังโพกผ้าไว้ล่ะ” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนเลิกผ้าขึ้น เผยให้เห็นแผลเป็นที่หน้าผาก เนื่องจากดวงตาสวรรค์ถูกมังกรเขียวควักไปสดๆ พื้นที่ตรงนั้นจึงเป็นหลุมบุ๋มลงไปก้อนหนึ่ง แม้ว่าหายดีแล้ว แต่ยังมีมีรูเลือดที่แดงสด น่าจะทำให้คนตกใจ มิน่าเขาต้องใช้ผ้าโพกปิดหน้าผากไว้ 

 

 

“เฮ้อ เจ้าของเล่นนี้ ตอนแรกใส่ลงไปไม่ได้รู้สึกอะไร พอเอาออกมาทำเอาข้าเกือบไม่รอด เจ็บยิ่งกว่าควักเนื้อ!” 

 

 

เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “พี่หลิ่ว ไม่มีดวงตาสวรรค์แล้ว เรื่องลูกสาวท่าน…” เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าคิดตกแล้ว ชาติหน้านางก็คืออีกคนแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้าแม้แต่น้อย เป็นคนน่ะ ไม่อาจเห็นแก่ตัว เอาเรื่องชาติก่อนมาผูกมัดนาง ตอนนางตายไปยังเป็นเด็กสาวตัวน้อย ชาติหน้าต้องมีวาสนา ขอเพียงนางมีชีวิตที่ดี ข้าเห็นหรือไม่ก็ไม่สำคัญ” 

 

 

นางพยักหน้าเงียบๆ ฟังเขาว่าไม่อาจเอาเรื่องชาติก่อนมาผูกมัดชาตินี้ ในใจนางราวกับหวั่นไหว แต่วาจานี้พูดง่าย สำหรับนาง ลงทำจริงยากยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น 

 

 

อู๋จือฉีถามเรื่องแดนสวรรค์ ที่แท้พวกเขาระยะนี้ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอันใด พวกจิ้งจอกม่วงทั้งสามก็รออย่างเบื่อหน่ายอยู่ที่หมู่บ้าน รู้สึกเบื่อสุดขีดจึงได้แล่นมาตำหนักหลีเจ๋อหาพวกเขา คิดไม่ถึงจะบังเอิญเจออวี่ซือเฟิ่งกำลังเตรียมพิธีรับตำแหน่ง 

 

 

“พูดไปแล้ว ที่นี่ก็คือตำหนักหลีเจ๋อ ข้ามาเป็นครั้งแรกนะเนี่ย…เหอะๆ ดูอลังกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก เจ้าหยวนหลางนั่น! สะสมคนไว้มากขนาดนี้เลยหรือนี่!” อู๋จือฉีเดินไปเดินมาในห้องโถงกลาง ลูบทางนี้ที เคาะทางนั้นที สุดท้ายผลักหน้าต่างออก มองออกไปยังท้องฟ้าสีครามแสนไกล ยิ้มกล่าวว่า “ทิวทัศน์ไม่เลวนี่! อืม เป็นแนวเจ้าหมอนั่นเลย” 

 

 

เสวียนจีอยู่ๆ นึกถึงห้องรองเจ้าตำหนัก บนผนังกำแพงมีแต่หน้าอู๋จือฉีเต็มไปหมด เรื่องนี้เดาว่าเขาไม่รู้ นางเองก็ไม่รู้ควรบอกไหม หันกลับไปสบตากับอวี่ซือเฟิ่ง เขาส่ายหน้าเล็กน้อย บอกนางว่าอย่าเอ่ยถึง ผู้ใดจะรู้ว่าวินาทีถัดมาอู๋จือฉีเอ่ยขึ้นมาด้วยตนเอง “เจ้าหยวนหลางปกติอยู่ที่ไหน พาข้าไปดูหน่อย” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งลังเลครู่หนึ่ง คิดจะปฏิเสธ แต่ก็หาเหตุอ้างไม่ได้ ได้แต่พยักหน้าลุกขึ้นนำทาง เขาเริ่มนึกเสียใจภายหลังขึ้นมาแล้ว ตอนแรกทำไมไม่จัดการเก็บหน้ากากพวกนั้นในห้องรองเจ้าตำหนักไปทิ้ง ไม่ว่าหยวนหลางแขวนหน้ากากไว้เต็มเพื่ออะไร อย่างไรอู๋จือฉีก็เป็นคนจับเขาส่งให้หงส์แดงจูเชวี่ยไปกับมือ หากอู๋จือฉีเห็นหน้ากากพวกนั้น ไม่แน่ในใจอาจจะเสียใจมาก 

 

 

ที่แท้ผู้ใดติดค้างผู้ใด ผู้ใดผิดต่อผู้ใด มีบางเวลาก็ไม่อาจกล่าวได้กระจ่างจริงๆ 

 

 

ประตูถูกผลักออกเบาๆ ฝุ่นคละคลุ้ง แสงแดดสาดส่องลอดเข้าทางประตู ขับไล่ความมืดในห้อง อวี่ซือเฟิ่งชี้ไปด้านในกล่าวว่า “ที่นี่แหละ” อู๋จือฉีมองไปบนหน้ากากเต็มกำแพงเงียบๆ แต่ละอารมณ์ความรู้สึกล้วนเหมือนกัน มีขมวดคิ้ว มีหัวเราะดัง สายตาราวมีชีวิต 

 

 

ทุกคนล้วนมองเขา ไม่รู้เขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นไร เขากลับเพียงแค่กะพริบตาปริบๆ ไม่กล่าวสักคำ ค่อยๆ เดินเข้าไป เสียง ผึง ดังขึ้น เขากระชากหน้ากากยิ้มแสยะออกมาวางบนใบหน้าตน หันกลับไปทำหน้าผี หัวเราะดังกล่าวว่า “เป็นอย่างไร เหมือนไหม” 

 

 

จิ้งจอกม่วงกล่าวอ่อนโยนว่า “เหมือนมาก เหมือนราวเทพรังสรรค์” 

 

 

อู๋จือฉียิ้มร่าแขวนหน้ากากกลับคืน เดินวนรอบห้อง ยิ้มกล่าวว่า “ช่างราวกับลวงตา จริงๆ ฝันๆ จริงๆ เท็จๆ ผ่านมาพันปี เพื่ออะไรกัน” กล่าวจบก็ตบมือ ในห้องเสียงดัง แปะ หน้ากากบนกำแพงพากันตกแตกละเอียดร่วงกราวราวกับฝนตก 

 

 

ฝุ่นตลบรอบทิศ เขาค่อยเดินเข้าไปตรงกลาง ก็ไม่รู้คิดอะไรอยู่ เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าไยต้อง…” ยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ถูกจิ้งจอกม่วงดึงไว้เบาๆ นางส่ายหน้ายิ้มเล็กน้อย เสียงดังตามขึ้นมาว่า “อา ข้าไปดูห้องนอนเจ้าสองคนหน่อย! ไปเถอะ! พาข้าไปสิ!” ทั้งสามถูกนางดึงลากให้ออกไปไกลๆ 

 

 

ประตูห้องนอนหยวนหลางปิดลงเบาๆ ไม่มีเสียงใดอีก จิ้งจอกม่วงเดินไปสองสามก้าว กล่าวเบาๆ ว่า “ยังขาดสุราดีอีกไห” อวี่ซือเฟิ่งยิ้ม “ย่อมไม่ขาด ส่งเข้าไปแล้ว” จิ้งจอกม่วงหันมายิ้ม เสวียนจีแปลกใจมองพวกเขาราวกับเล่นทายใจ ไม่เข้าใจกล่าวว่า “พวกเจ้ากำลังพูดอะไรกันแน่ ทำไมทิ้งอู๋จือฉีอยู่ในนั้นคนเดียว” 

 

 

ทั้งสามหัวเราะดัง หลิ่วอี้ฮวนยกมือคลึงแก้มนุ่มนิ่มนาง สัพยอกว่า “ถามมากมายทำไม ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ ไปน่า เด็กผู้หญิง!” แม้ว่าเสวียนจีอายุสิบแปดแล้ว แต่เขายังทำเหมือนนางเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่เข้าใจอะไร 

 

 

ทั้งสี่กลับถึงห้องโถงกลางคุยสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่ง จิ้งจอกม่วงกล่าวว่า “ตอนอู๋จือฉีนับถือเป็นพี่น้องกับหยวนหลาง ข้าเพิ่งรู้จักเขา ตอนนั้นเขาสองคนผูกพันมีน้ำใจกันมาก ขาดแค่ใส่กางเกงตัวเดียวกัน หยวนหลางดูแล้วไม่ได้น่ากลัวดึงดันอย่างนั้น เขากับอู๋จือฉี หนึ่งอยู่ไม่สุก อีกหนึ่งนิ่งเงียบ หนึ่งเรียบร้อย หนึ่งบ้าบอ ไม่เหมือนกันสักนิด แต่กลับเป็นพี่น้องที่สนิทที่สุด เพียงแค่เพราะหยวนหลางเป็นคนเก็บลึก พวกเจ้าเคยเห็นคนที่ไม่เคยโมโหไหม ข้ารู้สึกมาตลอดว่า คนที่มีความสุขหรือโมโหแล้วไม่แสดงออก หากไม่ปัญญาอ่อน ก็ย่อมเป็นคนที่ฉลาดลึกล้ำที่สุด หยวนหลางเห็นชัดว่าเป็นแบบหลัง” 

 

 

นางดื่มชาไปคำหนึ่ง คิดไปคิดมากล่าวอีกว่า “เขามาเป็นพี่น้องกับอู๋จือฉี ทำเอาคิดไม่ถึงจริงๆ อู๋จือฉีไม่เหมือนกับเขา เป็นคนมองเห็นลำไส้กระจ่างชัดดังผลึกแก้วหลิวหลี คิดอะไรก็พูดออกมา ไม่อ้อมค้อมไปมา ต่อมาอู๋จือฉีขโมยห่วงฟ้าขอสมุทรมาได้ ตอนมอบห่วงฟ้าเทียนจวินให้หยวนหลาง เดิมข้าอยากค้าน ข้ารู้สึกมาตลอดว่าคนเช่นหยวนหลางอันตรายมาก ขี้ระแวง ใจแคบ แผนร้ายลึก ภายนอกเงียบสงบราวไร้คลื่นลม หากมอบห่วงฟ้าเทียนจวินให้เขา เขาย่อมคิดอยากได้ขอสมุทรเช่อไห่ ของที่ไม่ครอบครองย่อมคิดว่าดีที่สุด น่าเสียดายอู๋จือฉีจริงใจต่อเขาโดยไม่ทันระวังอะไรเลย วันรุ่งขึ้นก็โยนห่วงฟ้าเทียนจวินให้เขาไป” 

 

 

“เรื่องต่อมาก็เป็นดังที่ข้าคาดไว้ไม่มีผิด อู๋จือฉีเด็กโง่ ไม่บอกให้เขาเลือก ไม่เพียงมอบห่วงฟ้าเทียนจวินให้เขา ยังเอาขอสมุทรเช่อไห่ตนเองออกมาอวด ในใจหยวนหลางต้องคิดมากแน่ เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ย่อมคิดเช่นนี้ ของดีย่อมเป็นอู๋จือฉีเอาไว้เอง ของไม่ดีจึงได้ให้ตนเอง จากนั้นมา ในใจหยวนหลางน่าจะคิดเช่นนี้ แล้วขอสมุทรเช่อไห่อู๋จือฉีก็ยังร้ายกาจยิ่งกว่าห่วงฟ้าเทียนจวินตนเองอีก เขาย่อมยิ่งไม่สบายใจ” 

 

 

นางถอนหายใจ กล่าวต่อว่า “ข้าเคยคิด ตั้งแต่ต้นหยวนหลางก็ไม่ได้เห็นอู๋จือฉีเป็นพี่น้อง แต่พอเห็นหน้ากากมากมาย ข้าก็เข้าใจแล้ว ข้ามองความยโสไว้ตัวเขาผิดไป เขาเหมือนกับอู๋จือฉี ล้วนมีความคิดตรงไปตรงมา เพียงแต่ว่าอู๋จือฉีไร้ใจ แต่เขากลับอ่อนแอแค่แตะก็แตกสลาย คิดว่าพี่น้องแอบซ่อนของไว้ เป็นพี่น้องกันก็ย่อมไร้ความหมาย ในบางเรื่องพวกเจ้าเผ่าครุฑก็น่ากลัวจริง ความรู้สึกอีกฝ่ายที่มอบให้ก็ดี มิตรภาพก็ดี หากไม่ได้มาทั้งหมด พวกเจ้าก็ยินดีที่จะปฏิเสธมันทั้งหมด ตนเองแอบกัดฟันเคียดแค้นอยู่อีกทาง หลบในมุมมืดมอง คิด แค้น แค้นจนเริ่มคิดแก้แค้น ทำร้ายคนอื่นและตนเอง เผ่าแสนน่าเศร้าใจ…” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งไร้วาจาจะกล่าว เขาไม่อาจหาคำมาโต้ตอบได้ ไยเขาไม่เคยเป็นเช่นนี้ ท่านพ่อเขา…ไยไม่ใช่เช่นนี้ 

 

 

จิ้งจอกม่วงยกแก้วขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก กะพริบตาพึมพำกล่าวว่า “อู๋จือฉี ครั้งนี้เจ้า…จะพูดอะไรกับเขา?”