ส่วนที่ 5 ดอกเฟิ่งหวงผลิบาน ตอนที่ 43 กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง (7)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

อู๋จือฉีไม่กล่าวอันใด เขายกจอกสุราขึ้นค้างไว้ราวกับเหม่อลอย 

 

 

บนพื้นเต็มไปด้วยเศษหน้ากาก แสงแดดสาดส่องผ่านลวดลายบนบานประตูลงบนเศษหน้ากากพวกนั้นที่พื้น จากนั้นเป็นนาน อยู่ๆ เขาก็ถอนหายใจ มือสั่นเทาราดสุราลงบนหน้ากาก “เมื่อก่อนเจ้าและข้าอิสระเสรีเพียงใด…” เขาพึมพำ “ไหนเลยจะรู้ว่าเป็นมนุษย์ถึงกับลำบากเช่นนี้” 

 

 

กล่าวจบก็เขวี้ยงจอกสุราลงพื้นแตกกระจาย เขาพลิกข้อมือกลับไปคว้าไหสุรากรอกใส่ปากตนเองต่อ แค่ชั่วพริบตา เขาดื่มก็สุราทั้งไหจนไม่เหลือสักหยด อู๋จือฉีหัวเราะร่าปาดมุมปาก ผลักประตูเดินออกไปอย่างไร้อาลัย 

 

 

วันถัดมาก็เป็นพิธีขึ้นรับตำแหน่ง บูชาฟ้า ประกาศปณิธาน ตั้งขบวนพิธี พวกเสวียนจีตอนแรกยังชมดูอยู่ข้างๆ อย่างตื่นเต้น แต่ต่อมาก็เริ่มเบื่อจนแทบหลับ อู๋จือฉีก็แสนจะเกินเลย พาดร่างกับราวนอนกรนอย่างไม่เกรงใจ เสวียนจีถอนใจกล่าวว่า “พิธีทางการนี้จะจบเมื่อไร แต่เช้ามาถึงตอนนี้ก็ไม่ได้หยุดเลย ไม่ได้กินอะไรเลย ข้าหิวจะตายแล้วเนี่ย” 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะแหะๆ มองอวี่ซือเฟิ่งในชุดดำยืนอยู่บนหอตันหยา พวกเขาชมอย่างเดียวยังทนแทบไม่ไหว นับประสาอันใดกับเขาที่เป็นเจ้าของงานวันนี้ ไกลขนาดนี้ยังเห็นเหงื่อเม็ดโตผุดอยู่บนหน้าผากชัด สีหน้าอดทนมาก 

 

 

“ทำอย่างไรได้ ธรรมเนียมกำหนดมากมาย พวกนี้นับว่าดีมากแล้วนะ! ตอนเจ้าตำหนักใหญ่กับรองเจ้าตำหนักขึ้นรับตำแหน่ง พิธีจัดกันสามวันเต็มๆ พิธีจัดกันต่อเนื่องไม่อาจกิน ไม่อาจดื่ม ไม่อาจนอน แต่ละคนหน้าตาซีดเซียว”  

 

 

“สามวันไม่กินข้าว?!” เสวียนจีตกใจ นางแอบลุกขึ้นยืน หันหลังคิดหนี หลิ่วอี้ฮวนดึงนางไว้ “เจ้าทำอะไร” เสวียนจีติดอ่างกล่าวว่า “ข้า…ข้าแอบออกไปหน่อย ไปหาไรกินในหมู่บ้านหน่อย…” กระเพาะนางหิวจนใกล้แห้งแล้ว 

 

 

“มีอย่างที่ไหน หนีออกไปกลางงานพิธี!” หลิ่วอี้ฮวนดึงให้นางนั่งลงต่อ “เอาละ ใกล้จะจบแล้ว! ดู เฟิ่งหวงน้อยจะเปิดผนึกแล้ว! รอให้มังกรเพลิงขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาก็จะออกมาจากท้องมังกรเพลิง เป็นอันเสร็จพิธี! อาหารเลิศรสตำหนักหลีเจ๋อมีไม่กิน จะไปฟุ่มเฟือยข้างนอก!”  

 

 

ทันทีที่กล่าวจบ ก็ได้ยินเสียงกระหึ่มดังขึ้นจากหอตันหยาดังคาด มังกรเพลิงกางเล็บผงาดม้วนตัวขึ้นบินวนกลางท้องฟ้า ทุกคนส่งเสียงดังขึ้นพร้อมกัน สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่อวี่ซือเฟิ่ง เขาถอดชุดดำออกแล้วตามด้วยเสื้อตัวกลาง เสวียนจีเห็นเขาถอดเสื้อทิ้งทีละชิ้น อดไม่ได้กล่าวเบาๆ ว่า “จะปลดผนึกแล้ว?” 

 

 

ใต้วงแขนอวี่ซือเฟิ่งมีไข่มุกดำสองแถว ซึ่งก็คือผนึก บางครั้งนางก็เกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น เคยแอบไปลูบเล่น บางทีก็แอบไปดึงเล่น แต่ไข่มุกพวกนี้ไม่ขยับเขยื้อน เรียงกันแน่นหนามาก อวี่ซือเฟิ่งก็จะแสร้งทำหน้าบึ้ง หยิกแก้มนาง ว่ากันว่าของนั้นผนึกปีกและกลิ่นอายปีศาจไว้ ตำหนักหลีเจ๋อเคยมีกฎว่าห้ามเปิดผนึกออกตามอำเภอใจ ตอนนั้นเขาบาดเจ็บสาหัสจึงได้เปิดสองผนึกออกเอง เจ้าตำหนักใหญ่ว่าจะลงโทษเขา ปรากฏว่ากลับไม่ได้ทำอะไร 

 

 

ยามนี้เขาปลดผนึกกลับอีกครั้ง ไข่มุกใต้วงแขนร่วงกราวลงพื้นเสียงดังตึงตัง ทั้งร่างพริบตาแทบราวกับคลุมด้วยแสงสีทอง เขากระโดดขึ้นไปสยายสองปีกทองคำขนาดใหญ่ออก เป็นสิบสองก้านปีกงดงามดังคาด แสงสีทองระยิบระยับราวกับภาพมายา 

 

 

อู๋จือฉีก็ตื่นขึ้นมองเขาพร้อมกับทุกคน อวี่ซือเฟิ่งบินเข้าไปในร่างมังกรเพลิง บินวนอยู่ในนั้นไปมา สุดท้ายเปล่งเสียงร้องดัง ลูกไฟร่วงกราวลงราวกับสายฝน มังกรเพลิงตัวนั้นพริบตาก็สลายไป กลายเป็นพิรุณอัคคีโปรยปรายร่วงลงมา คนเราว่าเฟิ่งหวงจะอาบเพลิงเผาร่างตนเพื่อกำเนิดใหม่ บรรดาวิหคจึงเลื่อมใสในความยิ่งใหญ่นี้ ดังนั้นพิธีอาบเพลิงจึงกลายเป็นพิธีรับตำแหน่งของครุฑ อวี่ซือเฟิ่งจบพิธีใหญ่ไปอย่างราบรื่น จิตใจไร้พันธนาการ เวทีด้านล่างมีเสียงร้องยินดีดังกระหึ่มก้อง ทุกคนพากันคุกเข่าลง น้อมรับเขาเป็นเจ้าตำหนักหลีเจ๋อคนใหม่อย่างภาคภูมิ 

 

 

กว่าจะทนจนเสร็จพิธี พอทุกคนเห็นงานเลี้ยงก็ราวกับผีหิวโหย ไม่สนใจภาพลักษณ์กันแล้ว อู๋จือฉีคว้าน่องกระต่ายได้ก็ยัดเข้าปาก อีกมือยังรีบคว้าสุรา แทบจะอ้าปากกินพร้อมกัน เขาแทบจะกินไปกรอกสุราไปพร้อมกัน 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเป็นเจ้าตำหนักย่อมไม่อาจร่วมโต๊ะกับพวกเขา ไปนั่งร่วมกับผู้อาวุโสทั้งหลายไกลออกไป ไม่รู้คุยอะไร หากหันกลับมามองทางนี้ตลอด เจ้าหนุ่มหน้าเซ่อย่อมอยากมองเห็นเสวียนจีในสายตาตลอด หลิ่วอี้ฮวนเคี้ยวเนื้อหยับๆ เหล่มองเสวียนจี นางก้มหน้าก้มตากินอย่างมีความสุข ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลยสักนิด แม้ยามนี้ราชันมองเจ้าลุ่มหลงเพียงใด คาดว่านางคงไม่มีเวลามาสนใจ  

 

 

“ทำไมเจ้าไม่รู้จักโตเสียที!” ไม่รู้ว่าอยู่ๆ เขาโมโหอะไร เขกหัวเสวียนจีไปเต็มแรงทีหนึ่ง 

 

 

“อา!” เสวียนจีกำลังใช้ตะเกียบคีบลูกชิ้นก็ถูกเขาเขกหัว ปล่อยลูกชิ้นร่วงลงพื้น นางรีบจะลงไปเก็บ จิ้งจอกม่วงเผยรอยยิ้มบางคีบอาหารให้นางไว้ก่อนแล้ว ยิ้มกล่าวว่า “หลิ่วอี้ฮวน เจ้าชอบรังแกคนอ่อนแอ ไม่ได้กินข้าวทั้งวัน ตอนนี้เจ้าจะบีบให้นางรักลึกซึ้งอะไร” 

 

 

วาจาแม้ว่ากล่าวได้ไม่ผิด แต่ทุกครั้งที่เขาเห็นอวี่ซือเฟิ่งตกในห้วงแห่งรักลึกซึ้งแล้วเสวียนจีไม่รู้สึกไม่รับรู้ ราวไก่ไม้ไร้ความรู้สึก ความโมโหก็ผุดขึ้นมาเอง ปากเสวียนจีอัดแน่นไปด้วยข้าว กล่าวอู้อี้ว่า “ข้า ข้ารู้น่า…หารือกับซือเฟิ่งไว้แล้ว คืนนี้ข้าจะฉลองกับเขาตามลำพัง” 

 

 

อู๋จือฉีหลุดหัวเราะพรืดออกมา เหลือบมองพลางสัพยอก “ได้ยินหรือยัง เจ้าปีศาจบ้ากาม เรื่องสามีภรรยาเขา เจ้ายุ่งอะไรด้วย คนเขาจะฉลองกัน ‘ตามลำพัง’!”  

 

 

เดิมไม่ได้มีเรื่องอะไร แต่พอเขาว่าเช่นนี้ก็ราวกับมีอะไร เสวียนจีเริ่มเขิน พอเขินก็ถูกเขาสองคนกวาดตามองกระจ่าง นางรีบแย่งจานมาใบหนึ่ง คีบอาหารใส่ คิดจะมุดกลับห้องตนเองไปทันที จิ้งจอกม่วงข้างๆ ได้แต่หัวเราะไม่หยุดเป็นนาน พลันกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าดีจริง เสวียนจี เช่นนี้ดีจริง”  

 

 

หมายความว่าอย่างไร เสวียนจีมองนางสับสน จิ้งจอกม่วงเม้มปากยิ้ม ไม่กล่าวอันใดอีก ความมืดโรยตัวลงมา แสงไฟบนหอตันหยาสว่างไสว โครงหน้าด้านข้างของนางอ่อนหวานงดงาม ขนตาหลุบลงราวกับพัดน้อยๆ สองเล่มสั่นไหว มีความเศร้าสลดที่แฝงความสิ้นหวังอีกส่วนหนึ่ง  

 

 

“จิ้งจอกม่วง…” อยู่ๆ เสวียนจีก็กินข้าวไม่ลง จ้องมองนาง  

 

 

จิ้งจอกม่วงยิ้มบาง ยกมือลูบศีรษะนางเบาๆ กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “กินข้าวเถอะ กินให้อิ่มหน่อย พวกเรายังต้องไปเขาคุนหลุนอีก”  

 

 

นานมากแล้ว แต่นางยังไม่อาจลืมรอยยิ้มบนใบหน้าจิ้งจอกม่วงคืนนั้น ตอนนั้นนางไม่เข้าใจรอยยิ้มนั่น ต่อมาก็เข้าใจในที่สุด พอย้อนนึกกลับไป ก็รู้สึกได้ว่าเฝื่อนขมและสิ้นหวัง 

 

 

แต่ตอนนี้นางยังคงไม่เข้าใจอยู่บ้าง แอบเดาอยู่นาน แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา กลัวกระทบกับความงามแสนอ่อนไหวบนใบหน้านาง กลางคืนกลับถึงห้องนอน นางก็คิดต่อ แต่คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ อวี่ซือเฟิ่งถอดรองเท้าให้นาง เห็นนางเหมือนกับตุ๊กตา นิ่งงันราวไก่ไม้ ก็ปัดจมูกนางทีหนึ่งเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ทำไม? เหนื่อยจนนิ่งเลย” 

 

 

เสวียนจีเกี่ยวคอเขาไว้ กล่าวเบาๆ ว่า “ซือเฟิ่ง เจ้าว่าจิ้งจอกม่วงคอยตามอู๋จือฉีตลอด นับว่าคืออะไร เขาไม่ชอบนาง” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ นางจะถามเช่นนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อดหลุดหัวเราะไม่ได้ “คำถามนี้น่ะ พวกเราค่อยๆ ว่ากัน น้ำจะเย็นหมดแล้ว ไปอาบน้ำก่อน”  

 

 

เสวียนจีพยักหน้า เดินเท้าเปล่าไปถอดชุดตัวนอกออก หันกลับไปเห็นอวี่ซือเฟิ่งจะจุดตะเกียงอ่านหนังสือ อยู่ๆ ก็หัวเราะเข้าไปคล้องแขนเขา กล่าวเบาๆ ว่า “เป็นเจ้าตำหนักแล้ว ข้าต้องให้รางวัลเจ้า พวกเราไปอาบน้ำกัน” 

 

 

จากนั้นเป็นนาน ในที่สุดพอเสวียนจีก็เรียกสติคืนมาได้ ทั้งสองก็แช่อยู่ในอ่างอาบน้ำด้วยกันแล้ว  

 

 

“พอกลับจากเขาคุนหลุน ข้าจะไปขอเจ้ากับท่านพ่อเจ้า ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ต้องให้เขารับปากให้ได้” รู้สึกว่าเสวียนจีเรียกสติคืนมาแล้ว เขาก็กระซิบขึ้นเบาๆ  

 

 

กลับจากเขาคุนหลุน…ในใจนางอยู่ๆ ก็ฝืดเฝื่อน เงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดเขา กล่าวเบาๆ ว่า “พวกเรา…จะมีชีวิตกลับมาได้จริงหรือ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งไม่ตอบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวอีกว่า “ในตอนนี้ข้าไม่อาจทิ้งเรื่องตำหนักหลีเจ๋อไปได้ คงได้แต่ลำบากเจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่อีกหลายปี รอให้ทุกอย่างเข้าที่ พวกเรากลับซีกู่กัน ไปเที่ยวโพ้นทะเลกัน ข้าได้ยินว่าโพ้นทะเลมีเขาเทพเซียนที่มีทิวทัศน์งดงามมากมาย เขาเผิงไหลสูงหมื่นจั้ง…อากาศทั้งปีราวกับฤดูใบไม้ผลิ บนเกาะมีต้นไม้ที่มีดอกไม้ออกดอกมากมาย พอลมพัดมาก็ราวกับฝนห้าสี เจ้าชอบร้องเพลงหรือว่าเต้นรำ รำกระบี่หรือว่าร่ายเพลงมวย แล้วแต่เจ้า” 

 

 

เสวียนจีหัวเราะคิก “เจ้าสิรำกระบี่ร่ายเพลงมวย! ข้าไม่ใช่ลิงเล่นละครลิงนะ พวกเราไปขโมยท้อเซียนสิได้เรื่องกว่า” 

 

 

“ผีหิวโหย” เขาคลึงจมูกนางเล่น 

 

 

เสวียนจีเอนซบอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกเพียงแค่ทั้งร่างอบอุ่น ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าราวกับอ่อนยวบ ไม่รู้ทำไม อยู่ๆ ก็พลันคิดถึงสีหน้าสลดเมื่อครู่ของจิ้งจอกม่วง ในใจก็เฝื่อนขมขึ้นมา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “จิ้งจอกม่วงนาง…” 

 

 

วาจาติดอยู่ที่ริมฝีปาก ไม่รู้ควรกล่าวอันใด อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “เรื่องพวกเขา พวกเราไม่อาจช่วยอะไรได้ พันปีมาแล้ว ควรมีผลก็ได้ผลแล้ว ไม่ได้ผลก็คือไร้วาสนา”  

 

 

“แต่ในเมื่ออู๋จือฉีไม่ชอบนาง เหตุใดไม่ปฏิเสธนางไปตรงๆ ลากถูกันไปเช่นนี้ ไม่ดีกับผู้ใดทั้งนั้น” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “เป็นนางไม่อยากคิดให้ตกเอง หรือว่าต้องเป็นความสุขชายหญิงจึงจะเป็นความสุขหรือ อู๋จือฉีน่าจะชอบนาง เพียงแต่ว่าไม่ใช่ความชอบแบบชายหญิง” น่าจะเป็นแบบสัตว์เลี้ยงกระมัง…ไม่ว่าปีศาจหรือคน พออยู่ร่วมกันแล้ว ฝ่ายที่เรียกร้องก็ยากจะไม่ทุกข์ ต้องการในสิ่งที่ไม่อาจได้มา 

 

 

บางทีชีวิตหนึ่งอาจจะมีของมากมาย แต่ที่ต้องการที่สุดกลับไม่อาจได้มา ชีวิตนี้ก็ย่อมรู้สึกเวิ้งว้างสิ้นหวัง 

 

 

พระจันทร์ขึ้นกลางท้องฟ้า จิ้งจอกม่วงนั่งอยู่ชั้นสูงสุดของตำหนักจินกุ้ยกงเพียงคนเดียว มองทะเลเงียบสงบยามค่ำคืนเงียบๆ แสงจันทร์สาดส่องผืนทะเล สายลมพัดแผ่วรอบด้าน พาเอากลิ่นหอมบุปผาหอมหวานมา ตามมาด้วยเสียงฝีเท้า 

 

 

เสียงฝีเท้ามาหยุดข้างหลังนาง เสียงเหมือนงัวเงียง่วงนอนดังขึ้น “จิ้งจอกน้อย ดึกขนาดนี้แล้ว เจ้ายังมาเล่นอะไรอีก…ตามข้ามาที่นี่ทำไมกัน”  

 

 

จิ้งจอกม่วงหันกลับไปมองเขา อู๋จือฉีหน้าตาง่วงงุนเต็มที แต่ยังคงมาตรงตามเวลานัด ตอนงานเลี้ยงคืนนี้จบลง นางก็นัดเขาว่ามาเจอกันที่นี่ยามสาม ดูท่าเขานอนไปแล้ว จากนั้นก็ไม่เต็มใจจะออกมา “มีอะไรไว้คุยกันพรุ่งนี้ก็ได้ ต้องมาคุยกันยามสามดึกดื่น เล่นอะไรเนี่ย” อู๋จือฉีถอนหายใจยองนั่งลงข้างกายนาง  

 

 

“ว่ามา! เรื่องอะไร ผู้ใดรังแกเจ้า”